11 ต.ค. 2552

ใช้ยาหลายชนิดชีวิตปลอดภัย...จริงหรือ?

ใช้ยาหลายชนิดชีวิตปลอดภัย...จริงหรือ? (หมอชาวบ้าน)

ยาเหมือนเหรียญสองด้าน มีทั้งคุณและโทษ

คนไทยมีทัศนคติและความเชื่อเกี่ยวกับยาแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่คิดว่า "ยาเป็นสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ" ไม่ว่าจะช่วยรักษาโรค บรรเทาอาการเจ็บป่วย ช่วยป้องกันโรค หรือช่วยบำรุงส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สมดังคำพูดที่เราได้รับรู้มาแต่เล็กแต่น้อยว่า "ยาเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต"

เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยจึงนึกถึงแต่ยาเป็นด่านแรก และจะพยายามเสาะแสวงหายามารักษาแก้ปัญหาเหล่านั้นให้ทันท่วงที โรคและความเจ็บป่วยที่เผชิญอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ก็จะได้หายหรือบรรเทาเบาบางลงได้

ความคิดเช่นนี้เป็นความคิดที่ถูกเพียงครึ่งเดียว เหมือนกับเป็นการมองเหรียญด้านเดียว มองในแง่ดีมองแต่ด้านคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้ยา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกด้านหนึ่งของเหรียญ ที่ควรจะได้รับการพิจารณาร่วมด้วย ก่อนการตัดสินใจใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะอีกด้านหนึ่งของเหรียญเป็นผลเสีย ผลข้างเคียง พิษ และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้ยาตัวอย่างที่พบได้บ่อย ได้แก การแพ้ยา ยาตีกัน เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า "ยาเหมือนเหรียญสองด้าน มีทั้งคุณและโทษ" จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ใช้อย่างพอเพียง ใช้เมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ เพราะอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตได้หลายยา...หลายโรค (มากหมอ มากความ) !!!

มาถึงคำถามต้นเรื่องที่ว่า ใช้ยาหลายชนิด ชีวิตปลอดภัย... จริงหรือ? คงตอบได้ทันทีเลยว่า การใช้ยาหลายชนิดจะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้มากยิ่งขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ยาเพียงชนิดเดียว หรือยิ่งใช้ยาให้น้อยที่สุด (เท่าที่จำเป็น) ก็จะปลอดภัยที่สุด เพราะเมื่อใช้ยาชนิดเดียวยังมีโอกาสเกิดผลเสียขึ้นได้

การใช้ยาหลายชนิดขึ้นก็จะยิ่งเกิดผลเสียเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวถึง "แนวทางจัดการยาหลายชนิด" ที่ผู้ป่วยได้รับมา ไม่ว่าจะเกิดจากการรักษาของแพทย์ คำแนะนำของเภสัชกร หรือพยาบาล หรือการหาซื้อมาใช้เอง ทั้งที่เป็นยาแผนปัจจุบัน ยาไทย สมุนไพร หรืออาหารเสริมก็ตาม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงที่สุด และในขณะเดียวกันก็ปลอดภัยที่สุดด้วย

แนวทางจัดการยาหลายชนิด..อย่างมีประสิทธิภาพปลอดภัย และประหยัด หลักการง่าย ๆ เกี่ยวกับการใช้ยาให้เกิดประสิทธิภาพ ปลอดภัย และประหยัด คือ การใช้ยาพอเพียง ซึ่งหมายถึง การใช้ยาอย่างฉลาดใช้เท่าที่จำเป็น และใช้อย่างถูกต้อง ก็ยังเป็นแนวคิดพื้นฐานในการนำมาใช้กับการจัดการกับยาหลายชนิดได้เป็นอย่างดี เพราะหลาย ๆ ครั้ง เราพบว่าผู้ป่วยคนเดียวแต่ไปได้รับยามาจากหลายแหล่ง ตัวอย่างเช่น

"ยายมาป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง จึงได้รับยาลดความดันโลหิตมาจากหมอคนที่หนึ่ง จำนวน 2 ชนิด แต่ต่อมายายมามีอาการปวดข้อเข่าเสื่อมตามวัย ที่นับวันอายุจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงไปขอยาแก้ปวดข้อเข่าเสื่อมมาจากที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน ก็ได้รับยามาอีก 2 ชนิด พอดีช่วงนี้ฝนตกบ่อย อากาศเปลี่ยนแปลงในบางวันยายมาก็เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้หวัด จึงไปซื้อยาแก้ไขหวัดชนิดแผงมาจากร้านขายของชำในหมู่บ้าน เพื่อรักษาโรคไข้หวัด" ยายมาได้รับยา 5 หรือ 7 ชนิด?

กรณีของยายมาก็จะได้รับยาทั้งหมด 7 ชนิด ซึ่งผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไมจึงเป็น 7 ชนิดได้ ไม่ใช่แค่ 5 ชนิดหรือ?

เหตุผลก็คือว่ายาแก้ไข้หวัดชนิดแผงนั้น ใน 1 เม็ดจะประกอบไปด้วยตัวยาถึง 3 ชนิดคือ

1.ยาพาราเซตามอล มีฤทธิ์ลดไข้ แก้ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยเนื้อตัว

2.คลอร์เฟนิรามีน มีฤทธิ์ลดน้ำมูกแก้แพ้อากาศ

3.สูโดเอฟีดรีน มีฤทธิ์แก้คัดจมูก ทำให้โล่งจมูก

ดังนั้นยายมาจึงได้รับยาทั้งสิ้นจำนวน 7 ชนิด ยาของยายมา ซ้ำซ้อนกัน ทะเลาะกัน (ตีกัน)

บรรดายาทั้ง 7 ชนิดที่ยายมาได้รับมาต่างกรรมต่างวาระนั้น มองแบบเหรียญด้านเดียว ก็จะเกิดผลดีช่วยรักษาโรคทั้ง 3 ได้ อันได้แก่ ความดันโลหิตสูง โรคปวดข้อเข่าเสื่อม และโรคไข้หวัด แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่งก็พบว่า ยาหลายตัวของยายมาซ้ำซ้อนกัน ทะเลาะกันหรือตีกัน ยายมาได้รับยาพาราเซตามอลซ้ำซ้อนมากเกินไปขยายความได้ว่ายารักษาโรคปวดข้อเข่าเสื่อมที่ได้มาจากสถานีอนามัยใกล้บ้านนั้น ประกอบด้วย ยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือ NSAIDs และยาพาราเซตามอล ที่ในกรณีนี้ใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ

พอรู้อย่างนี้ ก็จะเห็นได้เลยว่า ยาของยายมาที่ได้จากสถานีอนามัยไปซ้ำซ้อนกับยาแก้ไข้หวัดชนิดแผง ซึ่งได้มาจากร้านขายของชำ ได้แก่ ยาพาราเซตามอล ซึ่งถ้าได้ในขนาดสูงและเป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน ๆ ก็จะเกิดอันตรายต่อตับ ไต และเสียชีวิตได้ ใช้ยาหลายชนิด...ชีวิต...เสี่ยงภัย

อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ยา NSAIDs ที่ใช้รักษาโรคปวดข้อเข่าเสื่อมซึ่งได้มาจากสถานีอนามัยนั้น จะส่งผลต้านฤทธิ์ลดความดันโลหิตของยาที่ได้รับจากหมอคนที่หนึ่ง มิหนำซ้ำยาตัวที่ 3 ในยาแก้ไข้หวัดชนิดแผงซึ่งได้แก่ ยาสูโดเอฟีดรีน นอกจากทำให้โล่งจมูกแล้ว ยังไปกระตุ้นหัวใจ ทำให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น จึงเหมือนเป็นงูกินหาง ไป ๆ มา ๆ

ยาลดความดันโลหิตสูงอาจจะสู้หรือต้านทานผลของยาอีก 2 ชนิดไม่ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ผลก็คือความดันโลหิตของยายมาที่เคยว่านอนสอนง่าย เคยถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่เป็นที่น่าพอใจ ก็จะกลับเพิ่มสูงขึ้น จนอาจเกิดอันตรายต่อยายมาได้ โดยที่ยายมาไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจว่า ผลของยาชนิดอื่น ๆ ทั้งที่ได้จากสถานีอนามัย และซื้อเองที่ร้านขายของชำ จะส่งผลต่อยาลดความดันโลหิตสูง และอาจเป็นอันตรายต่อยายมาถึงแก่ชีวิตได้

การที่ยาชนิดหนึ่งไปส่งผลต่อยาอีกชนิดหนึ่ง เราจะเรียกว่ายาตีกัน ในที่นี้ขอใช้คำว่ายาทะเลาะกัน เพราะจะได้เห็นภาพชัดเจนว่ายาที่เราหวังว่าจะช่วยชีวิต แต่กลับทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ จึงควรระมัดระวังและไม่ประมาทเมื่อต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน

นำยาทั้งหมดมา "ตรวจเช็ก" เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย

ขอย้ำอีกครั้งว่ายามีคุณอนันต์และโทษมหันต์ จะต้องใช้ยาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ยา ดังนั้น กรณีที่จำเป็นที่จะต้องใช้ยาหลายชนิด จากหลายโรค หลายหมอ หลายแหล่ง อย่าประมาท เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้ ซึ่งสามารถแก้ไขและป้องกันได้ด้วยการนำยาทั้งหมดไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์หรือเภสัชกร เพื่อที่จะช่วย "ตรวจเช็ก" รายการยาต่าง ๆ ว่าเหมาะสมดีแล้วหรือไม่ ขั้นตอนการตรวจเช็กยา...

