18 ธ.ค. 2554

น้ำมันมะพร้าวกับการรักษาโรค


หลังจากมีโอกาสไปตรวจร่างกาย และได้พบกับผู้ป่วยท่านหนึ่งที่กำลังรอรับการรักษา ซึ่งเธอได้เล่าเรื่องราวน่าประหลาดใจให้กับเราฟังว่า


การกินน้ำมันมะพร้าวนั้นสามารถช่วยให้เนื้องอกทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเพื่อนสนิทของเธอหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ


แค่กินน้ำมันมะพร้าวเนี่ยนะ???

ยังคงเป็นเรื่องที่หลายคนคงอยากรู้ว่า เจ้าน้ำมันมะพร้าวสามารถรักษาสารพัดโรคร้ายได้จริงหรือ ความจริงจะเป็นอย่างไร เอาเป็นว่า เรามาสืบเสาะหาข้อเท็จจริงกันเลยดีกว่า

กินน้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาโรค

อาหารโดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณสมบัติช่วยในการรักษาโรค แต่อาหารช่วยในการป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือบรรเทาอาการให้ดีขึ้นย ย ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เพราะฉะนั้นนิสัยการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการบริโภค และภาวะโภชนาการของผู้บริโภคจึงมีความสำคัญที่จะสอดคล้องกับการป้องกันโรคได้ โดยยึดหลักการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

ส่วนน้ำมันมะพร้าวที่หลายคนว่าดีเหมาะแก่การรับประทานควรเป็นแบบสกัดเย็น เพราะวิตามิน หรือสารอาหารอื่นๆ ยังอยู่ครบ ซึ่งนอกจากสรรพคุณที่ว่ากันว่า น้ำมันมะพร้าวสามารถรักษาโรคได้แล้ว หลายคนคงเคยได้ยินคำโฆษณาที่ว่า โคโค่นัทออยยังช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย

น้ำมันมะพร้าวกับการลดความอ้วน

น้ำมันมะพร้าวที่จะลดความอ้วนได้คือ น้ำมันมะพร้าวที่ทำจากกะทิสดไม่ผ่านความร้อนและสารเคมี เรียกว่า เวอร์จิน โคโค่นัทออย กระทิควรเป็นกระทิที่เตรียมจากการบีบเนื้อมะพร้าวใส่ถุงแล้วหนีบด้วยเครื่องหรือมือบีบ แบบเครื่องสกรูกระทิจะร้อนใช้ทำน้ำมันไม่ดี

ทั้งนี้ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหารได้ดีกว่าไขมันชนิดอื่น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย กระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ และสร้างความร้อนได้เร็วจึงไม่สะสมในร่างกาย

เทคนิคการกินน้ำมันมะพร้าว

รับประทานตามหลักโภชนาการ โดยน้ำมันมะพร้าวเป็นตัวที่ให้พลังงานตัวหนึ่งเหมือนกับน้ำมันทั่วๆ ไป ไขมันหรือน้ำมันนั้นกินน้อยไม่ดี กินมากไม่ดี กินพอดีๆ ถึงจะดี เพราะมนุษย์ต้องการไขมันเป็นตัวพาเอาวิตามิน เอ อี อี เค ตลอดจนวิตามินดีในอาหารเข้าสู่ระบบของร่างกาย การขาดไขมันหรือได้รับน้อยไป ส่งให้ผลให้ร่างกายของเราขาดวิตามินเหล่านี้

ปัจจุบันนี้ ในทางวิทยาศาสตร์สุขภาพเราทราบแล้วว่า การขาดวิตามินเอและอีนั้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เพราะวิตามินทั้งสองเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตามวิตามินทั้งสองถ้าได้มากไปก็ก่อปัญหากับตับได้เช่นกัน เพราะจะไปสะสมที่ตับ ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากตับนั้นปรกติแล้วเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักมาก จึงพยายามไม่สะสมอะไร เมื่อใดที่ตับเริ่มมีการสะสมสารอาหาร เมื่อนั้นจะหมายความว่า ตับเริ่มมีปัญหา

นักวิทยาศาสตร์พบว่า สารพิษหลายชนิดที่ให้แก่สัตว์ทดลองก่อให้ตับเกิดอาการที่เรียกว่า Fatty liver คือ อาการที่มีไขมันอยู่มากในเซลล์ตับจนมองเห็นเป็นไขสีเหลืองที่ตับเมื่อเปิดหน้าท้องสัตว์ทดลอง

ความหมายของ fatty liver คือ ตับทำงานต่ำลง ทั้งนี้เพราะตับเป็นอวัยวะหลักในการเผาผลาญไขมันไปเป็นพลังงาน หรือไปเป็นสารตั้งต้นของสารชีวเคมีอื่นในร่างกาย ดังนั้น การคั่งของไขมัน จึงเป็นหลักฐานทางวิชาการที่บอกว่า การทำงานของตับต่ำลง

อย่างไรก็ตามการคำนวณพลังงานที่ต้องการของผู้บริโภคแต่ละท่านก็ต้องนำส่วนของไขมันมาคิดเพื่อหาพลังงานรวมในแต่ละวัน หากท่านรับประทานน้ำมันในปริมาณที่มากเกินไปก็ต้องตัดทอนอาหารอย่างอื่นออกไปแล้วคำนวณหาพลังงานให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายของร่างกาย แต่หากท่านรับประทานไขมันในปริมาณที่มากเกินไป แล้วตัดทอนอาหารอย่างอื่นออกก็ส่งผลให้ได้รับสารอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ ก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคอื่นๆ ตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้น จงยึดการเดินทางสายกลาง อาหารทุกอย่างให้รับประทานแต่พอดีไม่มากหรือน้อยเกินไปเป็นดีที่สุด












ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info




ไม่มีความคิดเห็น: