30 พ.ค. 2552

เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง – เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy

เพื่อนคนหนึ่ง หกล้ม ในงานบาร์บีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น อิงอิงดูยืนไม่ค่อยมั่นคง เพื่อนช่วยปัดเสื้อผ้าให้ แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน 6 โมงเย็น ถ้าหากเพื่อน ๆ รู้จักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อน ๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็นอัมพฤตหรืออัมพาต

แพทย์ประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม. ก็จะมีโอกาสรอด หากคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้

S: (smile) ให้ผู้ป่วยยิ้ม
T: (talk) ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง
R: (raise) ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง

อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!!

ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบติดต่อแพทย์ หรือส่ง ร.พ. โดยด่วน

ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก, เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้าง แล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาด ๆ ยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนาน ๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย

โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่? ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง

จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ ๆ ก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอเส้นเลือดอุดตันได้เลย

เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออกยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือดเราอีก เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้น หนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุก ๆ วัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก
ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมา ๆ หยุด ๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อย ๆ กลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ 2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ 4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน

เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่าง ๆ ให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อย ๆ เหมือนรุกใต้ดิน โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว...

โรค Attention Deficit Trait โดย ผศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th

ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ? คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างไปในเวลาเดียวกัน เช่น ในขณะที่กำลังเช็คอีเมล์ทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด

แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่าการทำงานในลักษณะ **Multitasking** นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก **Attention Deficit Trait** หรือ **ADT** โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก

ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่? ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็น “โรคสมาธิสั้น”

ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นาน ๆ ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่าง ๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา

โรค ADT นี้ มักจะเริ่มเกิดขึ้น เมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือ สิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อย ๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อย ๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้ง ๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา ดังนั้นเมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็วการทำงานหลาย ๆ อย่างไปพร้อม ๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงาน ๆ หนึ่ง (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น? ง่าย ๆ ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น

โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบันก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า

ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม "ปิดประตู" เพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง

ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน

มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย...เป็นมื้อตายผ่อนส่ง

คำตอบคือ กินสายกลาง

กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง + งดมื้อเย็น

เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้

สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโต ๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก.ก.. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด

ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่าง ๆ โดย ตับ เป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่าง ๆ ก็มากทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโต ๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้น หรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่น ถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร

การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็น เป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน

วิธีฝึกมี 4 วิธี

1. ค่อย ๆ ลดปริมาณอาหารมื้อเย็นทีละน้อย ๆ เช่น ลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหารเย็น แล้ว ห้ามกินอาหารใด ๆ ทั้งนั้น ยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่น จาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น สุดท้ายงดอาหารเย็น
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
4. กินมังสวิรัติมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน

ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน

เปลี่ยนสีผมด้วยตัวเองให้สวย

ถ้าคุณเป็นสาวมือใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนสีผมด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก หรือ ถึงแม้คุณจะเคยเปลี่ยนสีผมด้วยตัวเองมาก่อนแล้วแต่ยังทำได้ไม่ดีหรือมีปัญหา ที่ไม่คาดคิดตามมาด้วยเสมอ เคล็ดลับพวกนี้สามารถช่วยคุณเปลี่ยนสีผมด้วยตัวเอง ให้ออกมาได้อย่างสวยงามราวกับมืออาชีพ

ตัดผมก่อนเปลี่ยนสี : ถ้า คุณมีเส้นผมแห้งเสียหรือแตกปลายก็ตัดเล็มซะให้ดีก่อนเปลี่ยนสีผมเพราะเส้นผม ที่แห้งเสียมักจะมีรูพรุนทำให้ดูดซับสีไว้มากกว่าเส้นผมส่วนที่เหลือสีผมจึง อาจดูเข้มไม่เท่ากันได้

อย่าขี้เหนียว : ถ้า คุณมีเส้นผมยาวเกินไหล่ลงไปผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมเพียงกล่องเดียวก็อาจไม่ เพียงพอต่อความต้องการของคุณฉะนั้นก็ควรซื้อเพิ่มเป็นสองกล่องเพื่อที่คุณจะ ได้ชะโลมทาเส้นผมให้ทั่วทั้งศีรษะได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้สีผมดูสม่ำเสมอเท่ากันทั้งศีรษะ

เปลี่ยนสีทีละส่วน : แบ่ง เส้นผมบนศีรษะออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆกันแล้วติดกิ๊บแยกเป็นส่วนๆเอาไว้จากนั้น ก็ทาผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมไปทีละส่วนจนครบทั่วทั้งศีรษะวิธีนี้จะทำให้คุณรู้ ได้ว่าเส้นผมส่วนไหนที่ทาไปแล้วและส่วนไหนที่ยังไม่ได้ทา

ทิปเด็ด! สวยใสในพริบตา

ถ้าคุณมีเวลาไม่มากนักในการแต่งเติมความงามบนใบหน้า นี่คือขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้คุณดูสวยพร้อมในเวลาอันรวดเร็ว

* ใช้ครีมรองพื้นแบบแท่งกลบรอยแดงๆ และสิวเอาไว้ การเลือกเฉดสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวของคุณ จะช่วยให้ทาได้ง่ายและเร็วขึ้น

* ที่ดัดขนตาดีๆ จะช่วยให้ดวงตาของคุณดูโตขึ้น และขนตางอนสวยโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที

* การปัดมาสคาร่าสองสามรอบ จะช่วยให้ดวงตาดูโดดเด่นขึ้นมาทันที ถ้าคุณไม่มีเวลาทาอายแชโดว์หรือเขียนอายไลเนอร์* ใช้ผลิตภัณฑ์อเนกประสงค์ที่ใช้แต่งเติมความงามบนใบหน้าได้หลายอย่าง และสามารถใช้นิ้วแต้มลงบนเปลือกตา แก้ม และริมฝีปากได้ โทนสีชมพูกุหลาบ สีพีช และสีบรอนซ์เป็นโทนสีที่ใช้ได้ดีที่สุด

* ใช้ลิปสติกแบบบางใสและมีความมันวาว หรือลิปบาล์มแบบที่มีสีเจืออยู่เล็กน้อย จะช่วยให้เรียวปากดูสวยใสได้โดยไม่ต้องเขียนขอบปากหรือทาทับด้วยลิปกลอส ลิปสติกโทนสีแดงหรือชมพูจะช่วยให้ดูสดใสขึ้นได้ แม้ในยามที่แต่งหน้าไม่ครบสูตร

ไฮไลต์เสริมดวงตา

เพื่อเสริมให้ดวงตาดูเด่นขึ้นอย่างแท้จริงพิจารณาจุดเด่นและข้อบกพร่อง ของดวงตาให้ดี และใช้ไฮไลต์เพื่อเสริมจุดเด่นและพรางจุดด้อยของคุณ

ตาห่าง ทาที่กึ่งกลางรอยพับเปลือกตาเล็กน้อย มันจะส่องประกายแวบขึ้นมาในยามกระพริบตา

ตาชิด ทาไฮไลต์ที่หางตา เริ่มจากขอบนอกของลูกตาดำเกลี่ยออกไปข้างนอก เพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้ดู
ตาห่างกัน

เปลือกตาหนาหรือบวม แทนที่จะไฮไลต์ที่เปลือกตาและทำให้มันดูบวมขึ้นไปอีก ทาที่ใต้โค้งคิ้วเล็กน้อย เพื่อสร้างสมดุล

เปลือกตาเล็ก ทาชิมเมอร์ทั่วเปลือกตา จะทำให้เปลือกตาดูเต็มอิ่มขึ้น

เปลือกตาแบน เปลือกตาที่ไม่มีรอยพับเห็นชัดเจนจะดูดีขึ้น ถ้าทาไฮไลต์ที่หัวตา (หนึ่งในสามของเปลือกตา) แล้วเกลี่ยขึ้นข้างบนหาโหนกคิ้ว

บำบัดผิวให้สวยกระจ่างใสด้วยพลังผักผลไม้

มลภาวะ ฝุ่นควัน แสงแดด และความเครียด เป็นศัตรูตัวร้ายของผิวพรรณที่คอยบ่อนทำลายผิวสวยแก้มใสของคุณให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ หมองคล้ำ ไม่พิสุทธิใสอย่างวัยแรก

คุณไม่ต้องวิตกกังวลใจจนถึงขั้นซื้อหยูกซื้อยารักษาสิวรักษาฝ้า มาร์คหน้า พอกหน้าด้วยสารพัดเครื่องสำอางราคาแพงลิบลิ่ว ก่อนสิ่งอื่นใดคุณน่าจะลองมองหาวิธีแก้ไขในเบื้องต้นที่จะช่วยบำบัดผิวให้กลับมากระจ่างใส ด้วยพืชผักผลไม้ที่เรียกได้ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ แถมยังหาง่ายมีใกล้ ๆ ตัวค่ะ

คืนความสดใสแก้ไขผิวอ่อนล้าไม่สดใส ผิวแห้งเหี่ยวหย่นขาดความนุ่มชุ่มชื้นลองใช้แตงกวาสด ๆ ล้างน้ำให้สะอาดนำไปสับหรือปั่น คั้นเอาแต่น้ำนำมาทาบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกผิวหน้าของคุณจะสดใสมีชีวิตชีวา สามารถ ช่วยคืนความสดชื่นให้กับผิวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผิวหน้าที่อ่อนล้าและทรุดโทรม

หรือจะใช้ชาซึ่งในใบชามีสารยางบางชนิดเป็นยาฝาดประสานอยู่ ช่วยเคลือบผิวที่บอบช้ำให้กลับคืนสู่สภาพปกติ โดยนำใบชาที่ต้มแล้วบรรจุลงบนถุงผ้าสะอาดบาง ๆ ขนาดเล็ก แล้ววางบนใบหน้าหรือบริเวณรอบดวงตา ช่วยให้ผิวหน้าและผิวรอบดวงตาชุ่มชื้นสดใสได้อีกครั้ง

คืนผิวสวยเนียนใส ไร้รอยด่างดำ ผิวหน้ามากด้วยสิว ฝ้า ริ้วรอย จุดด่างดำ ไม่ขาวนวลกระจ่างใสให้ใช้น้ำผึ้งแท้ ๆ และมะขามเปียก นำมาผสมกันในอัตราส่วนที่เข้มข้นทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ล้างออกจะช่วยให้ผิวหน้าคุณนวลเนียนผ่องใสไม่หมองคล้ำ ดูเกลี้ยงเกลามากยิ่งขึ้นค่ะ

หรือใช้น้ำมะนาวผสมน้ำ 1 :1 ทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออก ทำวันละ 1 ครั้ง เพื่อสิว ฝ้า จุดด่างดำค่อย ๆ เลือนหาย แล้วผิวยังนุ่มนวลอีกด้วยค่ะ

ให้ผิวสวยยิ่งสวยเปล่งปลั่ง บำรุงผิวสาวให้ยิ่งสดใส ด้วยผลอโวคาโด ซึ่งเป็นผลไม้ของฝรั่ง เปลือกสีเขียว ผิวมีลักษณะขรุขระ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน เอ บี ซี ดี และอี

โดยก่อนที่คุณจะเข้านอนให้นำผลอโวคาโดโดยประมาณ 1/2 ของผล มาบดหรือปั่นให้ละเอียดจนเหมือนเนยเหลว แล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้สักครู่ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วค่อยล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณยิ่งเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น น่าสัมผัสค่ะ

หรือใช้มะเขือเทศสุกสด ๆ มาปั่นให้ละเอียดแล้วนำมาพอกที่ผิว ซึ่งในน้ำมะเขือเทศสุกมีสารที่ช่วยในการขจัดเชื้อแบคทีเรียตามรูขุมขนช่วยให้ผิวสดใสยิ่งขี้น อีกทั้งยังช่วยสมานผิวให้นุ่มชุ่มชื่น เต่งตึงมีน้ำมีนวล

สมานผิวให้นุ่มชุ่มชื่น ด้วยวุ้นจากว่านหางจระเข้ โดยใช้วุ้นที่ตัดออกมาใหม่ ๆ จากต้น ล้างยางสีเหลืองออกให้สะอาด แล้วนำวุ้นมาตีปั่นให้ละเอียดก่อนนำมาพอกที่ผิวจะช่วยบำรุงให้ผิวนุ่มมีสุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยสมานแผลได้

แต่ถ้าหากผิวของคุณมีสิวฝ้ามาก ทั้งสิวอักเสบ รอยแผลเป็น จุดด่างดำ ฝ้าลึก กระที่เกิดขึ้นมากจนไม่สามารถจะใช้ธรรมชาติบำบัดผิวได้ การไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจรักษา ก็คงจะเป็นการดีกว่าที่ไปหาซื้อยาหรือเครื่องสำอางที่เราก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่ามีมาตรฐานและความปลอดภัยจริงไหมคะ

กินผัก-ผลไม้ หลากสี ดีต่อสุขภาพ

สีสันแต่ละสีมีความยาวคลื่น และความถี่ของคลื่นแสงสีเฉพาะตัว ซึ่งไม่เพียงมีผลต่อการรับรู้ทางสายตาเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อร่างกายของเราอีกด้วย เพราะสีสันเหล่านั้นจะบ่งบอกถึงคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ที่แฝงอยู่ ตัวอย่างเช่น สีส้มของส้มช่วยขับสารพิษ สีแดงของมะเขือเทศช่วยเพิ่มพลัง ส่วนสีเหลืองของข้าวโพดช่วยทำให้อารมณ์ดี

สีแดงที่เร่าร้อนช่วยเพิ่มพลังให้มีชีวิตชีวาใครที่แพ้อากาศหนาว หรือเป็นคนขี้หนาว สามารถเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายได้ด้วยการรับประทานผัก-ผลไม้สีแดง อย่างเช่น มะเขือเทศ กะหล่ำปลีแดงออกม่วง สตรอว์เบอร์รี่ หรือเชอร์รี่ เป็นต้น เนื่องจากสีแดงในผัก-ผลไม้ดังกล่าว มีความยาวคลื่นที่ยาวแต่มีคลื่นความถี่สั้น ด้วยเหตุนี้มันจึงมีสรรพคุณที่ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย นอกจากนี้สารสีแดงดังกล่าวยังมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบการย่อยและดูดซึมสารอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นในแง่ของจิตใจ การกินผัก-ผลไม้สีแดงยังช่วยทำให้เจริญอาหาร และทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่มีสีใดเสมอเหมือน

สีส้มที่เจิดจ้าช่วยขับอนุมูลอิสระและสารพิษผัก-ผลไม้สีส้มอย่างส้ม ฟักทอง แครอต แอปริคอต และมะละกอ เป็นผัก-ผลไม้อีกกลุ่มหนึ่งที่มีโทนสีซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่น แถมช่วยกระตุ้นการขับถ่ายของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผัก-ผลไม้สีส้มเหล่านี้จะอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดีและช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็งได้

สีเหลืองที่แจ่มจรัสช่วยให้อารมณ์แจ่มใสเบิกบานสีเหลืองคือตัวแทนของความสดใสร่าเริงแห่งช่วงเวลากลางวัน และสำหรับผัก-ผลไม้สีเหลืองที่แสนอร่อยและน่ากินก็ได้แก่ ข้าวโพด ดอกโสน กล้วย มะม่วงสุก สับปะรด และแคนตาลูป ฯลฯ ได้รับประทานเมื่อไหร่เป็นต้องอารมณ์ดีมีชีวิตชีวา ฉะนั้นหากใครที่กำลังเครียด ๆ หรือรู้สึกหดหู่เศร้าซึมกับชีวิต ถ้าได้รับประทานผัก-ผลไม้สีนี้ดูสักหน่อยรับรองว่าจะหายเครียดหายหดหู่เป็นปลิดทิ้ง เพราะผัก-ผลไม้ดังกล่าวมีสารช่วยผ่อนคลายระบบประสาท และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น

สีเขียวตองอ่อนช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคผัก-ผลไม้สีเขียวตองอ่อนคือแหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกายมากมายไม่แพ้สีอื่นๆ อย่างเช่น มะกอก มะยม มะเฟือง องุ่นเขียว มะระจีน อะโวคาโด และกีวี ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีมะนาวซึ่งเป็นผลไม้ที่มีเนื้อเป็นสีเขียวตองอ่อนอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมสร้างร่างกายให้มีภูมิต้านทานโรคที่แข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยทำความสะอาดหลอดลม และชะล้างเชื้อโรคได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สีเขียวสดช่วยบำรุงสุขภาพให้สดชื่นพืชผักสีเขียวสด อาทิเช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักกระเฉด ตำลึง ผักโขม พริกหวานสีเขียว และบร็อกโครี่ ฯลฯ ตามทฤษฎีสีถือว่ามีสรรพคุณเย็น ซึ่งตรงข้ามกับสีแดงที่มีสรรพคุณให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แต่อย่างไรก็ดีพืชผักสีนี้สามารถช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงสดชื่นและลดการอักเสบติดเชื้อได้ แถมยังมีส่วนช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพได้อีกต่างหาก

ฉะนั้นถ้าหากไม่อยากเป็นหวัด ท้องผูก หรือสิวขึ้นเต็มหน้า ก็ควรหมั่นรับประทานผัก-ผลไม้เหล่านี้เป็นประจำ และทางที่ดีควรรับประทานให้หลากหลายสีสัน เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุต่างๆอย่างครบถ้วน เป็นการสร้างสุขภาพให้สวยงามสมส่วน

24 พ.ค. 2552

โบท็อกซ์ ฉีดสวยด้วยาพิษ !!

นพ. เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ศัลยแพทย์ด้านระบบประสาท, น.บ.

เร็วๆ นี้มีดาราท่านหนึ่งออกมาร้องเรียนผ่านหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ถึงประสบการณ์ร้ายเกี่ยวกับการฉีดยา Botox ที่ทำให้หน้าดูหนุ่มกว่าวัย (แสดงว่า เดี๋ยวนี้ท่านชายก็ไม่แพ้สาว ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องใบหน้ามากพอ ๆ กัน) เหตุการณ์คร่าวๆ คือ ดาราชายท่านนั้นเห็นว่าเพื่อนมีสิทธิได้รับการฉีดยาด้วยBotoxจากสถานพยาบาลแห่งนั้นฟรีๆ แต่ไม่ใช้สิทธิ ตนจึงอาสาไปใช้สิทธินั้นแทน โดยหวังจะให้รอยย่นที่หน้าผากหายไป แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปดังคาด เพราะภายหลังการฉีดยา ไม่เพียงแต่รอยย่นที่หายไปและทำให้หน้าผากตึงขึ้น แต่กลับมีหนังตาข้างหนึ่งกลับหย่อนตกลงมา (ตาตก) ทำให้หนังตามาปิดการมองเห็น ส่งผลกระทบต่ออาชีพของนักแสดงท่านนั้น จึงออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากแพทย์ผู้ให้การรักษาและสถานพยาบาลนั้น เรามาทำความเข้าใจกับเรื่อง botox ให้ดีกว่านี้ แล้วจะทราบว่าการฉีด botox ที่ถือว่าค่อนข้างปลอดภัย ทำไมจึงมีปัญหาเกิดขึ้นได้อีก

โบท็อกซ์ คืออะไร? "โบท็อกซ์" (Botox) เป็นชื่อการค้าของสารพิษที่เรียกว่า “โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin type A)” ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างจากแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) โดยปกติแล้วโปรตีนนี้ถือเป็นสารพิษร้ายแรงที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์ และนับได้ว่าสารนี้เป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งบนโลกมนุษย์ใบนี้ ซึ่งพบได้จากอาหารกระป๋องที่มีการปนเปื้อนเชื้อนี้ หากร่างกายมนุษย์ได้รับโปรตีนนี้เข้าไป จะทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อต่างๆ และเมื่อได้รับในปริมาณมากจะเกิดภาวการณ์หายใจล้มเหลวเพราะกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจหมดแรง (เป็นอัมพาต) ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาด้วยการช่วยหายใจ จะเสียชีวิตทุกรายเพราะสารพิษนี้ไม่มียาต้านโดยตรง

ในทางการแพทย์เมื่อพบว่าโปรตีนนี้มีผลทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ จึงทำการดัดแปลงและลดปริมาณสารพิษนี้ลงโดยการทำให้พิษอ่อนลงมาก เพียงเพื่อหวังผลให้กล้ามเนื้อที่ได้รับสารนี้เข้าไปเกิดอาการอ่อนแรงเฉพาะส่วน (กล้ามเนื้อคลายตัว) ซึ่งในทางเสริมสวยจะนำสารนี้มาฉีดตรงกล้ามเนื้อที่เกิดรอยย่นบริเวณใบหน้าและลำคอ เพื่อให้ผิวหนังปราศจากรอยย่นจากกล้ามเนื้อที่อยู่ข้างใต้และกลับมาดูแต่งตึงเหมือนหนุ่มสาว

การใช้ Botox ในทางการแพทย์

เดิมทีนั้นแพทย์มักจะใช้สารพิษชนิดนี้มาทำให้กล้ามเนื้อบางมัดมีการคลายตัวเพื่อใช้รักษาโรค เช่น ในรายที่มีอาการตาเหล่ ตาเข (strabismus, crossed eyes) ทำให้ตาสองข้างไม่สามัคคีกัน เนื่องจากมีกล้ามเนื้อบางมัดทำงานมากกว่าบางมัด แต่ภายหลังการฉีดยานี้ มีการสังเกตว่ายาที่กระจายไปโดนกล้ามเนื้อรอบตาหรือหน้าผากจะทำให้กล้ามเนื้อมัดนั้นคลายตัวและมีผลทำให้รอยย่นบนผิวหนังหายไปตามการคลายตัวของกล้ามเนื้อนั้นด้วย

นอกจากการรักษาตาเหล่ ตาเขแล้ว ผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้อกระตุกอย่างรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีการรักษาอื่น ก็จะได้รับการฉีดยาตัวนี้เพื่อให้มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อและลดอาการกระตุกลง

การใช้ Botox ในการเสริมสวย

เมื่อนำสารพิษ Botox ที่ได้จากการดัดแปลงนี้มาใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยฉีดเข้ายังส่วนของกล้ามเนื้อเฉพาะที่ จะมีผลทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและรอยย่นที่อยู่เหนือกล้ามเนื้อหายไป ทำให้ใบหน้าดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ลง (Face lift) ได้ภายใน 3-4 วันหลังได้รับยา แต่การเห็นผลชัดเจนอาจต้องรอนานถึง10-14 วัน และจะมีฤทธิ์คงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน และหากต้องการให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ต้องกลับมารับการฉีดยาใหม่อีก สิ่งที่ต้องระวังคือ หากกล้ามเนื้อนั้นได้รับยาบ่อยๆ จะทำให้ลีบตัวในระยะยาวได้ ซึ่งหมายความว่ากล้ามเนื้อนั้นเป็นอัมพาตถาวรในอนาคต

เขาฉีดยากันที่ส่วนไหน

ตำแหน่งเป้าหมายของการฉีด Botox คือตำแหน่งที่ทำให้เกิดรอยย่นที่บอกถึงประสบการณ์ชีวิต โดยตำแหน่งยอดฮิตที่สุดคือ “ตีนกา” รอยย่นบริเวณหางตาสองข้างนั่นเอง ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ได้แก่ หน้าผาก บริเวณระหว่างหัวคิ้วสองข้าง (ขมวดคิ้ว) รอบดวงตา รอบปาก และรอยย่นตามลำคอ ส่วนรอยย่นบริเวณมุมปากนั้นมักไม่นิยมฉีดกันเนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงทำให้ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ
นอกจากบริเวณดังกล่าวแล้วในปัจจุบันยังมีการฉีดยานี้ในส่วนอื่นของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อใบหน้าบริเวณมุมกราม เพื่อทำให้กล้ามเนื้อฝ่อลีบลงและทำให้หน้าดูเรียวขึ้น(ซึ่งต้องคำนึงถึงข้อเสียเรื่องการใช้ขากรรไกรในการเคี้ยวอาหาร) หรือการฉีดยาบริเวณกล้ามเนื้อน่อง เพื่อให้กล้ามเนื้อลีบลงและขาดูเรียวขึ้นกว่าเดิม

ผลอันไม่พึงประสงค์จากการฉีดยา

แม้ว่าการฉีดยา Botox จะทำได้ง่าย รวดเร็ว โดยที่ผู้รับการฉีดไม่จำเป็นต้องนอนในโรงพยาบาลแต่อย่างใด ใช้เวลาเพียงแค่ไม่เกิน 10-15 นาทีทุกอย่างก็เรียบร้อย นอกจากอาการเจ็บปวดตรงตำแหน่งที่ฉีดยา หรือการติดเชื้อเนื่องจากการฉีดยาแล้ว ผลไม่เป็นไปตามที่ต้องการก็อาจเกิดขึ้นได้จากการฉีดยาผิดตำแหน่ง หรือการที่ยากระจายไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมัดนั้นขึ้นมาได้ ซึ่งในกรณีตัวอย่างที่เกิดกับดาราชาย ก็จากเหตุผลข้อนี้ คือแทนที่ยาจะอยู่เฉพาะตรงกล้ามเนื้อหน้าผาก แต่ยากลับไหลหรือกระจายไปโดนกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ในการยกหนังตาขึ้น ส่งผลทำให้กล้ามเนื้อนี้เป็นอัมพาตและแสดงออกมาในรูปแบบที่ไม่สามารถลืมตาข้างดังกล่าวขึ้นได้ (ด้วยเหตุนี้แพทย์มักจะแนะนำมิให้มีการนวดคลึงบริเวณที่ได้รับการฉีดยา หรือแม้แต่การขยี้ตาภายหลังการฉีดยา เพื่อป้องกันมิให้ยาแพร่กระจายไปนอกบริเวณที่ฉีดยา) และแม้แต่การฉีดยาที่ถูกตำแหน่งแต่หากผู้ที่ได้รับการฉีดตอบสนองต่อยามากกว่าปกติ ก็อาจทำให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ขึ้นได้เช่นกัน

นอกเหนือจากการที่ยากระจายไปนอกบริเวณที่แพทย์ต้องการดังกล่าวแล้ว ผลข้างเคียงอย่างอื่นที่อาจพบได้ภายหลังการฉีดยาหลายๆ ครั้ง เช่น คิ้วสองข้างมีลักษณะไม่สมมาตร คือคิ้วสองข้างผิดรูปไป ไม่เหมือนกัน เพราะการคงอยู่ของฤทธิ์ยาที่อาจไม่เท่ากัน รวมทั้งการที่กล้ามเนื้อฝ่อตัวลงไม่เท่ากัน เพราะการไม่ได้ใช้งานของกล้ามเนื้อมัดนั้นนานๆ

การคงอยู่ของ Botox ในร่างกาย

Botox จะไม่มีการสะสมในร่างกาย ภายใน 4-6 เดือนยาจะสลายตัวและหมดฤทธิ์ไปเองทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ดังเดิมอีก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าตำแหน่งที่ฉีดนั้นเคยโดนฉีดมาก่อนหน้านี้หรือไม่ เป็นการฉีดในผู้ที่มีอายุมากหรือน้อย และฉีดในปริมาณมากน้อยเพียงใดและในตำแหน่งใด เช่น ในรายที่โดนฉีดมาก่อนหลายครั้ง อาจทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตอยู่นานกว่าคนที่เพิ่งจะได้รับเป็นครั้งแรก

ข้อห้ามในการใช้ Botox

จากคำแนะนำขององค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกา ห้ามการใช้ยานี้ในผู้ที่มีปัญหาโรคทางระบบประสาท โรคทางกล้ามเนื้อ หรือสตรีที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

อันตรายของ Botox

ที่ผ่านมามีการใช้ Botox เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคตาเหล่ ตาเขตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 และมีการใช้เพื่อเสริมความงามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 และนับตั้งแต่นั้นมากล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมเสริมความงามได้มีการเติบโตเร็วที่สุดด้วยอิทธิพลของBotox สำหรับการฉีด Botox เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นนั้นยังไม่เคยมีรายงานผู้ที่ได้รับ Botox แล้วเป็นอันตรายถึงชีวิต ยิ่งหากได้รับยาจากผู้ที่เป็นแพทย์ตัวจริง คงเรียกได้ว่ามีความปลอดภัยสูง แต่เมื่อไม่นานมานี้เริ่มมีการรายงานถึงการแพร่กระจายของ Botox เข้าไปยังระบบประสาทส่วนกลาง(สมอง) ซึ่งแต่เดิมไม่มีใครทราบว่ายานี้จะสามารถกระจายจากตำแหน่งที่ฉีดบริเวณผิวหนัง เข้าไปยังระบบประสาทส่วนกลางได้

ข้อมูลจากนักวิจับระบบประสาทที่สถาบันวิจัยแห่งชาติอิตาลี (National research council’s institute of Neuroscience, Consiglio Nazionale delle Ricerche) พบว่าการฉีด botulinum เข้าไปที่ผิวหนังที่ใบหน้าของหนูทดลอง พบว่ายาส่วนหนึ่งสามารถกระจายตัวเข้าไปถึงบริเวณก้านสมองของหนูทดลองได้ นอกจากนี้สารพิษนี้ยังสามารถคงอยู่ในสมองของหนูทดลองได้นานนับ 6 เดือน และยังสามารถกระจายไปยังส่วนอื่นของสมองได้อีกด้วย และเมื่อนำสมองของหนูทดลองมาตรวจวิเคราะห์ ก็พบว่ามีการเสื่อมสลายของโปรตีนในก้านสมองของหนูทดลอง แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่พบอันตรายในระดับนี้จากการฉีดในคน (ปริมาณการใช้ยาถือว่าต่ำกว่าระดับที่เป็นพิษอยู่มาก)

สมาคมแพทย์ความงามในประเทศสหรัฐอเมริกาต้องการให้มีการยืนยันผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้นให้หนักแน่นกว่าที่อธิบายมาและเชื่อว่าผลข้างเคียงของ Botox มักเกิดเนื่องจากการฉีดผิดตำแหน่ง หรือฉีดในปริมาณที่เกินกว่าที่ควรจะได้รับต่อการฉีดหนึ่งครั้ง (หนังตาตกหรือหน้าไร้ความรู้สึก) มากกว่าเกิดจากตัวยาเอง

ถึงตอนนี้แล้ว คุณคงทราบแล้วว่า “สวยด้วยยาพิษ” คงไม่เกินความเป็นจริง และคงทราบแล้วว่าแม้ว่าจะมีความปลอดภัยแค่ไหน แต่โอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการได้รับสารพิษตัวนี้ก็ยังมีอยู่ ดังนั้นก่อนใช้สารตัวนี้ จึงควรทำความเข้าใจถึงอันตรายและผลข้างเคียงเหล่านี้ไว้ด้วยเสมอ

มาเพิ่มอาหารให้ สมอง กันเถอะ

‘เฮ้อ! ช่วงนี้เป็นอะไรไปนะ หัวตื้อๆ คิดอะไรไม่ค่อยออกเลย แถมยังลืมนั่นลืมนี่เป็นประจำเสียด้วยสิ’ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมี ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ถึงเวลาแล้วค่ะ ที่จะต้องหันมาดูแลสมองให้มากกว่านี้เพราะผู้หญิงทำงานอย่างเราจำเป็นต้องใช้สมองคิดนั่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา หากยังทำเมินปล่อยปละละเลยไม่สนใจ

ระวัง! คราวหน้าคุณอาจจะลืมหน้าแฟนไปเลยก็ได้นะคะ ว่าแล้ว ขอแนะนำอาหารที่มีประโยชน์ในการบำรุงสมองมาให้สาวๆ ได้รู้จักกัน เริ่มที่...

1.ธัญพืช
สาวขี้ลืมอย่างนี้ ต้องหันมากินอาหารที่มีธัญพืชสูงแล้วค่ะ เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าว-ซ้อมมือเพราะจากผลการศึกษาพบ ว่า ผู้หญิงที่ได้รับกรดโฟลิกมากๆ วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 จะมีความจำดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้รับสารอาหารเหล่านี้เลย

2.บลูเบอร์รี่
จากการวิจัยของ Tufts University สหรัฐอเมริกา ได้แนะนำว่าสารสกัดจากบลูเบอร์รี่สามารถช่วยป้องกันอาการความจำสั้นได้ค่ะ

3.ไขมันจากปลา
กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างกรดโอเมก้า 3 ที่พบในปลาที่มีไขมัน หรือไขมันจากวอลนัทและเมล็ดจากต้นแฟล็กซ์ จะมี DHA (Decosapentaenoic Acid) สูง ซึ่งเป็นกรดที่สำคัญต่อเซลล์สมองของเรา เพราะถ้าหากระดับของ DHA ในร่างกายต่ำ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์และความจำเสื่อมได้ นอกจากนี้ปลาก็ยังมีไอโอดีน ช่วยให้ความจำดีขึ้นด้วยค่ะ

4.มะเขือเทศ
มีหลักฐานยืนยันว่า ไลโคพีนซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่พบในมะเขือเทศ สามารถช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ ที่พบในอาการของโรควิกลจริตและโรคอัลไซเมอร์

5.ซีเรียล
คนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์จะมี Homocysteine อยู่ในปริมาณที่สูง กรดโฟลิกและวิตามินบี 12 จะสามารถช่วยขัดขวางการสะสมของ Homocysteine ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ และซีเรียลเองก็เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินบี 12 แถมยังมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอีกด้วย ช่วยให้พลังงานนานและทำให้ความจำ Alert ตลอดทั้งวัน

6.Black Currant
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าวิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างความจำของเราให้ว่องไวขึ้น และแหล่งที่มีวิตามินซีอยู่เยอะก็คือ ต้น Black Currant นี่แหละค่ะ

7.เมล็ดฟักทอง
สังกะสีมีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความจำและทักษะในการคิด ดังนั้น หากคุณกินเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

8.บร็อกโคลี เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค ช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการเรียนรู้และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

9.ถั่ว จากผลการวิจัยที่ลงใน American Journal of Epidemiology ได้แนะนำเอาไว้ว่า วิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม และถั่วเองก็เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินอี นอกจากนี้วิตามินอียังพบได้ในผักใบเขียว เมล็ดพืช ไข่ ข้าวซ้อมมือ และธัญพืชค่ะ

สตรอเบอร์รี่ ผลไม้แห่งสุขภาพ

พืชผักผลผลิตของโครงการหลวง ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องคุณภาพคับแก้ว โดยเฉพาะ “สตรอเบอร์รี่” ปลูกได้ผลดี ลูกใหญ่รสหวานฉ่ำ ไม่แพ้สตรอเบอร์รี่อิมพอร์ตจากเมืองนอกเมืองนา และด้วยความภาคภูมิใจเป็นนักหนา มูลนิธิโครงการหลวง จึงจับมือกับห้างฯเซ็นทรัล ชิดลม จัดงาน “โครงการหลวง สตรอเบอร์รี่แฟร์” ที่ดิ อีเวนท์ฮอลล์ ชั้น 3 ระหว่างวันที่ 13-17 ก.พ.นี้ เพื่อต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง

ภายในงานแฟร์ครั้งนี้ มีไฮไลต์อยู่ที่นิทรรศการ “สตรอเบอร์รี่พันธุ์พระราชทาน” นำสตรอเบอร์รี่สายพันธุ์พระราชทานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พันธุ์พระราชทาน 50, พันธุ์พระราชทาน 70 และพันธุ์พระราชทาน 72 มาจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด พร้อมเดินชมแปลงปลูกสตรอเบอร์รี่จำลอง และสามารถทดลองเด็ดผลสดๆจากต้นชิมดูได้โดยไม่หวงห้าม นอกจากนี้ ยังจัดจำหน่ายสตรอเบอร์รี่ทั้งสดและแปรรูปจากพันธุ์พระราชทาน รวมถึงสายพันธุ์อื่นๆ ให้ได้ซื้อหากันสนุกสนาน

อย่างไรก็ดี แม้คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับ “สตรอเบอร์รี่” เป็นอย่างดี แต่น้อยคนนักจะรู้ถึงคุณประโยชน์แท้จริงของผลไม้สีแดงฉ่ำรูปทรงน่ารักน่ากิน “สตรอเบอร์รี่” เป็นผลไม้ที่มีอานุภาพสูงมากในการต้านอนุมูลอิสระ (ต้นเหตุแห่งความแก่) แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินซี, เอ, ฟอสฟอรัส และแคลเซียม จึงช่วยป้องกันโรคได้สารพัด ทั้งการเกิดมะเร็ง, โรคหลอดเลือดอุดตัน, โรคหวัด และโรคภูมิแพ้ ผลการศึกษาทาง การแพทย์ ยังพบว่า เมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากันกับผลไม้ชนิดอื่นๆ “สตรอเบอร์รี่” มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า “ส้ม” ถึงหนึ่งเท่าครึ่ง, สูงกว่า “องุ่นแดง” สองเท่า, สูงกว่า “กีวี” สามเท่า, สูงกว่า “กล้วยหอม” กับ “มะเขือเทศ” เจ็ดเท่า และสูงกว่า “ลูกแพร” ถึงสิบห้าเท่า!!

มากประโยชน์ขนาดนี้ แถมยังหน้าตาน่ารักน่าหม่ำซะไม่มี คู่รักยุคใหม่ น่าจะเปลี่ยนเทรนด์ หันมามอบ “สตรอเบอร์รี่” เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ แทนกุหลาบช่อใหญ่ หรือ ตุ๊กตาหมีแบบเดิมๆ ซึ่งแสนจะสิ้นเปลือง...ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ปีนี้ คนมีคู่ หรือไม่มีคู่ ก็แวะไปอุดหนุนสตรอเบอร์รี่สายพันธุ์เลิศ ได้ที่เซ็นทรัล ชิดลม.

สูตรล้างสารพิษออกจากผมและผิว

ในต่ละวัน คิดดูสิคะว่าเราต้องเจอกับมลภาวะมากขนาดไหน ทั้งแสงแดด ควันรถ ฝุ่นผง ผิวและผมของเราต้องถูกกระทบกระเทือนจากสิ่งเหล่านี้เป็นแน่ แล้วถ้าใครยิ่งเครียด ยิ่งนอนดึก ก็จะยิ่งไปกันใหญ่ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เรามีวิธีการชะระล้างสารพิษออกจากผิว อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ก้ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องจ่ายแพงเข้าไปใช้บริการสปาด้วยค่ะ

มาจัดการกับผมกันก่อนดีกว่า

เราเรียกว่า Cucumber Hair Wrap ค่ะ สูตรเพื่อผมสุขภาพดีนี้

ใช้งบประมารแค่ 150 บาทค่ะ

เริ่มต้นจากการเตรียมส่วนผสมกันก่อน

- แตงกวา ? ผล ปอกเปลือกบทให้ละเอียด
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- น้ำมันมะกอกอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีการ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมกัน แล้วทาให้ทั่วเส้นผม ใช้มือสางจากโคนถึงปลายผม แล้วขมวดเป็นมวยเอาไว้ 10 นาที ค่อยล้างออก จะช่วยถนอมเส้นผม ยิ่งใครไปว่ายน้ำมา สูตรนี้จะช่วยล้างคลอรีนที่ติดผมได้ด้วยค่ะ

ตามด้วยใบหน้า
Eualyptus Facial Steam & White Mud Facial

สูตรนี้ใช้งบประมาณ 155 บาทค่ะ

ส่วนผสมประกอบด้วย

- น้ำมันหอมกลิ่นยูคาลิปตัส 5 หยด
- ดินสอพอง ละลายในน้ำมะนาวให้เป็นแป้งข้น ๆ
วิธีการ ให้เทน้ำเดือดจัด ๆ ลงในชามอ่างปากกว้าง แล้วเติมน้ำมันหอมกลิ่นยูคาลิปตัสลงไป ก้มหน้าลงอังไอน้ำร้อน โดยใช้ผ้าขนหนูคลุมศีรษะและปากชามไว้ สูดหายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ 10 นาที เช็ดหน้าให้แห้ง ล้วเอาดินสอพองที่ละลายไว้มาพอกหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที

ส่วนผิวกาย

Sea Salt Scrub

ใช้งบประมาณ 300 บาท

มีส่วนผสมดังนี้ค่ะ

- เกลือทะเลบริสุทธ์ เม็ดหยาบ ๆ 2 ถ้วย
- น้ำมันหอมกลิ่นขิง 3 หยด
- น้ำมันหอมกลิ่น Cedarwood 2 หยด

ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วขัดให้ทั่วตัว เวลาขัดจะใช้ใยบวบช่วยด้วยก็ได้ ศูตรนี้จะช่วยขจัดสารพิษ และฆ่าแบคทีเรียบนผิวหนัง แถมยังกระตุ้นระบบเลือดให้ไหลเวียนดีขึ้นอีกด้วย เริ่มขัดจากปลายเท้าวนไล่ขึ้นมา วนไปทั่วหลัง คอ และวนเข้าสู่หัวใจ

ด้วยวิธีการแค่นี้ เราก็จะมีสุขภาพผิวและผมที่ดี อีกทั้งยังดูสวยสดชื่นอีกด้วย

กินอย่างไรให้เผาผลาญ

สิ่งที่ฟ้องว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายเริ่มจะลดลงไปตามวัย ได้แก่ น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น และเซลลูไลท์ตามหน้าท้อง แขน ขา สะโพก ซึ่งการออกกำลังกายถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเร่งเผาผลาญพลังงานส่วนเกินเหล่านี้ แต่วิธีหนึ่งที่สามารถช่วยคุณได้อีกแรงก็คือการกินอาหารอย่างถูกต้องค่ะ

ลดแป้ง น้ำตาล ไขมัน - การกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงมากๆ จะทำให้ปริมาณอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายลดลง นอกจากนี้การกินไขมันมากก็ยังทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานเชื่องช้าลงด้วย

เน้นโปรตีนและผัก - การย่อยอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นกิจกรรมที่ร่างกายต้องใช้พลังงานอย่างมาก ดังนั้นการกินเนื้อปลา เนื้อหมูไม่ติดมัน เนื้อไก่ไม่ติดหนัง ฯลฯ จะช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าโปรตีนที่เหลือจากการใช้งานจะกลายเป็นไขมัน ดังนั้นอย่ากินมากจนเกินไปค่ะ อ้อ...ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงก็ขาดไม่ได้นะคะ เพราะวิตามินซีมีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานด้วย

กินน้อยแต่บ่อยขึ้น - การกินมื้อละน้อยโดยแบ่งออกเป็นมื้อย่อยๆ หลายมื้อ เช่น เช้า สาย กลางวัน บ่าย เย็น เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายมีกิจกรรมย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานตลอดทั้งวันอย่างต่อเนื่อง

ดื่มน้ำให้มาก - เพราะร่างกายต้องใช้น้ำในกิจกรรมย่อยอาหาร การดื่มน้อยอาจทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งระบบเผาผลาญพลังงานการติดขัดได้

ข้อห้ามเมื่อเข้านอน

การนอนคือการพักผ่อน หลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แล้วนอนอย่างไรไม่ให้เสียสุขภาพ วันนี้เกร็ดความรู้มีข้อห้ามทำก่อนนอนมาบอกกัน เพื่อสุขภาพที่ดี...

1. อย่าใส่นาฬิกาข้อมือนอน เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อย ๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงาน ถ้าใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาว

2. ไม่ควรนอนหลับไปพร้อม ๆ กับโทรศัพท์ หรือวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ ๆ ใครที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือไว้ห่าง ๆ เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือ จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาท เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ควรปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า

3. อย่าหลับไปพร้อมกับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้ายังไง ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้ง ๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้า จะทำให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว

4. (สำหรับสาว ๆ เท่านั้น) อย่าใส่ยกทรงนอน เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน พบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย

รู้ข้อห้ามแล้ว ก็ลองปฏิบัติกันดู เพื่อการนอนที่ดี.

โทษของบะหมี่สำเร็จรูป

ใครที่ชอบทานบะหมี่สำเร็จรูปเป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่า บะหมี่สำเร็จรูปมีโทษต่อร่างกายอย่างไรบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีโทษของบะหมี่สำเร็จรูปมาบอกกัน...

ส่วนประกอบของบะหมี่สำเร็จรูปส่วนใหญ่เป็นแป้งสาลีถึง 60-70% ส่วน 15-20% เป็นไขมัน (อยู่ในเครื่องปรุง) ที่เหลืออีก 5-6% เป็นเกลือและผงชูรสล้วน ๆ เพราะฉะนั้นถ้าทานบะหมี่สำเร็จรูปมากกว่า 1 ซองต่อวัน ร่างกายก็จะได้รับปริมาณโซเดียมเกินความต้องการถึง 50-100% ซึ่งเป็นอันตรายต่อไต และยังจะทำให้ความดันโลหิตสูงอีกด้วย

ต่อไปนี้ถ้าอยากจะทานบะหมี่สำเร็จรูปก็ควรจะทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณะสุข

- ใส่ไข่ ผัก หรือเนื้อสัตว์ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสารอาหารและป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป

- ควรเลือกซื้อบะหมี่สำเร็จรูปที่เขียนว่า เพิ่มสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ ไว้หน้าซอง

- ไม่ควรทานบะหมี่สำเร็จรูปดิบ ๆ เพราะเส้นบะหมี่จะไปพองตัวในกระเพาะ อาจทำให้ท้องอืดได้

- ที่สำคัญที่สุดคือไม่ควรทานบะหมี่สำเร็จรูปมากกว่าวันละ 1 ซอง เพื่อป้องกันโรคที่เกิดกับไต และโรคความดันโลหิต

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าทานบะหมี่สำเร็จรูปเกินวันละ 1 ซอง เพื่อสุขภาพ

อาหาร เพื่อ วันนั้นของเดือน

PMS (Premenstrual Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้น ก่อนการมี ประจำเดือน อย่างเช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน เป็นตะคริว อ่อนเพลีย หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย เป็นต้น

เมื่อใกล้ถึงวันนั้นของเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีอาการดังกล่าว มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ป้องกันหรืออย่างน้อยที่ก็บรรเทาได้หาก "เลือก" หรือ "เลี่ยง" การรับประทานอาหารบางประเภทในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน

เลือก

แมงกานีส นักวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่าแมงกานีสช่วยให้การมีประจำเดือนดำเนินไปอย่างปกติ ช่วงที่มีประจำเดือนจึงควรรับประทานอาหารที่มีแมงกานีสได้แก่ ธัญพืช ถั่ว ผัก และผลไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสับปะรด ชาแม้จะเป็นอาหารที่มีแมงกานีสเช่นกัน แต่ก็มีกาเฟอีนซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวได้

แคลเซียม ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากที่เคยรับประทานอยู่เป็นประจำ เช่น ตับ ปลาตัวเล็กตัวน้อย กะปิ กุ้ง ผักใบเขียวเช่นคะน้า เพราะผลวิจัยพบว่า แคลเซียมช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการมีประจำเดือน เช่น ปวดท้อง ปวดหลัง หงุดหงิด วิตกกังวล ซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

คาร์โบไฮเดรต เวลาปกติผู้หญิงอาจไม่สนใจอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากนัก แต่ช่วงมีประจำเดือน คาร์โบไฮเดรตคืออาหารที่ช่วยลดผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอารมณ์ลงอย่างได้ผล ผลการวิจัยจากศูนย์ศึกษาวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงดังกล่าวช่วยลดอาการหงุดหงิด เครียด อารมณ์สีย รวมถึงอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เพราะคาร์โบไฮเดรตช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเซอโรโทนินซึ่งทำให้อารมณ์ดี มีจิตใจแจ่มใสขึ้น ถ้ากลัวว่าการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงเวลามีประจำเดือนจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นก็ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮดรตที่มีคุณภาพ เช่น ธัญพืชหรือข้าวกล้อง เป็นต้น

หลีกเลี่ยง
กาเฟอีน ผลการวิจัยพบว่าผู้หญิงจีนที่ดื่มกาแฟวันละหนึ่งถ้วยครึ่งถึงสี่ถ้วย มีอาการต่างๆ ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ก่อนการมีประจำเดือนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ถึง 2 เท่า จึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในช่วงเวลาดังกล่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ร่างกายอ่อนไหวต่อการบริโภคกาเฟอีนอยู่แล้ว

ไดเอท ง่ายๆ สไตล์ สาวญี่ปุ่น

เคยสังเกตกันไหมว่า สาวญี่ปุ่น นอกจากจะคงความโนะเนะ น่ารักของวัยใสไว้ได้จนกระทั่ง เข้าวัยกลางคนแล้ว เธอยังคง ทรวดทรงงดงาม อ้อนแอ้นตามแบบหญิงเอเชีย ไม่อ้วนเผละไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หรือพกห่วงยางไว้ให้อุ่นใจ ยามเตร็ดเตร่แถวชายทะเล เหมือนสาวประเทศอื่นๆ พวกเธอมีเคล็ดลับอย่างไร ในการรักษาทรวดทรงองค์เอว ให้อ้อนแอ้นอรชรเหมือนสาวแรกรุ่น ตลอดเวลากันแน่ คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหาร ของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง เคล็ดลับที่จะนำเสนอนั้น นอกจากจะ ใช้ได้กับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังปรับใช้ได้กับอาหารไทยอีกด้วย

+ เริ่มจากการเลือก ถ้วยชาม ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้วยชามที่เหมาะสมกับการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือถ้วยชามที่มีสีออกแนว เอิร์ธโทน อย่างเช่น ขาว ดำ เทา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ความลงตัวของศิลปะในการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ

+ นอกจากนั้น ถ้วยชาม ที่ใช้ควรมี ขนาดเล็ก ไม่ควรใช้จานเปลใหญ่ในการตักอาหาร เพราะเป็นหลักจิตวิทยาว่า ถ้าคนเห็นอาหารเต็มชาม แม้ชามจะขนาดเล็กกว่าปกติ จะทำให้คนเราอิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรลดขนาดภาชนะบนโต๊ะอาหารลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากให้ฮิปโปโปเตมัสเข้าใจว่าคุณเป็นผู้ให้กำเนิด

+ การใช้ ตะเกียบพุ้ยข้าว จะทำให้คุณกินข้าวได้ช้าลง และปริมาณน้อยลง เนื่องจาก สมองรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณสิบนาที เมื่อคุณทานช้าลง ระยะเวลาสิบนาทีของการประสานงานระหว่างสมองกับร่างกายจึงไม่มากพอทีจะทำให้คุณ ยัดทะนานจนกระทั่งจุกนั่นเอง

+ การกิน อาหารหลากหลายประเภท พร้อมกับข้าว จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายของพลังงานจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานตลอดเวลา เพราะร่างกายจะคิดว่า มีอาหารชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรใช้ภาชนะขนาดเล็กตักกับข้าวหลากหลายเพื่อรับประทานในหนึ่งมื้อมากกว่าตักอาหารชนิดเดียวใส่ชามอ่าง แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่อ้วนไม่เหมือนกันแน่นอน

สีสันกับสุขภาพจิต

เรื่องของสีเป็นสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เราตลอดชีวิต ทุกสิ่งรอบตัวล้วนมีสี

สี คือ สเปกตรัมของแสงอาทิตย์ ประกอบด้วยสีหลัก 7 สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ที่เราท่องกันมาตั้งแต่เด็กๆ พลังของแสงอาทิตย์ยังสามารถซึมแทรกผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายเรา ที่เรียกว่าพลัง aura สีของแสงไม่เพียงมีผลต่อสุขภาพร่างกายเราเท่านั้นแต่มันมีผลต่อสุขภาพจิตของเราด้วย

สีมีผลต่อร่างกาย จิตใจ รวมทั้งอารมณ์ด้วย เราชอบสีอะไรเราก็มักจะเลือกใส่เสื้อผ้าสีนั้น หรือการเลือกสีห้อง สีในบ้าน สีข้าวของเครื่องใช้ก็เช่นกัน สีมีผลต่อสุขภาพจิตแน่ๆ ดังนั้นจึงมีการเลือกใช้สีสันสำหรับบรรจุภัณฑ์สินค้า เพื่อดึงดูดให้คนซื้อหา อิทธิพลของสีจึงมีความสัมพันธ์กับชีวิตคนเราตลอดเวลา

อิทธิพลของสีสันต่อร่างกายเรา

เมื่อแสงของสีผ่านเข้าไปในร่างกาย มันจะส่งผลกระทบกับต่อมไร้ท่อสำคัญๆ เช่น ต่อม Pituitary ต่อมใต้สมองที่ขับฮอร์โมนที่มีผลต่อการทำงานหลายหน้าที่ในร่างกายคนเรา ควบคุมการทำงานของระบบต่อมไร้ท่ออื่นๆ ให้มีการสร้างฮอร์โมน เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ฮอร์โมนช่วยในการเจริญเติบโต (Growth hormone) และการทำหน้าที่ของระบบสืบพันธุ์ อัณฑะ รังไข่ รวมถึงควบคุมระดับพลังงาน (energy levels) การเผาผลาญ (metabolism) ความอยากอาหาร แรงขับทางเพศ (sex drive) การเจริญเติบโต และการนอนหลับ

ตัวอย่างเช่น...

+ สีแดง จะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วแรงขึ้น ตลอดจนกระตุ้นการหลั่ง Adrenaline ซึ่งทำให้คนเราอยากอาหาร และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แต่ถ้าคุณอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่สีแดงนานๆ คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยหรือเครียดได้เหมือนกัน

+ สีเหลือง จะกระตุ้นคลื่นสมอง และทำให้จิตใจตื่นตัว กระฉับกระเฉง มองโลกในแง่ดี

+ สีฟ้า อิทธิพลของสีฟ้าจะทำให้คนเรารู้สึกสงบ เยือกเย็น รู้สึกผ่อนคลาย

ดังนั้นสีต่างๆ จึงมีความสำคัญต่อการสร้างความสมดุลระหว่างจิตใจ ร่างกาย และอารมณ์ของคนเรา เมื่อมีสีฟ้าเป็นสีเย็น และสีแดงเป็นสีร้อน การใช้ทั้งสองสีนี้ก็จะให้ความรู้สึกสมดุลขึ้น การที่คนเราจะเลือกใช้สีห้อง สีบ้าน หรือสีเสื้อผ้าอย่างไร จึงสะท้อนให้รู้ว่าเรานั้นเป็นคนอย่างไร มีความรู้สึกและอารมณ์ในช่วงขณะนั้นอย่างไรด้วย

ใช้สีที่แตกต่างกันอย่างไรดี

สีที่ทรงอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนเรามากที่สุด เห็นจะเป็นสีของห้องที่เราอยู่ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงานหรือที่ใดๆ ก็ตามที่เราได้เอาตัวเข้าไปอยู่ที่นั่น ในกรณีที่คุณเป็นผู้เลือกสีห้อง มีหลักอยู่ว่าควรให้มีความกลมกลืนระหว่างเฉดสีร้อนและสีเย็น หากดูในวงจรสีจะเห็นว่าคู่สีตรงข้ามกันบางครั้งกลับจะเข้าคู่กันได้ดี หรือเฉดสีตัวถัดไปก็จะเข้ากันได้ดีเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น...
สีแดง จะไปได้ดีกับ สีส้ม และ สีม่วง แต่งด้วย สีเขียว เล็กน้อยก็จะลงตัวยิ่งขึ้น เมื่อ สีส้ม ไปกันได้ดีกับ สีแดง และ สีเหลือง เติมด้วย สีฟ้า เล็กน้อยก็จะทำให้ดูครบยิ่งขึ้น เช่นเดียวกัน เมื่อใช้ สีเหลือง เข้ากับ สีส้ม และ สีเขียว ลองเติม สีม่วง อีกนิด สีเขียว ไปกันได้ดีกับ สีเหลือง และ สีฟ้า เติมด้วย สีแดง นิดหน่อยกำลังดี สีฟ้า เข้ากันกับ สีเขียว และ สีม่วง เติม สีส้ม เล็กน้อยก็ให้ความรู้สึกที่ดี สีม่วง ไปกันได้ดีกับ สีแดง และ สีฟ้า ให้เพิ่ม สีเหลือง นิดหน่อย

Keywords ของสี
ถ้าคุณช่างสังเกตสักหน่อยจะเห็นว่า สีแต่ละสีนั้นถูกนำมาใช้ในกาลเทศะตามความเหมาะสมต่างกัน เพราะโทนสีต่างๆ ให้ความรู้สึกหลากหลายซึ่งอาจตีความได้มากมาย

สีม่วง ดูเป็นสีผู้ดี แบบชนชั้นสูง สง่างามสง่างาม หรูหรา มีความวิจิตรบรรจง แสดงถึงสัญชาติญาณ ชวนฝัน ให้ความรู้สึกลึกลับถึงจิตวิญญาณ แต่ในบ้านคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เลือกใช้สีม่วงเป็นสีพื้นฐาน แต่กระนั้นมันก็ยังคงมีความสัมพันธ์กับจิตใจ เช่น หากว่าคุณต้องการสมาธิลึกล้ำ คุณอาจต้องการห้องที่มีบรรยากาศนิ่งขรึมหน่อย สีม่วงนี่แหละที่เหมาะที่สุด มันเป็นสีที่หนัก ดังนั้นควรใช้แต่น้อย เพราะถ้าใช้สีม่วงกับห้องทั้งห้องแทนที่จะดูสง่างามมีมนต์ขลังแต่กลับจะให้ความรู้สึกกดดันมากเกินไป

สีชมพู เป็นเฉดสีแดง แต่มีสีขาวผสมเล็กน้อย น่าทะนุถนอม สงบเยือกเย็น ให้ความรู้สึกถึงความเป็นแม่ แต่เป็นสีที่ให้พลังและอบอุ่นใจ มีการทดสอบกับนักโทษในราชนาวี สหรัฐในซีแอตเติล ในปี 1978 พบว่าคนเหล่านั้นจะมีอารมณ์สงบลงหลังจากถูกกักตัวให้อยู่ในห้องสีชมพูนาน 15 นาที และอารมณ์สงบนี้ยังอยู่ต่อเนื่องอีก 30 นาทีหลังจากถูกปล่อยตัวออกจากห้อง เนื่องจากสีชมพูจะทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอดรีนาลีนออกมา ซึ่งจะทำให้การเต้นของกล้ามเนื้อหัวใจช้าลง ความเครียดและความก้าวร้าวก็น้อยลงไปด้วย สีชมพู จะช่วยประสานความรู้สึกให้อ่อนโยนลง บำรุงความรัก เป็นสีที่โรแมนติก ดังนั้นจะเห็นว่าคนที่กำลังมีความรักมักจะถูกล้อว่าหัวใจรักสีชมพู สีนี้จึงมีสรรพคุณเข้าท่าน่าลองใช้เป็นสีห้องนอนของคนที่หย่าร้างกัน

สีแดง เป็นสีอบอุ่น โรแมนติก ชวนหลงใหล และกระตุ้นความรู้สึกได้ดี ทำให้กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยชีวิตชีวา รุ่มร้อน สีแดงยังแสดงถึงความมั่งคั่งสมบูรณ์ในความเชื่อของคนจีน เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมสีแดงความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น ทำให้การเต้นของหัวใจเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น สมองก็แอคทีฟขึ้นด้วย เป็นการกระตุ้นกลไกการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย สีแดงนี้เองที่ทำให้คนเรา เร่าร้อน ปั่นป่วนหัวใจ สีแดงเป็นสีของธรรมชาติ เป็นสีของไฟ และเลือด เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ และพลังชีวิต สีแดงจึงเป็นสีแห่งอารมณ์สีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะช่วยเพิ่มการหลั่งของอดรีนาลีน เป็นสีที่ทำให้คนพลุ่งพล่านได้ง่ายๆ น่าระวังถ้าคุณใช้สีแดงกับบ้านของคุณ และตราบใดที่คุณอยู่ในห้องสีแดงคุณอาจจะรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน หากใช้สีแดงในการบำบัดด้วยสี (colour therapy) พลังของสีแดงจะช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ แข็งแกร่งขึ้น และยังช่วยเสริมให้คนที่เฉื่อยชามีความกระฉับกระเฉงขึ้นด้วย สีแดง สีส้ม และสีเหลืองมักจะทำให้คนฉุนเฉียวได้ง่ายกว่าสีฟ้า เขียวและม่วง

สีฟ้า เป็นสีเย็น ตรงกันข้ามกับสีแดง สีฟ้าสามารถทำให้ร่างกายคนเราปล่อยฮอร์โมนที่ทำให้อารมณ์สงบลงได้ สีฟ้าช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายยามที่เรารู้สึกเครียด แต่ถ้าเราใช้มันมากมันก็จะทำให้เรากลายเป็นคนเฉื่อยไปแทน ถ้านั่งอยู่ในห้องสีฟ้าคุณอาจจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว เพราะเรารู้สึกผ่อนคลายมาก ห้องสีฟ้าเป็นสีที่ได้รับการยอมรับว่าจะช่วยให้นอนหลับได้ลึกดีที่สุด ผลการวิจัยพบว่า การใช้ยาหลอก (Placebo tablets) เม็ดสีฟ้าโดยหลอกว่าเป็นยานอนหลับนั้นได้ผลดีเยี่ยมมากกว่ายาเม็ดสีชมพู ซึ่งยังว่ากันว่าห้องสีฟ้าเหมาะจะใช้เป็นสีของห้องนอน โดยเฉพาะห้องของคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ เพราะให้ความรู้สึกสงบและเยือกเย็น สีฟ้าเป็นสีของน้ำ เป็นสีที่สงบ แต่มีความเคลื่อนไหว และดูฉลาด ให้ความรู้สึกถึงเสรีภาพและการปลดปล่อย แต่ตรงกันข้ามสีฟ้าจะมีผลต่อเด็กเล็กๆ ไม่น้อยเลย เพราะเป็นสีที่สว่าง เจิดจ้า เด็กทารกจะสามารถมองสีสว่างๆ ได้นานๆ จึงไม่เหมาะที่จะใช้กับห้องนอนเด็กเล็ก

สีน้ำเงิน เป็นสีโทนเย็น ให้ความรู้สึกถึงความยึดมั่น จริงจัง สงบนิ่ง มีพลัง และมีเสน่ห์ สุภาพ สูงศักดิ์ เป็นสีที่ให้ความรู้สึกลึกล้ำ น่าค้นหา เช่น สีของท้องมหาสมุทร ท้องฟ้ายามเย็น เป็นสีอมตะที่อยู่เหนือกาลเวลา เพราะสีน้ำเงินเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสีฟ้า เจ้าแห่งความสงบ ผสานด้วยความอบอุ่นของสีแดง สีนี้เหมาะกับการใช้กับเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และสีของสิ่งของชิ้นเล็กๆ แต่ถ้าต้องอยู่ในบรรยากาศห้องที่เป็นสีน้ำเงินกลับจะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่น เหมือนถูกกดบีบ ทำให้ที่กว้างดูแคบลงถนัดตา ดังนั้นสีนี้ไม่เหมาะที่จะเลือกใช้กับที่อยู่อาศัย

สีเขียว เป็นสีของธรรมชาติและเป็นสีแห่งความสมดุลเพราะเป็นสีที่อยู่ระหว่างกลางของสีรุ้ง มันสามารถสร้างความกลมกลืน มั่นคง และเยียวยาได้ เป็นสีที่สว่างและชัดเจน เป็นสีของคนที่เข้าใจอะไรง่าย ไม่เห็นแก่ตัว และเป็นคนที่มีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นสีที่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด หากใช้กับสีห้องจะช่วยให้เชื่อมต่อกับธรรมชาติเขียวขจีภายนอกได้ดีที่สุด มันเป็นที่มาของสตูดิโอหรือโรงละครที่จะต้องมี ห้องสีเขียว เพื่อให้ศิลปินได้เข้าไปผ่อนคลายรวบรวมสมาธิก่อนการแสดง เพราะสีเขียวมีส่วนช่วยในการระงับความรู้สึกตื่นเต้น หรือ nervous ได้ดี นอกจากนี้พืชผักสีเขียวที่เรากินก็ยังให้คุณค่าโภชนาการมหาศาล ทั้งสารอาหาร กากใยสูง ช่วยขจัดพิษต่างๆ ในร่างกายได้ และทำให้สุขภาพคงกระพัน สีเขียวยังมีความสำคัญทางการแพทย์ โดยช่วยคืนความสมดุลของจิตใจในผู้ป่วยโรคจิตด้วย สภาพแวดล้อมสีเขียวจะช่วยให้หายเหนื่อย บรรเทาอาการช็อค บำรุงขวัญ กำลังใจให้ดีขึ้นอีกด้วย คุณจึงสามารถใช้สีเขียวกับทุกๆ ห้องภายในบ้าน เพราะเป็นสีแห่งความสมดุลเป็นที่สุด

สีส้ม เป็นสีแห่งความกระตือรือร้น และมองโลกในแง่ดี เป็นสีแห่งความสนุกสนานจิตใจอบอุ่น และเป็นคนใจกว้าง เป็นสีของคนมีอารมณ์ขันและมิตรภาพ คนที่มักจะชอบใส่ชุดสีส้มมักจะเป็นคนที่มีชีวิตและจิตวิญญาณสนุกสนานเป็นเนืองนิตย์ แต่สีส้มก็เป็นสีที่ช่วยเบรคการกระตุ้นพลังงาน เป็นสีที่ทำให้คนรู้สึกฮึกเหิมต่อสู้กับความยากลำบากได้ดี สีส้มสามารถใช้ได้โดดๆ เป็นสีของห้องอาหาร เพราะให้ความรู้สึกถึงการสังสรรค์ ทั้งช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดีด้วย สีต่างๆ มีอิทธิพลต่อคนเราแตกต่างกันไป แต่มีเพียงสีฟ้าและสีแดงที่มีผลต่อความรู้สึกชัดเจนมากที่สุด ซึ่งสีส้มจะเป็นตัวเสริมให้เกิดความชื่นบาน และเร่งเร้าให้คนกระตือรือร้นในการทำงานจึงเหมาะกับการเลือกเป็นสีบริเวณทางเข้าของสำนักงานด้วยยิ่งนัก

สีเหลือง เป็นสีที่แสดงถึงความฉลาด ความสว่างไสว และความสำเร็จ หากว่าคุณต้องการกระตุ้นให้สมองคุณคิดอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการเขียนและการพูด ลองสวมใส่เสื้อผ้าสีเหลือง ใช้ห้องเรียนสีเหลือง หรือตกแต่งบ้านด้วยดอกไม้สีเหลืองก็น่าจะดี เป็นสีที่แสดงให้เห็นถึงการมีจุดหมายที่ชัดเจน และไอเดียใหม่ๆ สีเหลืองเป็นสีที่ใกล้เคียงกับแสงอาทิตย์ที่สุด ถ่ายทอดถึงความหวัง ความสนุกสนานเริงร่า และความเบิกบาน เป็นสีที่มีความเหมาะสมในการนำมาผสมผสานเข้ากับสีอื่นๆ หรือจะเลือกใช้เป็นสีตรงข้ามก็เยี่ยม ในการบำบัดทางจิตด้วยสี (colour therapy) สีเหลืองจะมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างความสมดุลแห่งจิตใจ ช่วยทำให้เกิดการตัดสินใจได้เร็วขึ้น และลดความลังเลลง สีเหลืองมักจะทำให้คนรู้สึกดี หากใช้เวลา 90% อยู่ภายในห้องสีเหลืองมันจะช่วยเสริมให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้น และลดความรู้สึกผิดหวังลงได้บ้าง สีเหลืองจึงเป็นสีที่ช่วยกำจัดมลพิษของจิตใจด้วยการทำให้คนลดความคิดเชิงลบกับสิ่งต่างๆ ลงได้

สีน้ำตาล เป็นสีตัวแทนของผืนโลกเป็นสีที่ทำให้คนรู้สึกว่าได้รับการปกป้อง และติดดิน เป็นสีเชื่อมต่อให้คนรู้สึกถึงผืนดิน แต่การที่จะเลือกใช้ ห้องเป็นสีน้ำตาลจะทำให้รู้สึกหนักเกินไป และกดดันได้ แม้จะให้ความรู้สึกปลอดภัยก็ตามที สีน้ำตาลเป็นสีแห่งฤดูใบไม้ร่วง เป็นสีแห่งวงจรธรรมชาติ สีน้ำตาลไม่ใช่สีพื้นฐานของสีรุ้ง แต่เป็นสีที่ผสมไว้ด้วยสีแดง จึงให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่สีน้ำตาลยังเป็นนิยามของ การหยุดชะงัก แสดงถึงความมีสุขภาพไม่ดี

สีขาว คือสีของแสงที่ผสานทุกสีของแสงเข้าไว้ด้วยกัน จนไม่มีสี มันคือสีของแสงธรรมชาติ เป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ และมีวัฒนธรรม ใสซื่อ สะอาด เปิดเผย มีความงดงามน่าหลงใหล สีที่หมายถึงการปกป้องคุ้มครองให้ จากนี้ไปคุณไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหมอ พยาบาลจึงใส่ชุดสีขาว กระทั่งบาทหลวงในศาสนาคริสต์ก็เช่นเดียวกัน

สีดำ เป็นสีที่นิ่ง มืด ทึบตัน และหนักแน่น มีพลังในตัวมันเอง สัมพันธ์กับความหมายของความตาย และการปฏิเสธ มีความลึกลับ และความไม่รู้ สีดำชวนให้น่าเกรงขาม หากใช้กับห้องจะให้ความรู้สึกถึงความหมดหวังและความกดดัน สีนี้จึงเหมาะกับเลือกใช้ในการสร้างสรรค์บรรยากาศ แต่สีดำก็มีบทบาทในการส่งเสริมให้สีอื่นๆ เด่นขึ้นเสมอ ขณะเดียวกันอิทธิพลของสีดำยังสามารถเบรกความแรงของสีที่เจิดจ้าลงได้อีกด้วย หากว่าเลือกใช้อย่างเหมาะสมสีดำจะเป็นสีที่มีเสน่ห์มากสีหนึ่ง

แน่ล่ะ คุณเองก็ไม่สามารถปฏิเสธอิทธิพลของสีสันที่มีต่อความรู้สึกนึกคิดได้เลย เรียนรู้ที่จะใช้มัน หรือผลสะท้อนต่อสุขภาพจิตของเราสี แล้วลองเลือกใช้ดู คุณอาจจะรู้สึกสนุกกับสีสันในชีวิตมากขึ้นก็ได้

5 ซุปเปอร์ฟูดส์ที่สาวๆ ขาดไม่ได้

วันนี้จัดเมนูสุขภาพมาฝากสาวๆ เพื่อเอาไว้ดูแลสุขภาพและป้องกันโรคเสี่ยงที่เป็นกันในหมู่ผู้หญิงเราเมื่ออายุอานามมากขึ้น ไปดูกันเลยค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง

1. โยเกิร์ตไขมันต่ำรสธรรมชาติ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และการติดเชื้อในช่องคลอด นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงป้องกันปัญหากระดูกพรุนได้ด้วย กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

2. ปลาที่มีไขมัน ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี ซึ่งพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

3. ถั่ว ทั้งถั่วที่กินได้ทั้งฝัก เช่น ถั่วแขก ถั่วพู ถั่วฝักยาว และถั่วเมล็ดรูปไต เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง มีไฟเบอร์สูง มีสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส ซึ่งช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม ที่สำคัญส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิง กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

4. มะเขือเทศ แตงโม มีสารไลโคปีน ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ทำให้ดูอ่อนเยาว์ เพราะช่วยป้องกันผิวไม่ให้ถูกรังสีอัลตร้าไวโอเลตทำลาย กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

5. เบอร์รี่ เบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ มีแอนโตไซแอนส์ (anthocyans) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมเซลล์ในร่างกายของเรา นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ยืนยันว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งระบบทางเดินอาหาร กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง

5 ข้อดีของน้ำสำรอง...ที่ไม่เป็นรองใคร

ไม้ผลเม็ดเล็กๆ สีน้ำตาลแก่ดูแปลกตานี้มีชื่อว่า "สำรอง" ค่ะ เป็นไม้ผลพื้นเมืองซึ่งพบมากในแถบภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดจันทบุรีและตราด ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอยู่ที่อุบลราชธานี ซึ่งเรียกว่า "หมากจอง" และทางใต้เรียกว่า "พุงทะลาย"

ในสมัยก่อนนิยมนำผลสำรองแช่น้ำ รับประทานร่วมกับน้ำตาล เป็นของหวานตำรับชาววังและถือเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพราะสรรพคุณดีๆ ของลูกสำรองตามตำรับยาไทยมีมากมาย ดังนี้ค่ะ

แก้เจ็บคอและแก้ไข้ ใช้ลูกสำรองราว 10-20 ลูก ต้มกับชะเอมจีนพอหวาน จนได้น้ำยาเข้มข้น จิบน้ำสำรองบ่อยๆ ช่วยแก้ไข้เจ็บคอดีนัก

แก้ไอขับเสมหะ ใช้ลูกสำรอง 3-5 ลูก แช่ลงในน้ำ 1 แก้ว จนพองเป็นวุ้น ต้มให้เดือดสักพักและเติมรสหวานตามใจชอบ ดื่มทั้งเนื้อวุ้นและน้ำครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร

แก้ร้อนใน หากในวันที่อากาศร้อนก็สามารถเรียกหาน้ำสำรองดื่มสัก 1-2 แก้ว แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

แก้ตาอักเสบ โดยนำผ้าก๊อซชุบน้ำพอชื้นแล้วนำไปวางทับบนตาที่อักเสบ จากนั้นจึงวางแผ่นเปลือกหุ้มเมล็ดลูกสำรองที่แช่น้ำแล้วลงบนผ้าก๊อซ เปลือกหุ้มเมล็ดนั้นจะพองตัวเป็นวุ้นแทรกซึมในผ้าก๊อซ ช่วยบรรเทา

อาการเจ็บตาและตาอักเสบอย่างได้ผล

ลดความอ้วน เพราะกากใยสูงในน้ำสำรองนี้เอง จึงมีสรรพคุณที่ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย และทำให้

อิ่มท้องจากการพองตัวของเนื้อสำรอง การดื่มน้ำสำรองจึงช่วยควบคุมน้ำหนักได้

รู้ข้อดีอย่างนี้แล้ว ต้องบอกว่าผลสำรองไม่ได้เป็นสองรองใคร และยังเป็นเครื่องดื่มคุณภาพที่เต็มไปด้วยคุณค่าต่อร่างกายของเราจริงๆ

สุดยอด!!! ผักผลไม้เพื่อสุขภาพ

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes)
ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด

ถั่ว
ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม “ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ” ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย)ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก


แอปเปิ้ล
มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน” แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน”นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที


บรอคโคลี่
เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย กล้วยไข่ กล้วยทุกชนิด ดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ

ฝรั่ง
ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำ

ส้ม
แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วย

ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น สำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน

วิธีเสริมพลังผักผลไม้เพื่อสุขภาพที่ดี

นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าการทานผักและผลไม้จำนวนมากเป็นปัจจัยหลักในการช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคทางสมอง เพราะพวกมันอุดมไปด้วยตัวต่อสู่โรค อย่างสารต้านอนุมูลอิสร เช่น วิตามินซี เป็นต้น รวมถึงใยอาหาร และสารอาหารเพื่อสุขภาพมากมาก เช่น เบต้าเคโรทีน หากเหตุผลดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณหันมาทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น ผักและผลไม้ยังช่วยลดน้ำหนักได้เป็๋นอย่างดี

แล้วอะไร คือ 1 หน่วยบริโภค
1 หนึ่งบริโภคสามารภวัดได้ง่ายดังนี้
ครึ่งกำมือของผักที่ปรุงแล้ว หรือ 1 กำมืของผักสด
ผลไม้ขนาดกลางครึ่งลูก เช่น แอปเปิ้ล ส้ม
1/4 ถ้วยของผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกด
3/4 ถ้วย หรือประมาณ 175 มล.

จะทำอย่างไร เพื่อกินผักและผลไม้ให้ครบได้หากคุณพร้อมแล้วที่จะทานผักผลไม้ให้ครบ 5 หน่วยบริโภคต่อวัน ลองทำตามแนวทางดังต่อไปนี้

เพิ่มผลไม่และผักในอาหารทุกมื้อทานผลไม้หลังอาหารทุกมื้อ ในหลังอาหารแต่ละมื้อให้คุณทานผลไม้แทนของหวานอย่างน่อย 1 หน่วยบริโภค เช่น แอปเปิ้ลหรือส้ม ครึ่งผล หรือเปลี่ยนอาหารเย็นให้เป็นสลัดสบายท้อง ที่จะช่วยให้คุณอิ่มกำลังดี และเสริมสร้างสุขภาพของคุณ เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถเพิ่มบริมาณการกินผักผลไม้ได้อย่างน้อย 3 หน่วยบริโภคต่อวัน

แทนของว่างด้วยผลไม้หากระหว่างมื้อคุณรู้สึกหิว ให้คุณทานผลไม้รองท้อง แทนของว่างปกติ ลองแอปเปิ้ล สาลี่ หรือแครอทเป็นอาหารว่างดู

ค่อยๆ เพื่มผักลงในอาหารทีละน้อยคุณไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณผักจำนวนมากในมื้ออาหาร ปกติของคุณ การเริ่มต้นทานผักผลไม้ให้ได้ปริมาณที่ต้องการ ควรเริ่มจากการเพิ่มผักในอาหารเพียงเล็กน้อย ให้คุณคุ้นเคยกับพวกมันเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณเริ่มปรับตัวได้

คิดว่าการกินผักแทนเนื้อสัตว์ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าแน่นอนว่าเนื้อสัตว์มีราคาแพงกว่าผักผลไม้ การกินผักและผลไม้จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณประหยัดได้ และยังให้สุขภาพที่ดีอีกด้วย

พยายามเลือกกินผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผักผลไม้ในอาหารแต่ละมื้อคุณอาจต้องทานอาหารหลายประเภท แต่คุณก็สามารถเลือกของที่ทำจากผักผลไม้แทนได้ เช่น ดื่มน้ำผักผลไม้แทนน้ำอัดลม ทานกล้วยอบกรอบแทนของหวาน หรือ เลือกซอสมะเขือเทศเป็นซอสคู่กายเป็นต้น

อาหารเสริมไม่สามารถทดแทนได้จำไว้ว่า วิตามินในอาหารเสริมไม่สามารถให้คุณประโยชน์ที่ผักผลไม้จริงๆ สามารถให้คุณได้

50 วิธีเอาชนะภูมิแพ้

1.สระผมของคุณก่อนเข้านอนทุกคืน โดยเฉพาะในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ
2.อย่าตากเสื้อผ้า และเครื่องนอน (ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน) ไว้กับราวตากผ้ากลางแจ้งในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ เพราะเกสรดอกไม้ และเชื้อราจะเกาะติดกับผ้าที่ตากได้
3.ล้างมือทันทีหากไปเล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือให้อาหารมัน
4.เปิดไฟในตู้เสื้อผ้าตลอดเวลา เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในตู้
5.ไม่ควรนำตุ๊กตาที่ยัดไส้ด้วยนุ่น หรือใยสัตว์ไว้ในห้องนอน
6.ช่วงสาย ๆ ไปจนถึงตอนบ่าย เป็นช่วงที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนไปทั่ว ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย
7.จงเปลี่ยนเสื้อผ้านอกห้องนอน เพื่อทิ้งสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้ไว้นอกห้องนอน
8.ถอดเสื้อผ้า และซักทันที หากคุณไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่มีสัตว์เลี้ยง
9.ห่อหุ้มหมอน และฟูกในผ้าพลาสติกแล้วปูทับด้วยผ้าฝ้าย
10ใช้เครื่องปรับความชื้นในห้องที่อับชื้นมาก ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อรา ความชื้นที่พอเหมาะควรมีค่าอยู่ระหว่าง 25-50%

11.เลิกใช้พรมปูพื้นห้อง เปลี่ยนพื้นห้องเป็นไม้ หรือกระเบื้อง ซึ่งจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า
12.ถ้าคุณแพ้ผึ้ง หรือมดตะนอย ก็จงหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อสีสด ๆ การฉีดสเปรย์ผม การใช้น้ำหอมดับกลิ่นตัว หรือการใส่น้ำหอม รวมทั้งการปิกนิก หรือการตั้งวงปิ้งอาหารรับประทานนอกบ้าน
13.เปลี่ยนเครื่องเรือนที่บุด้วยนุ่น หรือตกแต่งด้วยขนสัตว์มาเป็นเครื่องเรือนที่ทำจากพลาสติก ไม้ โลหะ หรือหนังสัตว์ ซึ่งจะไม่เก็บกักสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้
14.ในการทำความสะอาดบ้าน จงอย่าใช้ไม้ขนไก่ หรือไม้กวาด แต่จงใช้ผ้า หรือไม้ถูพื้นที่ได้ชุบน้ำแล้ว
15.เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีน้ำเป็นตัวกักฝุ่น และมีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
16.สวมผ้าปิดจมูก และปากเสมอ เพื่อกันฝุ่นในขณะที่คุณทำความสะอาดบ้าน
17.อย่ารีบเข้าไปในห้องที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ควรรออย่างน้อย 20 นาทีก่อน เพื่อให้ฝุ่นผงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศตกลงสู่พื้นให้หมด
18.ถ้าคุณมีสัตว์เลี้ยงคุณต้องป้องกันอากาศมิให้พัดจากนอกบ้านเข้ามาในห้องนอนของคุณ
19.ทำความสะอาดบริเวณที่มีราขึ้นด้วยน้ำยาฟอกคลอรีน โดยผสมผงคลอรีน 10 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน
20.ห้ามทุกคนรวมทั้งแยกสูบบุหรี่ในบ้าน หากจุสูบให้สูบนอกบ้าน

21.วานคนที่ไม่แพ้ ทำความสะอาดกรงของสัตว์เลี้ยง
22.ถ้าคุณจะออกกำลังกายกลางแจ้ง ก็ขอให้ทำในช่วงเช้า ๆ บ่ายแก่ ๆ หรือตอนเย็น ๆ
23.ปิดหน้าต่างรถของคุณให้สนิท แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศภายในรถให้ไหลเวียน
24.ไม่ใช้พัดลม เพราะจะพัดเอาเกสรดอกไม้ และเชื้อราเข้ามาในบ้าน รวมทั้งไม่ใช้เครื่องทำความเย็นชนิดอังด้วยน้ำ เพราะจะทำให้ห้องชื้น
25.หากคุณปิดบ้านไว้นาน เชื้อราอาจจะเจริญเติบโตได้ ดังนั้นเมื่อคุณกลับมาอยู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง คุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรม และทำความสะอาดอย่างดีเสียก่อน
26.ตรวจสอบว่ามีอะไรในบ้านบ้างที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อรา เมื่อพบแล้วจงกำจัดให้หมด แหล่งเพาะเชื้อราที่อาจเป็นได้ เช่น ในเครื่องทำความชื้นบนพรมที่เปียกชื้น บนพื้นห้องที่ผุ ในถังขยะ บนกระดาษปิดฝาผนังที่เปียกชื้น เป็นต้น
27.เมื่อคุณใช้เครื่องดูดฝุ่น จงเลือกใช้ถุงเก็บฝุ่นชนิดถุงหนา 2 ชั้น และแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
28.เมื่อคุณจะไปเที่ยวพักผ่อนในที่ใด ๆ ก็ตาม จงเลือกสถานที่ ๆ มีฝุ่นละออง หรือเกสรดอกไม้น้อย เช่น ชายทะเล
29.ถ้าคุณคิดว่าอาหารบางอย่างทำให้คุณแพ้ ก็อย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะลงมือเปลี่ยนรายการอาหารอย่างถอนรากถอนโคน
30.อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่คุณซื้อเสมอ เพื่อดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ส่วนผสม เช่น นม ไข่ ถั่ว อาจทำให้คุณแพ้ก็ได้

31.พกบัตรที่แสดงข้อความว่าคุณเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืดอย่างรุนแรงไว้เสมอ
32.เลือกที่จะมีสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีขน เช่น ปลา เต่า แทนการเลี้ยงแมว หรือสุนัข
33.ล้างมือ ผิวหนัง เสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง หรืออะไรก็ตามที่เปื้อนยางต้นไม้
34.ถ้าคุณต้องการพ่นยาฆ่าแมลง จงเลือกใช้น้ำยาที่คุณไม้แพ้ คุณควรอยู่นอกบ้าน และวานให้คนอื่นพ่นยาฆ่าแมลงให้ เมื่อพ่นยาเสร็จแล้วคุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรกสัก 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับเข้าบ้าน
35.ทำความสะอาดห้องน้ำ ครัว และห้องใต้ดินบ่อย ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในบ้าน เพราะห้องเหล่านี้มีความชื้นสูง
36.หลีกเลี่ยงการใช้เตาที่เผาไหม้ด้วยไม้ เพราะควันไฟอาจทำให้คุณแพ้ได้
37.สอบถามครูที่โรงเรียน เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ลูกของคุณแพ้ เช่น มีสัตว์เลี้ยงในห้องเรียนหรือไม่ มีแมลงสาบในตู้เก็บของหรือไม่ มีตัวไรฝุ่นในพรมปูพื้นหรือไม่
38.เปิดเครื่องดูดควันเสมอเมื่อคุณทำอาหาร เพื่อลดความชื้น และกำจัดควัน และกลิ่นอาหาร
39.ซักเครื่องนอนทั้งหลาย (ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ฯลฯ) ในน้ำร้อนประมาณ 50 องศาเซลเซียสสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อฆ่าตัวไร การเป่าลมร้อนเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะฆ่าตัวไร
40.หากคุณต้องการขับรถท่องเที่ยวพักผ่อน ก็จงทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศในรถเสียก่อน เพื่อกำจัดเชื้อราที่อาจแอบซ่อนอยู่

41.หากคุณต้องการออกกำลังกายกลางแจ้ง จงเลือกออกกำลังกายในวันที่ไม่มีลม
42.ติดตั้งพัดลมดูดอากาศที่ห้องน้ำ และเปิดใช้ทุกครั้งที่อาบน้ำ
43.อยู่ให้ห่างไกลจากสิ่งที่ทำให้แพ้ เช่น ควันบุหรี่ หมอกควัน น้ำหอม และสบู่หรือน้ำยาซักล้างที่มีกลิ่นฉุน
44.ถ้าคุณต้องการทาสีบ้านใหม่ จงเลือกใช้สีน้ำมัน และอย่าอยู่บ้านในขณะที่ช่างกำลังทาสีบ้าน
45.หากคุณคิดจะย้ายบ้าน จงแวะเวียนไปยังบ้านใหม่นั้นอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อน เพื่อทดสอบว่าคุณไม่แพ้ แต่ก็อย่าลืมว่าอาการแพ้อาจกลับมาหาคุณได้อีก แม้ว่าคุณจะไม่มีอาการเลยเป็นเวลาหลายเดือน หรือหลายปีก็ตาม
46.เลือกให้หมอน ฟูก หรือผ้าห่มที่บุด้วยยางแทนพวกที่ยัดด้วยนุ่นหรือขนสัตว์
47.หมั่นทำความสะอาดบริเวณใต้ตู้เย็น ซึ่งมักเป็นที่สะสมของเศษอาหาร และฝุ่น และกลายเป็นสวรรค์ของแมลง และเชื้อรา
48.หมั่นตัดกิ่งไม้ ตกแต่งพุ่มไม้ บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้รกเรื้อใกล้ตัวบ้านหรือห้องนอนของคุณ
49.ห้ามนำสัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น แมวและสุนัข ไว้ในห้องนอนอย่างเด็ดขาด ห้องนอนของคุณจะได้ปราศจากจากสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้
50.ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการที่เป็น แพทย์อาจสั่งยาให้คุณ ถ้าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ได้ ซึ่งจะทำให้คุณไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการแพ้

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน แผลจากความร้อน / สารเคมี

แผลที่ผิวหนังที่เกิดจากความร้อน อาจมีลักษณะคล้าย ๆ กันได้หลายกรณี เช่นไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ไฟฟ้าช็อต การเสียดสีอย่างรุนแรง หรือการถูกสารเคมี สำหรับกรณีที่เป็นรุนแรง ผิวหนังทุกชั้นอาจถูกทำลายอย่างมาก จนถึงชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ผิวหนังภายนอกอาจเห็นเป็นสีขาวซีด หรือไหม้ดำเหมือนถ่าน และจะไม่มีความรู้สึก

ถ้าหากเสื้อผ้าที่ใส่ยังติดไฟอยู่ ให้จับผู้ใส่นอนลงพื้นและเอาส่วนที่ยังติดไฟอยู่ไว้ด้านบน พยายามดับไฟโดยป้องกันไม่ให้เปลวไฟโดนบริเวณใบหน้าและศีรษะ และรีบประคบเย็นไปบนแผลทันทีที่สามารถทำได้ ต้องพยายามอย่าไอหรือจามใส่แผลไฟใหม้น้ำร้อนลวก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และต้องอย่าลอกหรือเจาะตุ่มพองต่าง ๆ ให้ท่านรีบถอดแหวน สร้อยข้อมือ และรองเท้าออกจากตัวคนไข้ เพราะในไม่ช้าส่วนต่าง ๆ จะบวมมาก จนบางครั้งถอดออกไม่ได้ ท่านต้องไม่เอาวัสดุใด ๆ ที่อาจติดกับผิวหนังได้ง่าย เช่น สำลีไปปิดแผล และไม่ควรใช้ครีมหรือโลชั่นใด ๆ ไปทานวดบริเวณแผล

สำหรับกรณีที่เกิดจากสารเคมีที่อาจทำลายผิวหนัง ให้ใช้น้ำประปาเปิดให้ไหลผ่านแผล เพื่อเจือจางสารเคมีที่อาจติดผิวหนังบริเวณนั้น

หากเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่โชกไปด้วยน้ำร้อน น้ำมัน หรือวัสดุเคมีภัณฑ์ใดก็ตาม ให้รีบถอดหรือตัดออก ยกเว้นหากมีผ้าติดแน่นกับแผลให้ทิ้งส่วนนั้นเอาไว้ หลังจากนั้นให้เปิดก๊อกน้ำให้น้ำไหลผ่านส่วนที่เป็นแผล หรือหากแช่ในถังหรือกาละมังใส่น้ำได้จะยิ่งดี โดยแช่ทิ้งไว้ 10 นาที หรืออาจเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นธรรมดา วางไว้บนแผลก่อนก็ได้ ไม่ควรใช้ครีมหรือโลชั่นใด ๆ ทาในระยะนี้ เสร็จแล้วเอาผ้าทำแผลที่สะอาดปิดไว้ ไม่ต้องแน่นมาก หากเป็นส่วนแขนหรือขา ให้ยกส่วนนั้นให้สูงกว่าลำตัว เพื่อจะได้ไม่บวมมาก

การรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก หรือจากสารเคมีภัณฑ์ จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องในเบื้องต้น หากท่านไม่แน่ใจ โปรดนำผู้ป่วยไปพบแพทย์

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน บาดเจ็บที่ศรีษะ/สมอง

การบาดเจ็บที่ศีรษะในกรณีที่ไม่รุนแรงมาก อาจพบว่าศีรษะจะมีก้อนนูนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "หัวโน" ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังของศีรษะ มีเลือดมาเลี้ยงมากมาย ดังนั้นก้อนนูนหรือหัวโนดังที่กล่าวไว้แล้วก็คือเลือดที่ออกใต้ผิวหนังนั่นเอง และหากมีบาดแผลเลือดออกด้วย เลือดก็จะออกค่อนข้างมาก การประคบเย็นหรือการเอาผ้ากดให้แน่นไว้สักระยะหนึ่ง 5 - 10 นาที จะช่วยให้เลือดหยุดและไม่บวมมาก

สำหรับกรณีที่บาดเจ็บรุนแรง ซึ่งอาจจะมีอาการหมดสติหรืออัมพาตเกิดขึ้น และถ้ามีบาดแผลร่วมด้วย การให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้นด้วยการกดบาดแผลให้แน่น จะต้องมีข้อควรระวังดังนี้ หากท่านกดแรง ๆ และมีความรู้สึกว่าไม่ได้กดไปบนกระโหลกศีรษะ อาจจะเป็นไปได้ว่ากระดูกกระโหลกศีรษะตรงตำแหน่งนั้นแตกหรือหักเป็นชิ้น ๆ การกดอาจทำให้เศษกระดูกทิ่มตำเนื้อสมองได้ และในกรณีมีน้ำใส ๆ ไหลอาจมาจากบาดแผลที่ศีรษะ ให้ท่านนึกถึงว่า บาดแผลนั้น จะต้องมีกระดูกกระโหลกศีรษะแตก และมีทางติดต่อกับช่องน้ำในสมองและในสันหลังได้ ในบางครั้งภายหลังศีรษะได้รับแรงกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงโดยไม่มีบาดแผล แต่มีน้ำใส ๆ ไหลออกมาจากรูหู ซึ่งก็จะเป็นน้ำจากในสมองและในสันหลังเช่นเดียวกัน ท่านควรเอาผ้าก๊อซทำแผลปิดรูหูไว้หลวม ๆ เท่านั้น อย่าพยายามเอาสำลีใส่เข้าไปในรูหูเพื่อกั้นไม่ให้น้ำไหลออกมา

อาการอื่น ๆ ที่อาจบ่งบอกถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับสมอง ได้แก่การหมดสติพูดจาโต้ตอบกันไม่ได้ อาการอ่อนแรงของแขนขาหรือที่เรียกว่าอัมพาต อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาเจียนพุ่ง สายตาพร่ามัวมองได้ไม่ชัดเจน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อให้แนวทางในการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง ท่านต้องระมัดระวังในการเคลื่อนไหวของกระดูกคอ เพราะอาจมีกระดูกคอหักร่วมด้วย ซึ่งถ้าจับไม่ดีอาจทำให้มีอันตรายเพิ่มขึ้นได้

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ของติดคอ

กรณีที่มีสิ่งของอุดตันทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือวัตถุใดก็ตาม ถือเป็นกรณีรีบด่วนที่สุดที่จะต้องให้การช่วยเหลือดังนี้

- ถ้าผู้ป่วยยังไอได้และการไหลเวียนของโลหิตยังดี โดยดูจากสีผิวที่ยังแดงดีมีเลือดมาเลี้ยงตามปกติ แสดงว่าการอุดตันเกิดขึ้นเป็นบางส่วน อ๊อกซิเจนยังเข้าสู่ร่างกายได้ ให้ท่านคอยสังเกตอาการต่อไป เพื่อดูว่าอาจจะไอเอาสิ่งที่อุดตันออกมา

- ถ้าหากผู้ป่วยไอน้อยอ่อนแรงลงและหายใจลำบาก ผู้ป่วยพูดไม่ออก ไอและหายใจไม่ได้ แสดงว่าทางเดินหายใจอุดตันโดยสมบูรณ์ ผู้ป่วยอาจจะเริ่มเขียว ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจะหมดสติในที่สุด ท่านต้องให้การช่วยเหลือด่วนดังนี้

1.ให้ท่านเอานิ้วกวาดเข้าไปในปากและคอ เพื่อเอาสิ่งของที่อาจอุดตันทางเดินหายใจออกมา ถ้าเปิดปากแล้วเห็นสิ่งของ ท่านต้องระมัดระวังอย่าดันให้ลงไปอีก

2.ถ้าเอาสิ่งของไม่ออกให้จับคนไข้ยืนขึ้น แล้วท่านกอดคนไข้จากด้านหลัง เอามือ 2 ข้างของท่านจับกันให้แน่น โดยมือด้านชิดคนไข้กำเป็นหมัดเอาไว้ตรงบริเวณเหนือบั้นเอว แล้วกอดคนไข้ให้แน่นและยกตัวคนไข้ขึ้นไปพร้อมๆ กันด้วย ทำเช่นนี้ 6-10 ครั้ง ถ้ายังไม่มีอะไรออกมาให้ทำซ้ำเช่นนี้อีก 3 ครั้ง

3.ถ้ายังไม่สำเร็จให้เอาคนไข้นอน กำหมัดข้างหนึ่งกดไว้ตรงเหนือสะดือ และอีกมือหนึ่งวางบนมือที่กำหมัด กดลงไปบนท้องคนไข้และพยายามดันขึ้นไปทางศรีษะ 4 ครั้ง ติดกัน ถ้าหากของหลุดออกมาและคนไข้ยังไม่หายใจ ให้ปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานต่อไป

ถ้าหากเป็นเด็กสำลักมีสิ่งของติดคอ ให้ท่านนั่งบนเก้าอี้ จับเด็กพาดตัวลงไปตามแนวต้นขาและเข่าของท่าน โดยเอาหัวลง มือหนึ่งประคองอยู่ที่หน้าอก อีกมือหนึ่งใช้ฝ่ามือกดไปบนแผ่นหลังที่อยู่ระหว่างไหล่ 2 ข้าง จะช่วยทำให้ของที่ติดคอหลุดออกมาได้

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน สงสัยกระดูกหัก

กระดูกของคนเราค่อนข้างแข็ง เพราะเป็นโครงของร่างกาย ดังนั้น กระดูกจะหักได้ต้องมีแรงมากระทำค่อนข้างรุนแรง ยกเว้นในกระดูกของคนสูงอายุ กระดูกจะบางลง แข็งแรงน้อยลง จะหักง่ายแม้มีแรงมากระทำไม่แรงก็ตาม ส่วนใหญ่คนไข้ที่กระดูกหักจะมีประวัติหกล้มมือยันพื้น สะโพกกระแทกพื้น ตกจากที่สูง สิ่งของที่หนักตกลงมากระแทก เล่นกีฬา รถมอเตอร์ไซด์คว่ำ รถยนต์ได้รับอุบัติเหตุ เป็นต้น

ถ้าสังสัยกระดูกหักในกรณีไม่มีแผลเลือดออก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวด บวม เพราะมีเลือดออกจากกระดูกที่หัก ถ้ากระดูกหักแล้วมีการเคลื่อนที่ของปลายกระดูกที่หักจะทำให้ร่างกายส่วนนั้นผิดรูปไป เช่นข้อมือหักก็จะเห็นข้อมือบิดเบี้ยวไป รูปร่างไม่เหมือนเดิม หรือแขนหัก บางครั้งจะเห็นแขนตรงที่หักโก่งเป็นมุมได้อย่างชัดเจน แต่ถ้ากระดูกหักแล้วไม่เคลื่อนที่ออกจากกัน อาจจะไม่ผิดรูปร่างไป มีแต่ปวดบวม และถ้ากดไปบริเวณนั้นจะมีอาการเจ็บด้วย บางทีคนไข้เองหรือผู้ที่มาช่วยเหลือ อาจจะรู้สึกว่าปลายกระดูกที่หักมีการเสียดสีกัน ส่วนกรณีที่หักแล้วมีบาดแผลเลือดออก บางครั้งจะเห็นกระดูกทะลุออกมานอกเนื้ออย่างชัดเจน ซึ่งกระดูกหักชนิดมีแผลทะลุออกมานี้ ค่อนข้างจะรักษายากและมีผลแทรกซ้อนทำให้เกิดการติดเชื้อของกระดูกได้ง่าย

สำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ท่านสามารถช่วยได้ โดยหาไม้หรือวัสดุที่แข็งมารองส่วนที่หักและพันดามไว้ให้อยู่นิ่ง ๆ ถ้าหาไม่ได้จริง ๆ ให้เอาหนังสือพิมพ์หลาย ๆ ชั้น มาม้วนให้กลมเป็นแท่ง ๆ จะทำให้มีความแข็งแรงพอที่จะใช้ดามแขนขาได้

ในกรณีที่สงสัยว่าจะกระดูกหัก ผู้ป่วยควรจะถูกนำไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัย บางครั้งแพทย์อาจจะต้องเอ๊กซเรย์กระดูก เพื่อดูว่ากระดูกหักแล้วเคลื่อนที่มากน้อยแค่ไหน เพื่อเตรียมการรักษาที่ถูกต้อง ต่อไป

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน อวัยวะถูกตัดขาด

ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าของแพทย์ด้านจุลศัลยกรรม หรือการผ่าตัดโดยใช้กล้องจุลทรรศน์มีมากขึ้น แพทย์สามารถทำการต่ออวัยวะที่หลุดขาดออกจากร่างกาย และประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ แต่บางกรณีก็ไม่สามารถผ่าตัดต่อได้สำเร็จ อาจเป็นเพราะ เนื้อเยื่ออวัยวะที่หลุดขาดนั้นมีความชอกช้ำมากเกินไป ผู้ป่วยมีสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์พอที่จะรับการผ่าตัดได้หลายๆ ชั่วโมง หรืออวัยวะนั้น ๆ อยู่ในสภาพขาดเลือดมาเป็นเวลานานเกินไป

สิ่งที่สำคัญที่สุดเบื้องต้นที่ท่านควรทราบและปฏิบัติตาม หากมีเพื่อนหรือญาติพี่น้องของท่านประสบ

อุบัติเหตุ อวัยวะถูกตัดขาด คือ การเก็บอวัยวะที่ถูกตัดขาดให้ถูกวิธี ดังนี้

เก็บอวัยวะที่ถูกตัดขาดใส่ถุงพลาสติกที่สะอาด ปิดปากถุงให้สนิท และใส่ถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง ปิดปากถุงให้สนิทเช่นเดียวกัน ห้ามมิให้ใส่น้ำเข้าไปในถุงทั้งสองเป็นอันขาด

นำถุงในข้อแรกไปแช่ในภาชนะ หรือถุงที่ใส่น้ำแข็งโดยรอบ

ให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

สำหรับบาดแผลของผู้ป่วย ให้ใช้ผ้าสะอาดปิดแผล แต่ถ้าเลือดออกมากอาจต้องใช้มือช่วยกดบาดแผลเอาไว้ และยกส่วนนั้นๆให้สูง จะช่วยลดการสูญเสียเลือดได้

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน โรคลมชัก

โรคลมชัก เป็นชื่อรวม ๆ ของภาวะที่เกิดจากการทำงานของเซลล์สมองไม่ไปด้วยกัน โดยปกติเซลล์สมองจะส่งสัญญาณเป็นคลื่นไฟฟ้าขนาดน้อย ๆ เพื่อติดต่อระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน เพื่อการทำงานที่ประสานสอดคล้องกัน แต่ในกรณีที่มีอาการลมชัก เซลล์สมองกลุ่มหนึ่งจะส่งคลื่นไฟฟ้าออกมามากเกินกว่าปกติ จนทำให้เกิดการเกร็งชักกระตุกของกล้ามเนื้อ ที่ควบคุมโดยเซลล์สมองที่สั่งคลื่นไฟฟ้าออกมาผิดปกตินั้น ๆ ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบ แต่มีส่วนน้อยที่เกิดภายหลังผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะและสมอง ผู้ป่วยที่เคยมีการติดเชื้อของสมอง ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นเนื้องอกที่สมอง บางรายอาจมีประวัติสมองผิดปกติตั้งแต่แรกคลอด

สำหรับการปฐมพยาบาลฉุกเฉิน มีหลักการกว้าง ๆ ดังนี้

1.ถ้าหากผู้ที่ชักกระตุกอยู่ในที่อันตราย เช่น บนที่สูง บนขั้นบันได หรือที่อื่นใดอันอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ ต้องพยายามให้พ้นจากจุดอันตราย และหากมีวัสดุรอบ ๆ ที่อาจก่ออันตรายได้ให้เคลื่อนย้ายออก อย่าพยายามไปล็อคตัวหรือผูกตัวคนที่กำลังชักกระตุก

2.อย่าพยายามเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดยัดเข้าไปในปาก เพราะถ้าเป็นของแข็งแรงกัดลงมาอาจทำให้ฟันหรือกระดูกกรามหักได้ ถ้าใช้ผ้าม้วน ๆ ใส่ในปากได้ จะดีกว่าใช้ของแข็ง

3.การชักกระตุกโดยปกติจะเป็นเวลา 1-2 นาที ถ้าหากชักกระตุกนาน ๆ มากกว่า 3 นาที หรือชักกระตุกติดต่อกันเรื่อย ๆ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจรักษา

4.ภายหลังชักกระตุกผู้ป่วยมักจะหลับ ให้จัดอยู่ในท่ากึ่งคว่ำเพื่อป้องกันการสำลักถ้ามีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ระวังเรื่องลิ้นอาจจะตกไปขวางทางเดินหายใจ และถ้าทำได้อาจเคลื่อนย้ายให้ไปอยู่ที่ที่เงียบปราศจากเสียงรบกวน แต่ควรจะมีคนคอยดูแลใกล้ชิดด้วย

5.ปล่อยให้ผู้ป่วยตื่นขึ้นเองตามปกติ ถ้าพูดคุยกันรู้เรื่องและผู้ป่วยมีประวัติชักมาก่อน ท่านควรเล่าให้ผู้ป่วยฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้น หากไม่มีประวัติชักมาก่อน ท่านควรแนะนำคนนั้นๆ ให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาต่อไป

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน คนจมน้ำ

การช่วยเหลือผู้ที่จมน้ำเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังมาก เพราะภาวะการขาดอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงสมองจะอยู่ได้ไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้น การตัดสินใจที่จะให้การช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่งจึงต้องแข่งกับเวลา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือต้องไม่ตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และต้องจำไว้เสมอว่า ผู้ให้ความช่วยเหลือต้องปลอดภัยเพียงพอด้วย เพราะผู้ที่จมน้ำมีความตกใจกลัวค่อนข้างมาก จนเกาะหรือกอดเอาผู้ให้ความช่วยเหลือจมน้ำไปด้วย ท่านต้องพยายามหาเศษไม้ ผ้าเช็ดตัว หรือวัสดุอะไรก็ได้ ที่ท่านสามารถหาได้ ส่งให้ถึงมือคนที่จะจมน้ำ เพื่อให้จับและดึงเข้าหาฝั่งจนปลอดภัย ถ้าหากเป็นคลองหรือบึงที่มีเรือจอดอยู่ อาจพายเรือออกไปและยื่นพายให้จับ

ถ้าคนจมน้ำที่ถูกช่วยขึ้นมาได้ ยังหายใจอยู่ ให้พยายามหาผ้ามาห่ม เพื่อให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น อาจจัดให้นอนตะแคงกึ่งคว่ำ เพื่อป้องกันการสำลัก

ถ้าคนที่ถูกช่วยขึ้นมาได้ไม่หายใจ ให้จับนอนคว่ำและยืนคล่อมตัวเอาไว้ สอดมือทั้งสองช้อนไปบริเวณท้องใต้ลิ้นปี่แล้วยกขึ้น เพื่อช่วยให้น้ำออกจากกระเพาะอาหาร และเริ่มทำการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน ถ้าท่านสามารถทำได้ โดยเป่าลมเข้าปากก่อนที่จะปั๊มหัวใจเป็นขั้นเป็นตอนไปซึ่งควรจะผ่านการฝึกอบรมมาก่อน และถ้าให้ดีผู้ที่จะช่วยเหลือควรจะได้ผ่านหลักสูตรการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานมาแล้ว

กรณีที่ท่านสงสัยว่า กระดูกคอ หรือ ส่วนอื่นหัก ท่านต้องระมัดระวังในการเคลื่อนย้าย พยายามให้ศีรษะอยู่ตรงกับลำตัว และหาไม้หรือวัสดุช่วยดามส่วนนั้นให้อยู่นิ่ง ขณะเคลื่อนย้าย

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน กรณีฉุกเฉิน : ข้อควรทราบ (2)

สำหรับการช่วยเหลือกรณีฉุกเฉินมุ่งเน้นไปตามลำดับความสำคัญ ดังนี้

1.การหายใจ ต้องดูว่ามีอะไรค้างอยู่ในปากหรือจมูกหรือไม่ จัดศีรษะให้เงยขึ้น โดยมือหนึ่งจับที่หน้าผากและอีกมือหนึ่งชันคางขึ้นจะทำให้ช่องทางเดินหายใจโล่งขึ้น ขยับขยายเสื้อผ้าให้การหายใจเป็นไปสะดวก ถ้าหายใจสม่ำเสมอดี และกลัวจะสำลัก ท่านอาจจะให้คนไข้นอนตะแคงกึ่งคว่ำ งอสะโพก งอเข่าพอสมควร แต่ถ้าหากคนไข้ไม่หายใจ ถือเป็นกรณีฉุกเฉินที่ท่านต้องเริ่มปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานถ้าท่านสามารถทำได้ ด้วยการช่วยใส่อากาศเข้าไปในปอดของคนไข้ โดยการใช้ปากเป่าลมเข้าไปในปากของคนไข้ แต่ถ้าไม่ได้อาจเป่าเข้าทางจมูก โดยเป่าเข้าไป 12-14 ครั้งต่อนาที จนกระทั่งคนไข้เริ่มหายใจ แต่ถ้าไม่สำเร็จคนไข้จะต้องการการช่วยในขั้นต่อไปซึ่งคนช่วยจะต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

2.การเสียเลือด ท่านสามารถช่วยลดการเสียเลือดได้ โดยหาผ้ากดตรงบาดแผลให้แน่นสักระยะหนึ่ง และอาจใช้ผ้ายืดพันทับปล่อยทิ้งไว้ ถ้าเป็นส่วนแขนหรือขาให้พยายามยกสูงกว่าลำตัว หากยังมีเลือดออกมากอีก อาจต้องหาผ้าม้วนให้พอดีกับจุดที่จะกดเลือดให้หยุด และให้ลอดกดดูอีกครั้ง ท่านต้องพยายามกดให้เลือดหยุด หรือออกน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

3.การบาดเจ็บต่อสมอง ท่านสามารถช่วยเหลือคนไข้ที่หมดสติได้โดยการทำให้การหายใจดีขึ้น แต่มีข้อระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายคนไข้ที่ท่านควรทราบคือ ท่านต้องระมัดระวังกระดูกคอของคนไข้ด้วย เพราะบ่อยครั้งที่คนไข้มีกระดูกคอหักร่วมด้วย ท่านต้องพยายามเคลื่อนย้ายคนไข้ โดยต้องให้คออยู่นิ่งๆ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีกระดูกคอหักโดยการเอ็กซเรย์

4.การบาดเจ็บต่อกระดูกและข้อ ท่านสามารถช่วยได้ โดยหาไม้หรือวัสดุที่แข็งมารองส่วนที่หักและพันดามไว้ให้อยู่นิ่งๆ ถ้าหาไม่ได้จริงๆให้เอาหนังสือพิมพ์เหลาย ๆ ชั้นมาม้วนให้กลมเป็นแท่งจะทำให้มีความแข็งแรงพอที่จะใช้ดามแขนขาได้

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลคร่าวๆ ที่อาจเป็นประโยชน์บ้างต่อกรณีฉุกเฉิน ที่เกิดขึ้นต่อหน้าท่าน แต่ทางที่ดีถ้าท่านมีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมการปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานได้ จะมีประโยชน์อย่างมาก

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน กรณีฉุกเฉิน : ข้อควรทราบ (1)

การปฐมพยาบาลฉุกเฉินมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ที่เจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุในเบื้องต้น ก่อนที่จะนำส่งไปยังสถานพยาบาล หรือโรงพยาบาล ซึ่งมีบุคลากรและเครื่องมือพร้อมต่อไป การช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างน้อยก็ต้องที่จะไม่ทำให้อาการเจ็บป่วยนั้นแย่ลงไปกว่าเดิม และในบางกรณีสามารถที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ทันท่วงที เช่น กรณีมีบาดแผลเลือดออกมาก ถ้าสามารถให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพียงกดแผลไว้ให้เลือดหยุดเท่านั้น ก็สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยจากการสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากได้ ถ้าหากช่วยเหลือไม่ทัน เลือดออกมากๆ จะทำให้เกิดภาวะช็อคทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

สำหรับการปฐมพยาบาลกรณีฉุกเฉิน ความสำคัญในเรื่องนี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ และลำดับความสำคัญของการช่วยเหลือก่อนหลัง เท่าที่ขีดความสามารถและสามัญสำนึกของแต่ละคนที่มีแตกต่างกันออกไป การเข้ารับการอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จะมีส่วนช่วยให้ท่านมีความรู้เพียงพอที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ญาติผู้ใหญ่ บุคคลที่ใกล้ชิดหรือคนอื่นๆ ที่เผอิญท่านอยู่ในเหตุการณ์วิกฤตนั้นๆ

สำหรับลำดับความสำคัญในการช่วยเหลือมีดังนี้

1.การหายใจ มนุษย์เราสามารถที่จะทนต่อการขาดอ๊อกซิเจนประมาณ 4-5 นาที มิฉะนั้นสมองจะตาย และเสียชีวิตได้ทันที

2.การเสียเลือด มนุษย์เรามีการไหลเวียนของโลหิตเพื่อนำอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองและตัวหัวใจเอง หากเสียเลือดมากเลือดที่เหลืออยู่นำอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงสมองและหัวใจไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้

3.การบาดเจ็บต่อสมอง ผู้ที่ได้รับการกระทบกระเทือนต่อสมองจนหมดสติแต่ยังหายใจได้เอง ต้องระมัดระวังในระบบการหายใจต้องไม่ให้มีการอุดตัน ไม่ว่าจะเป็นการสำลัก หรือมีสิ่งของอุดตันช่องทางเดินหายใจ เพราะสมองที่ได้รับแรงกระทบกระเทือนจะยิ่งแย่ลงไปอีก ถ้าการนำอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง

4.การบาดเจ็บต่อกระดูก กระดูกหักจะมีผลทำให้มีการเสียเลือดมาก ๆได้ ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อการทำงานของสมองและตัวหัวใจเอง เพราะขาดเลือดที่นำอ๊อกซิเจนมาลี้ยง จะทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน งูกัด

ถ้าหากท่านถูกงูกัด สิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับแรกก็คือ การที่ท่านจะต้องทราบให้ชัดเจนว่างูที่กัดท่านเป็นงูอะไร? เพราะเมื่อทราบชนิดของงูแล้ว เราจะทราบวิธีการดูแลรักษาพยาบาลที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อลดความรุนแรงอันอาจจะเกิดขึ้นจากพิษของงูที่กัดท่านได้ ดังนั้นท่านควรจะนำงูที่กัดท่านไปที่โรงพยาบาลด้วยหากท่านสามารถจับงูได้ การตีงูที่ทำร้ายท่าน พยายามหลีกเลี่ยงอย่าตีบริเวณหัวถ้าทำได้ เพราะกรณีเป็นงูชนิดที่ไม่รู้จักมาก่อน การดูที่หัวและเขี้ยวบางครั้งอาจบอกได้ว่าเป็นงูมีพิษหรือไม่ แต่บ่อยครั้งผู้ที่ถูกงูกัดในที่มืดมองไม่เห็นงูชัดเจน จับงูไม่ได้ ท่านควรต้องสังเกตบาดแผลที่สงสัยว่างูกัดให้ได้ ซึ่งถ้าไม่แน่ใจท่านก็ควรให้การพยาบาลเบื้องต้นเสมือนหนึ่งว่าถูกงูกัดไว้ก่อน ดังนี้

1.กรณีที่ถูกกัดที่แขนหรือขา ให้ใช้ผ้าหรือเข็มขัดรัดเหนือแผลประมาณ 2 - 4 นิ้ว อย่าให้แน่นมากจนเกินไป จนเลือดไปเลี้ยงปลายมือปลายเท้าไม่ได้ ให้ล้างบาดแผลด้วยสบู่และน้ำ พยายามให้ส่วนที่ถูกงูกัดอยู่นิ่ง ๆ และอยู่ต่ำกว่าระดับของหัวใจ ซึ่งถ้าเป็นงูพิษจะทำให้พิษของงูไหลกลับเข้าหัวใจ และแพร่กระจายไปทั่วร่างกายได้ช้าลง

2.พยายามให้ผู้ที่ถูกงูกัดอยู่นิ่ง ๆ อย่าเดินไปเดินมา เพื่อลดการไหลเวียนของเลือด และไม่ควรคัดเลือดหรือพยายามดูดเอาเลือดออกจากแผล เพื่อหวังจะให้พิษงูเข้าสู่กระแสเลือดได้น้อยลง

ดังนั้นกรณีที่งูกัดหรือสงสัยว่างูกัด ถือเป็นกรณีฉุกเฉินที่ท่านต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะท่านจะต้องจับงูให้ได้ ท่านจะต้องให้การพยาบาลเบื้องต้นดังที่กล่าวไว้แล้ว และท่านต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อวางแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง เพราะอันตรายจากงูกัดอาจรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ไฟฟ้าช็อต

ไฟฟ้าช้อต สามารถทำให้เกิดอาการหมดสติ หยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้นทันทีก็ได้ ถ้าหากได้รับกระแสไฟฟ้าเข้าตัวเป็นเวลานาน แม้ว่าจะเห็นแผลขนาดเล็กเป็นจุดที่กระแสไฟฟ้าเข้าและออกจากร่างกาย แต่อาจมีการทำลายของเนื้อเยื่อภายในอย่างมากมาย

การปฐมพยาบาลฉุกเฉินผู้ป่วยที่ถูกไฟฟ้าช้อตในเบื้องแรก ท่านควรที่จะตัดกระแสไฟฟ้าภายในบ้าน อย่างรวดเร็วถ้าทำได้ หรือท่านอาจจะต้องพยายามเอาตัวผู้ป่วยให้ หลุดจากสายไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต้นเหตุ โดยใช้อุปกรณ์ที่ไม่นำไฟฟ้าเช่น ไม้ ผ้า หรือเชือก

หลังจากที่ท่านแยกเอาผู้ป่วยออกมาได้แล้ว ท่านอาจทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

1.ถ้าหากผู้ป่วยไม่หายใจ และคลำชีพจรไม่ได้ ให้เริ่มดำเนินการปฏิบัติการช่วยชีวิต ขั้นพื้นฐาน ขึ้นแรกคือการเป่าลมเข้าปากผู้ป่วย เพื่อให้มีอากาศผ่านเข้าไปในปอด โดยมือข้างหนึ่งจับที่หน้าผาก ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบจมูกผู้ป่วย อีกมือหนึ่งจับที่คางผู้ป่วยให้เงยหน้าขึ้น หายใจเข้าปอดเต็มที่และแนบปากของท่าน ให้กระชับกับปากของผู้ป่วย เป่าลมเข้าไป เป่าลมเช่นนี้ช้า ๆ 2 ครั้ง โดยสูดหายใจเข้าปอดของท่านให้เต็มที่ก่อนทุกครั้ง ถ้าทำได้ถูกต้อง ท่านจะสังเกตเห็นหน้าอกของผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว แสดงว่ามีอากาศเข้าปอดของคนไข้ ท่านควรทำเช่นนี้ทุก ๆ 5 วินาที โดย1 นาทีจะเป่าปากได้ 12 ครั้ง แต่ละครั้งที่หน้าอกมีการเคลื่อนไหวขยายตัวขึ้น ให้รอให้ลมออกจากปอดก่อน โดยท่านอาจจะเอาหูแนบกับปากผู้ป่วยเพื่อฟังเสียงลมออกก่อนที่จะเป่าลมเข้าไปใหม่

2.ให้คลำชีพจรที่ข้อมือหรือบริเวณคอ ถ้าคลำชีพจรไม่ได้ให้ปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นต่อไป คือการปั๊มหัวใจ ควบคู่ไปกับการเป่าลมเข้าทางปาก ซึ่งผู้ที่จะทำควรจะได้ผ่านหลักสูตรการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานมาแล้ว และถ้าให้ดีควรจะได้รับการฝึกฝนมาก่อน

3.ถ้าหากผู้ป่วยหมดสติ แต่หายใจได้เองให้จับผู้ป่วยอยู่ในท่ากึ่งคว่ำ แขนและขาที่อยู่ด้านบน ให้งอพับพอสมควร พึงระวังเรื่องการอาเจียนซึ่งอาจมีเศษอาหารทำให้สำลักได้

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ผึ้งต่อย

ภาวะที่เกิดขึ้นจากแมลงกัด หรือผึ้งต่อย อาจมีแค่ผื่นคันเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งมีอาการแพ้รุนแรง จนอันตรายถึงแก่ชีวิต ก็สามารถพบเห็นได้ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับสารบางอย่างจากแมลงเข้าไปในร่างกาย ทำให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งความรุนแรงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลไป

ผึ้งเป็นแมลงสังคมที่มีการแบ่งเป็นวรรณะต่าง ได้แก่ ราชินี ผึ้งตัวผู้ และผึ้งงาน ผึ้งงานเป็นผึ้งตัวเมียที่มีหน้าที่ดูแลรัง และหาอาหาร ผึ้งงานจะมีอวัยวะที่เรียกว่าเหล็กไน (sting) ซึ่งดัดแปลงมาจากอวัยวะที่ใช้ในการวางไข่ (ovipositor) โดยจะต่อกับถุงพิษ (venom sac) ซึ่งอยู่ภายในช่องท้อง ในระหว่างที่ผึ้งต่อย กล้ามเนื้อในช่องท้องจะบีบให้พิษออกมาจากถุงพิษเข้าสู่เหล็กไน เมื่อผึ้งต่อยมันจะปล่อยเหล็กไนรวมทั้งถุงพิษออกมา แล้วตัวมันก็ตาย

พิษของผึ้งจะประกอบไปด้วยโปรตีนที่เรียกว่า melitin เป็นองค์ประกอบสำคัญ ประมาณร้อยละ 50 ของพิษ สาร melitin มีผลทำให้เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และไลโซไซม์แตก ผลตามมาก็คือมีการหลั่งของเอ็นไซม์ต่างๆ และรวมทั้งฮิสตามีน (histamine) จากเซลล์ที่มีการแตกนี้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนชนิดอื่นๆ เป็นองค์ประกอบอยู่ เช่น apamine ซึ่งมีพิษต่อระบบประสาท hyluronidase ซึ่งมีผลทำให้พิษแพร่กระจายได้เร็วขึ้น และ phospholipase ซึ่งเชื่อว่าเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากผึ้งต่อยนั้น
ส่วนใหญ่ไม่ได้เสียชีวิตเพราะพิษของผึ้ง แต่เสียชีวิตจากปฏิกิริยาการแพ้ชนิดรุนแรง (anaphylaxis)

สาเหตุ

การถูกผึ้งหรือต่อต่อย มักเกิดขึ้นจากการเดินผ่านเข้าไปใกล้แมลงพวกนี้ บางครั้งอาจถูกต่อยในช่องปากขณะกลืนอาหารที่แมลงปะปนอยู่โดยบังเอิญ กรณีถูกผึ้งหรือต่อรุมต่อยทั้งรัง มักเกิดจากการตั้งใจเข้าไปทำลายรัง โดยไม่รู้จักวิธีป้องกัน หรือเด็กๆ เล่นซนไปแหย่หรือทำลายรังผึ้งรังต่อด้วยความคะนอง

อาการไม่รุนแรง

สำหรับกรณีไม่รุนแรง อาจมีอาการแค่ปวดเล็กน้อย ผื่นแดง และคันตรงตำแหน่งที่กัด ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยการล้างด้วยน้ำ และสบู่ ถ้าบวมแดง และคันมากๆ อาจใช้ครีมที่มีส่วนผสมยาสเตียรอยด์ทาเพื่อแก้แพ้แก้คัน หากมีอาการปวดศรีษะ ง่วงซึม มีไข้ กล้าม เนื้อเกร็งตัว หรือ อาการใดๆ ที่ท่านสงสัย และไม่แน่ใจ ควรไปพบแพทย์

อาการแพ้รุนแรง

สำหรับกรณีแพ้อย่างรุนแรงต่อพิษของแมลงที่กัดหรือผึ้งที่ต่อย อาจมีอาการดังนี้ ลิ้น ริมฝีปาก และตาบวม มีอาการอ่อนแรงของแขนขา ไอหรือหายใจลำบาก มีเสียงเหมือนคนเป็นโรคหอบหืด คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ และบางรายอาจหมดสติได้ สำหรับการรักษา หากเริ่มที่จะมีอาการรุนแรง ท่านควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาจจำเป็นต้องรับการรักษาโดยการฉีดยาแก้แพ้ และเฝ้าระวังอันตรายอันอาจเกิดตามหลังดังกล่าวได้

อาการช็อกที่เกิดจากปฏิกิริยาแพ้ชนิดเฉียบพลัน

1ไม่สบายและอ่อนเพลียมาก
2แน่นหน้าอก
3หายใจลำบาก หายใจหอบ หายใจมีเสียงดัง
4หน้าบวม คอบวม ลิ้นบวม
5คันผิวหนัง แสบร้อน โดยเฉพาะบริเวณหน้า หน้าอก หลัง
6คลื่นไส้ เวียนศีรษะ
7อาจเป็นลม ไม่รู้สึกตัว
8ชีพจรเต้นเร็ว แต่เบามาก ความดันโลหิต ตอนแรกอาจสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ต่อมาจะลดลงถึงระดับช็อก
9ริมฝีปากบวม ซีด หลังเขียวคล้ำ บริเวณรอบปากซีดขาว ลิ้นซีดขาว
10ผิวหนังทั่วไปอาจขาวซีดเป็นดวงๆ หรือแบบลมพิษคือ บางส่วนบวมนูน บางส่วนขาวซีด

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายหลัง

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายหลัง (delayed reaction) อาจเกิดขึ้น 10-14 วันหลังจากถูกแมลงต่อย อาการที่พบได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เกิดเป็นผื่นลมพิษ ต่อมน้ำเหลืองโต และข้ออักเสบแบบหลายข้อ บางครั้งผู้ป่วยลืมเหตุการณ์ที่ถูกผึ้งต่อยไปแล้ว

บางรายปฏิกิริยาภูมิแพ้อาจเกิดขึ้นช้า ประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังถูกต่อย ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดตามข้อ และกล้ามเนื้อ ข้อบวมเจ็บ ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วตัว บางรายอาจเกิดไตอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ เลือดจางจากเม็ดเลือดแดงแตก เกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่าย มีจ้ำเขียวตามตัว ประสาทตาอักเสบ ตามัว ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น

การปฐมพยาบาล

1บางท่านที่มีประวัติแพ้สารพิษจากแมลงกัดหรือผึ้งต่อย และมีอาการรุนแรง หากโดนกัดบริเวณแขนหรือขา ท่านอาจจะให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นคล้ายกับกรณีงูกัดด้วยก็ได้ โดยพันผ้าเหนือบริเวณที่ถูกกัด 2-4 นิ้ว และทำความสะอาดตรงตำแหน่งที่ถูกกัดด้วยน้ำ และสบู่

2ผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้พิษผึ้งอย่างรุนแรง ควรมีป้ายหรือเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าเคยแพ้พิษผึ้งติดตัวไว้ตลอดเวลา และเมื่อต้องออก นอกบ้าน ควรพกชุดปฐมพยาบาลซึ่งมีกระบอกฉีดยาซึ่งบรรจุ epinephrine 1:1000 พร้อมสำหรับฉีด เมื่อมีอาการแพ้หลังถูกผึ้งต่อย ผู้ป่วยต้องฉีดยาเข้าในชั้นใต้ผิวหนังทันที

3ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่า เมื่อถูกผึ้งต่อยไม่ควรใช้ปลายนิ้วหยิบเหล็กไนออก เพราะจะเป็นการบีบถุงพิษ ทำให้พิษไหลเข้าไปในบาด แผลมากขึ้น ควรใช้วัสดุแบนๆ เช่นใบมีดหรือบัตรพลาสติกขูดออก แต่ปัจจุบันพบว่าไม่ว่าการใช้ปลายนิ้วหยิบหรือใช้วัสดุอื่นขูดเหล็ก ไนออก ก็ไม่มีผลในการทำให้พิษไหลเข้าไปในบาดแผลมากขึ้น การเสียเวลาหาวัสดุที่จะใช้ในการขูดเหล็กไนออกกลับจะยิ่งทำให้พิษ ถูกขับเข้าไปในบาดแผลมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น การขูดเหล็กไนออกมีโอกาสที่จะทำให้เหล็กไนตกค้างอยู่ในแผลมากกว่าด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

พิษผึ้งและต่ออาจทำให้เกิดพิษต่ออวัยวะทั่วร่างกาย ที่สำคัญคือ ภาวะช็อก และไตวายเฉียบพลัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

การดำเนินโรค

1ถ้าถูกต่อยเพียงครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้ง และมีอาการที่บาดแผลเฉพาะที่ที่ถูกต่อย ก็มักจะหายได้ภายในไม่นาน

2แต่ถ้ามีปฏิกิริยาภูมิแพ้หรือเป็นพิษรุนแรงก็อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน

3บางรายปฏิกิริยาภูมิแพ้อาจเกิดหลังถูกต่อย 1-2 สัปดาห์

4รายที่มีภาวะช็อกจากการแพ้ หลังให้ยารักษาครั้งแรก อาการจะทุเลาไปได้ แต่หลังหยุดยาอาจเกิดภาวะช็อกกำเริบซ้ำได้ จึงต้องรับ ตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลจนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยแน่นอนแล้ว

ปรึกษาแพทย์

ควรรีบไปพบและปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

1อาการปวด บวม แดง คัน ไม่ยุบภายใน 6 ชั่วโมง
2แผลบวมขึ้นเรื่อยๆ หรือมีอาการปวดมาก
3เป็นลมพิษทั่วตัว หรือริมฝีปากบวม หนังตาบวม
4มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน หรือเจ็บแน่นหน้าอก
5หายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือมีอาการเป็นลม
6ถูกต่อยที่ลิ้น หรือภายในช่องปาก หรือที่ตา
7ถูกผึ้งหรือต่อรุมต่อยจำนวนมาก
8เคยมีประวัติถูกผึ้งหรือต่อต่อยมาก่อน เคยมีอาการแพ้แมลงพวกนี้มาก่อน หรือเป็นคนที่แพ้อะไรง่าย
9มีอาการผิดปกติ (เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อตามข้อ ตามัว จ้ำเขียวตามตัว เป็นต้น) เกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังถูกต่อย
10มีความวิตกกังวล หรือไม่แน่ใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

1กำจัดขยะและเศษอาหารบริเวณบ้าน เพื่อไม่ให้มีแมลงมาตอม

2กรณีที่ต้องเดินทางเข้าไปในที่ที่มีแมลงชุกชุมหรือออกไปกลางแจ้ง ไม่ควรใส่เสื้อผ้าฉูดฉาด ลายดอกไม้ หรือใส่น้ำหอม ซึ่งล่อให้ผึ้ง หรือต่อมาต่อยได้

3อย่าแหย่หรือทำลายผึ้ง และเตือนเด็กๆ อย่าไปแหย่รังผึ้งหรือรังต่อด้วยความคะนอง

4ถ้ามีรังผึ้งหรือรังต่อ ภายในบริเวณบ้าน ควรตามผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากำจัดรังแทน

5ถ้าถูกผึ้งหรือต่อต่อย ควรวิ่งหนีโดยเร็วที่สุด ให้ห่างจากรังเกิน 7 เมตรขึ้นไป และควรใช้ผ้าคลุมศรีษะป้องกันไม่ให้ตัวต่อติดอยู่ใน

อยากอยู่ร้อยปี ต้องสร้าง 10 นิสัยสุขภาพดี

อยากอายุยืนก็ลองปฏิบัติตามดู

ข้อแรก อย่าปลดเกษียณ นักวิจัยพบว่าในพื้นที่เชียนติของอิตาลีนั้นมีเปอร์เซ็นต์คนอายุร้อยปีอยู่สูงมาก เมื่อคนเหล่านั้นเกษียณจากการทำงานแล้ว จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันทำงานในฟาร์มขนาดเล็ก ปลูกผักและองุ่น แต่ถ้าคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับงานเกษตรกรรมก็ลองไปเป็นอาสาสมัครตามพิพิธภัณฑ์หรือใช้ประสบการณ์ของตนเองให้เป็นประโยชน์ก็ได้

ข้อสอง หมั่นใช้ไหมขัดฟันทุกวัน การใช้ไหมขัดฟันทุกวันจะช่วยลดปริมาณของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือกลงได้ ซึ่งแบคทีเรียนี้จะเข้าไปที่กระแสโลหิตทำให้เส้นเลือดบวมอักเสบ อันเป็นปัจจัยหลักในการเกิดโรคหัวใจ

ข้อสาม ต้องเคลื่อนไหวออกกำลัง เพราะจะช่วยปรับอารมณ์ ทำให้สติปัญญาเฉียบแหลม ทั้งสร้างความสมดุลให้กระดูกและกล้ามเนื้อของร่างกาย

ข้อสี่ กินอาหารมื้อเช้าที่อุดมด้วยธัญพืชและกากใย

ข้อห้า นอนคืนละ 6 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย

ข้อหก บริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เลี่ยงอาหารขัดขาว ไม่ว่าขนมปัง แป้งหรือน้ำตาลขัดขาว กินขนมปังธัญพืชและผลไม้หลากสีสัน

ข้อเจ็ด เรียนรู้วิธีจัดการกับความเครียด อย่าปล่อยให้เป็นโรคประสาท ลองเล่นโยคะ ทำสมาธิ มวยไท้เก๊ก หรือจะลองหายใจลึก ๆ ก็ได้

ข้อแปด ใช้ชีวิตแบบชาวเซเวนธ์-เดย์แอดแวนทิสต์ ที่ถือว่าร่างกายเราหยิบยืมจากพระเจ้าต้องถนอมรักษาไว้ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ส่วนมากคนที่เดินสายนี้จะสมาทานมังสวิรัติ กินผักและผลไม้ ใช้แรงงานเยอะ และใช้ชีวิตที่คำนึงถึงครอบครัวและชุมชน อายุเฉลี่ยของชาวเซเวนธ์เดย์ฯอยู่ที่ประมาณ 89 ปี

ข้อเก้า ดำเนินชีวิตอย่างเป็นกิจวัตร ส่วนมากคนที่อายุเกินร้อยมักจะดำเนินชีวิตเป็นแบบแผนเคร่งครัด บริโภคอาหารแบบเดิม ทำกิจกรรมเดิมๆตลอดชีวิตเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา

ข้อสุดท้าย ติดต่อกับเพื่อนฝูงและวงสังคมที่มีอยู่ การมีเพื่อนและคนรักจะช่วยลดความซึมเศร้าท้อแท้ลงได้

ทราบกันเช่นนี้แล้ว ใครที่อยากมีอายุยืนยาว หรืออยากให้คนที่คุณรักมีอายุที่ยืนยาวลองนำไปปฏิบัติกันนะคะ อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยทำให้สุขกาย และสุขภาพใจของคุณแข็งแรงได้ค่ะ

ปราบชิคุนกุนยาด้วยสมุนไพร

สรรพคุณของสมุนไพร มาสกัดทำน้ำมันหม่องและยาหม่อง บรรเทาอาการปวดตามข้อและลดผื่นแดงอันเกิดจากไข้ชิคุนกุนยาแม้ไข้ปวดข้อหรือไข้ชิคุนกุนยาจะระบาดหนัก แต่ก็ใช่จะไม่มีทางแก้ไข!!!

นี่คงเป็นเสมือนการย้ำเตือนที่ว่าไม่มีอะไรที่ยากไปกว่าความสามารถของมนุษย์ตามที่เราทราบกันดีว่า โรคชิคุนกุนยาและโรคไข้เลือดออกนั้น มีพาหะชนิดเดียวกัน คือ “ยุงลาย” แต่ต่างกันที่โรคชิคุนกุนยานั้นร้ายแรงน้อยกว่าไข้เลือดออก ตรงที่ไข้เลือดออกนั้นทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

ส่วนชิคุนกุนยานั้นทำให้เกิดอาการปวดข้อต่างๆ อย่างรุนแรงและแสนทรมานแต่ไม่ทำให้เสียชีวิตการป้องกันโรคทั้ง 2 โรคนั้น จึงเป็นเรื่องที่เราควรใส่ใจเพราะทำได้ไม่ยาก หากมีการวางแผนรับมือกับยุงลายตั้งแต่เนิ่นๆ การแพร่ระบาดก็จะลดลงเริ่มต้นได้ภายในบ้านของเราเอง อย่างเช่น การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ต้นตอสำคัญของการเกิดยุง ด้วยการคว่ำถ้วย ชาม กะละมัง กะลา ยางรถยนต์ ไม่ให้มีน้ำขัง ปิดภาชนะทุกครั้งหลังใช้งาน แม้แต่กระถางปลูกไม้น้ำ หรือกระถางต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ หรือแจกันประดับบ้าน ก็ควรจะหาปลาหางนกยูงหรือปลากัดมาเลี้ยงเพื่อช่วยกินลูกน้ำยุง และควรหมั่นเปลี่ยนน้ำทุกอาทิตย์ เพื่อเป็นการตัดวงจรชีวิตของลูกน้ำยุงลายสมุนไพรในบ้านเมืองเราหลายชนิด สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการกำจัดยุง

ทั้งยังปลอดภัยกว่าสารเคมีฉีดพ่นแบบกระป๋องหรือแบบขดเป็นไหน ๆที่เรารู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือ ตะไคร้หอมไล่ยุง ที่มีทั้งแบบธูปและแบบสเปรย์ฉีด ในตะไคร้หอมนั้นจะมีน้ำมันหอมระเหยที่เป็นสารออกฤทธิ์ไล่ยุง บ้านใครที่ยุงเยอะแนะนำให้ปลูกต้นตะไคร้ไว้รอบ ๆ บ้าน จะช่วยลดปริมาณยุงมากวนใจได้อย่างมากเลยทีเดียว สมุนไพรอื่นๆ นอกจากตะไคร้หอมที่ยุงเกรงกลัว ยังมีกะเพรา ดอกดาวเรือง ขมิ้น และพืชในตระกูลส้ม เช่น มะกรูด ส้มโอ เป็นต้น พืชที่กล่าวมานี้สามารถนำไปใช้ในการไล่ยุงและกำจัดลูกน้ำได้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังได้ผลเกินคาดเสียด้วย

ยกตัวอย่างใน กะเพรา ผักประจำบ้านของไทยนั้น มีน้ำมันหอมระเหยที่สามารถไล่ยุงได้ แค่นำกะเพราไปเป็นส่วนผสมในธูป เทียน หรือนำใบกะเพรามาขยี้ให้น้ำมันหอมระเหยออกมาจากนั้นนำมาวางใกล้ๆ ตัว ประสิทธิภาพของน้ำมันหอมระเหยในใบกะเพราจะระเหยออกมากำจัดยุงได้เช่นกัน ดอกดาวเรือง ดอกไม้กลิ่นฉุนนั้นสามารถใช้ไล่แมลงได้ดีนัก เพียงปลูกไว้ใกล้ๆ บ้าน ประสิทธิภาพความฉุน (มาก) ของดอกดาวเรือง จะช่วยไล่ทั้งยุงและแมลงไม่พึงประสงค์ได้

อีกทั้งสารสกัดจากดอกดาวเรืองนั้นยังใช้ในการกำจัดลูกน้ำได้ดีอีกต่างหากพืชในตระกูลส้มทั้งหลาย อย่างส้มโอ ส้มเขียวหวาน มะกรูด เมื่อทานหรือคั้นเอาแต่น้ำไปใช้แล้วอย่าทิ้ง นำเปลือกมาตากแห้งเผาไฟไล่ยุงได้ดีนัก แต่เวลาที่จะเผาใช้งานควรคำนึงถึงที่อยู่อาศัยและกะปริมาณในการใช้งานให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง โดยขณะที่เผาน้ำมันหอมระเหยจะทำให้ยุงไม่กล้าเข้ามาใกล้สิ่งที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ คือ โรคชิคุนกุนยานั้นยังไม่มีวัคซีนตัวใดที่รักษาได้โดยตรงและอาจเกิดการกลายพันธุ์เป็นเชื้อตัวใหม่ได้

ที่ทำได้ตอนนี้แค่เพียงแต่ประคับประคองอาการป่วยเท่านั้นแต่เมื่อเร็วๆ นี้ ทางศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษายะลา ได้นำพืชสมุนไพรมากกว่า 20 ชนิด มาสกัดทำน้ำมันหม่องและยาหม่องสมุนไพรเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อและลดผื่นแดงอันเกิดจากไข้ชิคุนกุนยา

นางดวงแก้ว อัลภาชน์ ครูชำนาญการ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษายะลา กล่าวว่า ได้ทำการทดลองสรรพคุณของตัวยาสมุนไพร ซึ่งพบว่าสามารถบรรเทาอาการปวดข้อและลดอาการผื่นแดงได้ภายใน 1 ชั่วโมง และทางศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ ก็ได้รับเงินงบประมาณจากจังหวัดยะลา

ในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการทำยาหม่องให้กับประชาชนที่สนใจทุกคน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสียงต่อการระบาดของโรคไข้ชิคุนกุนยา หากสนใจก็สามารถติดต่อไปได้ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัดยะลาชิคุนกุนยาแม้ไม่ร้ายแรงถึงตาย แต่ความทรมานยามป่วยนั้นเจ็บปวดไปถึงใจกับเพียงแค่ยุงลายตัวเดียว เหมือนกับที่โบราณมักกล่าวไว้ว่า “ยุงร้ายกว่าเสือ” นั้นเห็นจะจริง!!

อาหารอันตรายขณะท้องว่าง

อาหารทุกชนิดก็มีประโยชน์ แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีอาหารอีกบางชนิด ที่เป็นอาหารที่เมื่อทานในขณะที่ท้องไม่ว่างนั้น จะเกิดประโยชน์ แต่ถ้าเกิดทานขณะท้องว่างรับรองว่า เกิดโทษมากกว่าประโยชน์แน่นอน เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า อาหารชนิดใดบ้างที่ห้ามรับประทานขณะท้องว่าง

นมและนมถั่วเหลือง

แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิด ประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

เหล้า

หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน

ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่ง ผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป

ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ

ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่ง กรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย

เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็น การยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม

เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรค กระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำหลังออกกำลังกาย ด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและ การออกกำลังกายภายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

ดังนั้น เราก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายของเราดีกว่านะคะ

8 วิธีในการดึงพื้นที่ฮาร์ดดิสก์คืนมา

เทคนิคหนึ่งที่นำมาใช้เสมอกรณีที่เริ่ม Setup คอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานเองก็คือ จัดแบ่งพาร์ติชั่นให้เหมาะสม โดยแยกให้เป็นพาร์ติชั่นสำหรับระบบปฏิบัติการ พาร์ติชั่นสำหรับ Application และสำหรับ Cache Drive หรือ Temp Drive และเมื่อใดก็ตามที่เห็นผู้ใช้งานท่านใด บ่นว่าไม่มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูล เราว่าปัญหาแท้จริงนั้นไม่ใช่ว่าพื้นที่ทั้งหมดในฮาร ์ดดิสก์เต็มไปด้วยข้อมูล แต่ปัญหาจริงๆ ก็คือว่า การขาดการจัดการที่ดีมากกว่า แม้แต่ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ก็ต้องการการจัดการกรณีนี้กล่าวถึงเฉพาะในพาร์ติชั่นของระบบปฏิบัติการแ ละ Application เท่านั้น ส่วนตัวแล้ว กำหนดให้มีขนาดไม่เกิน 800เมกะไบต์ เพราะถือว่าการติดตั้งซอฟต์แวร์ Application ในปริมาณที่เกินกว่า 1 เมกะไบต์นั้น เป็นการสิ้นเปลืองและการไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จร ิง รวมไปถึงการจัดการที่ไม่ดีด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พื้นที่ 800 เมกะไบต์ของผมก็ยังเต็มอยู่บ่อย ด้วยเหตุนี้ผมจึงเรียบเรียง กลวิธีง่ายๆในการดูแลพาร์ติชั่นดังกล่าวให้สะอาดและม ีพื้นที่ว่างประมาณ 30 - 50 เมกะไบต์เสมอ ทำไมต้องมีพื้นที่ว่าง เพราะต้องว่างไว้สำหรับข้อมูลแคชของ Netscape , Internet Explorer , ไฟล์ที่มีผู้ส่งให้ทาง E-mail และข้อมูลที่ต้องถูกเก็บโดยอัตโนมัติในพาร์ติชั่นเดี ยวกับ Application ไม่สามารถแยกเก็บต่างหากได้

1. Recycles Bin คือ สถานที่แรกที่ควรพิจารณาจัดการ ปกติถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขนาดของถังขยะจะมีความจุ 1/10 เท่าของพื้นที่พาร์ติชั่น กรณีของฮาร์ดดิสก์ 1 กิกะไบต์ ก็จะมีถังขยะขนาด 100 เมกะไบต์ หากไม่จัดการให้เหมาะสม ปล่อยให้ถังขยะเต็มอยู่ตลอดเวลา ก็จะเสียพื้นที่ 100 เมกะไบต์ไปโดยเปล่าประโยชน์

2. การจัดการกับข้อมูลใน Disk Cache ของบราวเซอร์ เช่น Netscape , Internet Explorer ข้อดีของการมีข้อมูลเหล่านั้นไว้ก็คือ ประหยัดเวลาในการดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ต และใช้ดูขณะ Offline ได้ แต่ข้อเสียก็คือใช้พื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ ทางที่ดีควร "ล้างแคช" โดยการใช้ฟังก์ชั่น Clear Cache ของบราวเซอร์ที่ใช้งาน กรณีของ Netscape นั้น ไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตอยู่ใน C:\Program File\Netcape\…\cache ส่วนกรณีของ Internet Explorer นั้นอยู่ใน C:\Windows\Teporary Internet File\ พื้นที่ที่ใช้ในการเก็บไฟล์เหล่านั้นเริ่มจากไม่กี่เ มกะไบต์ไปจนหลายสิบเมกะ ไบต์ ซึ่งหากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ได้ใช้งานก็ควรลบออก

3. การจัดการกับไฟล์ที่ส่งแนบมากับจดหมายอิเลคทรอนิคส์ และไฟล์ข้อมูลที่ดาวน์โหลดเข้าเก็บไว้โดยโปรแกรมประเ ภท Offline Web Browser สำหรับไฟล์ที่แนบมากับจดหมายอิเลคทรอนิคส์นั้น อาจต้องการใช้งานระยะเวลาสั้นๆ หลังจากต้องดำเนินการขั้นต่อไปคือ ตัดสินใจว่าจะสำรองข้อมูลไว้ หรือลบทิ้ง หรือนำไปจัดเก็บในพาร์ติชั่นสำหรับข้อมูล ส่วนไฟล์ HTMLและรูปภาพที่ดาวน์โหลดโดย Offline Web Browser ถ้าหากต้องการเก็บไว้อ้างอิงระยะยาว ก็ควรย้ายไปยังพาร์ติชั่นสำหรับข้อมูลเช่นกัน หากไม่ต้องการใช้ก็ลบทิ้ง พื้นที่ว่างที่ได้เพิ่มขึ้นนั้น หลากหลายตามสัดส่วนความรกของไฟล์ สำหรับไฟล์ที่รับจาก e-mail กรณีที่ใช้งาน Eudora พบว่าบางครั้งไฟล์ขนาดใหญ่ และรับครั้งเดียวไม่สำเร็จ และเมื่อรับครั้งต่อไป ไฟล์นั้นจะถูกทิ้งไว้ และสร้างชื่อใหม่ขึ้นอีก ไฟล์ที่ใช้ได้คือไฟล์ที่สมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นจึงควรตรวจสอบและกำจัดไฟล์ขยะทิ้งไป

4. ไฟล์นามสกุล .tmp ใน C:\Windows\temp เป็นไฟล์ชั่วคราว (Temporary File)ที่ถูกสร้างขณะที่ใช้งาน Application ต่างๆ ถ้าหากการใช้งานคอมพิวเตอร์โดยการเปิด-ปิดตามปกติ ไฟล์ชั่วคราวดังกล่าวจะถูกทำลายโดยอัตโนมัติเมื่อใช้ งานเสร็จ แต่ในกรณีที่วินโดวส์หยุดทำงานเพราะแฮงค์ ไฟล์ชั่วคราวดังกล่าวจะเหลืออยู่ และเมื่อเป็นปริมาณมากๆ ขนาดก็ใหญ่ตาม การกำจัดทำได้โดยใช้ยูทิลิตีส์ เช่น Norton Utility Space Wizard

5. ทิ้งชิ้นส่วนที่ไม่ได้ใช้งานแต่ถูกติดตั้งลงไปเมื่อต ิดตั้งวินโดวส์ สำหรับวินโดวส์ภาษาไทย สิ่งที่ลบออกได้ก็คือ C:\Program File\Online Service จะสังเกตเห็นว่า Online Services ที่ให้มานั้นคือ ของ AT &T , CompuServe, AOL ซึ่งเป็น บริการที่หาไม่ได้ในประเทศไทย แต่ถูกติดตั้งโดยอัตโนมัติ ไม่มีตัวเลือกให้ว่าจะเลือกติดตั้งหรือไม่ติดตั้ง และไม่มีตัว Uninstall ที่มากับ Windows ด้วย การลบทำได้สองวีธีคือ ลบด้วยมือ โดยเข้าไปลบใน Windows Explorer หรือใช้ยูทิลิตีส์ในการ Uninstall เช่น Clean Sweep , Uninstall การทิ้งส่วนนี้ให้พื้นที่ว่างถึง 9 เมกะไบต์

6. Application ที่แถมมากับวินโดวส์ แต่ไม่ได้ใช้งาน กรณีนี้ควรตรวจสอบก่อนลบว่าต้องการใช้อยู่หรือไม่ เช่น Hyper Terminal , Word Pad Thai , Windows Messaging , Paint ,ทำให้พื้นที่ว่างลงอีกหลายเมกะไบต์ได้เช่นกัน การเอาออกทำได้โดยใช้ฟังก์ชัน Add/Remove Program ใน Control Panel

7. ไฟล์สำหรับติดตั้งระบบปฏิบัติการ แต่หลงเหลือไว้ในฮาร์ดดิสก์หลังจากติดตั้งวินโดวส์เส ร็จเรียบร้อย พบในบางกรณี เช่น Notebook ยี่ห้อ Toshiba เมื่อซื้อมานั้น มักจะมาพร้อมกับวินโดวส์ 95 ซึ่งถูกติดตั้งเรียบร้อย แล้ว แต่ไฟล์สำหรับติดตั้งนั้นจะอยู่ใน C:\Windows\Option ซึ่งมีขนาดความจุ 60 - 90 เมกะไบต์ ทั้งนี้ประโยชน์ของการมีไฟล์ดังกล่าวไว้คือ กรณีที่วินโดวส์เสียหาย ก็สามารถติดตั้งจากตัวต้นฉบับที่ถูกคัดลอกไว้ดังกล่า วได้ แต่ก็เสียพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ไป ทางที่ดีควรพิจารณาสำรองไว้ในแผ่นฟล๊อปปี้ หรือหากเป็นการใช้งานคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย (Workgroup) ก็ควรขอพื้นที่ในเซอร์เวอร์ เพื่อฝากไฟล์ดังกล่าว หรือหากไม่สามารถลบทิ้ง ไม่สามารถฝากไฟล์ไว้ที่เครื่องอื่นได้ แนะนำให้ลบไฟล์ชื่อ wowkit.exe ซึ่งมีขนาดถึง 19 เมกะไบต์ออก เพราะเป็นไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งานกันตามปกติเช่นเดียวกัน

8. ไล่ดูแต่ละโฟลเดอร์ทั้งใหญ่และย่อยถ้าทำได้ บางทีอาจจะเหลือขยะที่ทำให้เราจัดการได้บ้าง เช่น ไฟล์ตกค้างใน Eudora , ไฟล์ตกค้างจากการใช้ Offline Browser เช่น Teleport หรือไฟล์ที่เราอาจจะค้นพบได้เพิ่มเติมว่า มันไม่มีประโยชน์ และเปลืองพื้นที่ฮาร์ดดิสก์โดยไม่จำเป็น