เมื่อนำยาทั้งหมดไปพบแพทย์หรือเภสัชกร ซึ่งจะเริ่มต้นตรวจเช็กยาเหล่านี้ว่า "มีความจำเป็นหรือไม่?" โดยพิจารณาความเหมาะสมของยาเหล่านี้ว่า สอดคล้องกับสภาวะสุขภาพของเราหรือไม่ มีความจำเป็นต้องใช้ยาหรือไม่ ถ้าไม่จำเป็นก็จะตัดหรือคัดยาเหล่านั้นออกไป เป็นการลดภาระการใช้ยาและค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยได้อีกทางหนึ่งด้วย

อีกขั้นตอนหนึ่งก็คือ จะช่วยค้นหา "ปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน" ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ ดังตัวอย่างของยายมาที่ยาแก้อักเสบข้อเข่าเสื่อม และยาแผงแก้ไขหวัดไปส่งผลเสียต่อยาลดความดันโลหิตสูง ซึ่งแพทย์และเภสัชกรจะได้หาทางป้องกันแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะใช้ยา จะได้ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายของเรา

ขณะตรวจเช็กยาทั้งหมดนั้น ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีในการซักซ้อมทบทวนวิธีใช้ยาต่าง ๆ ให้ถูกต้องตามสั่ง หากมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจเรื่องยาและสุขภาพก็สามารถซักถาม ขอคำปรึกษาหรือคำอธิบายเพิ่มเติมจากแพทย์และเภสัชกรได้ทันที ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจเรื่องยาต่าง ๆ ของเราให้กระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้น ประโยชน์ของการตรวจเช็กยา

การนำยาทั้งหมดไปตรวจเช็กความเหมาะสมนั้น จะช่วยผู้ป่วยให้เกิดผล "3 ป" คือ ประสิทธิภาพปลอดภัย และประหยัด ช่วยเพิ่มความเข้าใจและใช้ยาได้อย่างถูกต้อง ทำให้ได้ผลดีในการรักษา ช่วยลดผลเสียผลข้างเคียงของยา ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ทำให้ผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลน้อยลง เมื่อจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาลก็จะหายได้ไว กลับบ้านได้เร็ว กลุ่มที่ควรนำยาไปรับตรวจเช็ก ได้แก่

ผู้ที่ใช้ยาหลายชนิด ซึ่งรวมถึงสมุนไพร ยาไทย ยาหม้อ ยาลูกกลอน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ๆ ด้วย ผู้ที่มีโรคประจำตัวหลายโรค

ผู้ที่ได้รับยาหลายแหล่ง หรือหลายหมอ หรือหลายแผน (ไทย จีน และตะวันตก)

ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยา ผู้ที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล และผู้ที่ต้องการประหยัดค่ายา เป็นต้น

ถึงตรงนี้ขอบอกผู้ที่มี่ยาหลายชนิด น่าจะนำยาทั้งหมดไป "ตรวจเช็ก" ความเหมาะสมเสียบ้าง จะได้เกิดประโยชน์ ปลอดภัย และประหยัด บันทึกและพกรายการยาทั้งหมด

ก่อนจากขอฝากเรื่อง "บันทึกและพกรายการยาทั้งหมด" ซึ่งจะเกิดประโยชน์ "3ป" ต่อผู้ที่ใช้ยาในลักษณะคล้ายคลึงกับการตรวจเช็กยาเช่นกัน ด้วยการจดบันทึกรายการยา โรค และการแพ้ยา (ถ้ามี) ของเราและนำพกติดตัวไปด้วยเสมอ เมื่อใดที่ต้องเข้ารับการรักษา จะได้แสดงข้อมูลด้านสุขภาพที่เป็นประโยชน์เหล่านี้กับแพทย์ เภสัชกร หรือพยาบาลผู้ให้การรักษาได้รับทราบโดยละเอียด เมื่อจ่ายยาจะได้เลือกยาที่เป็นประโยชน์ ปลอดภัย และประหยัด ให้กับท่านทั้งหลาย ให้ได้ใช้ยาอย่างเหมาะสม เป็นการส่งเสริมการใช้ยาอย่างพอเพียง ไม่มาก หรือน้อยเกินไป

ไม่มีความคิดเห็น: