5 ธ.ค. 2553

ประสบการณ์หลังจากทำเลสิคค่ะ

มารีวิวเรื่องเลสิคค่ะ ก่อนอื่นต้องขอแก้ตัวก่อนเลย
ตั้งใจที่จะมาเขียนรีวิวอยู่แล้วค่ะ
แต่ที่ยังไม่ได้ลงมือเขียนซะทีก็เนื่องด้วยว่าตอนนี้คุณหมอยังไม่ให้ใช้สายตาเยอะๆ
แต่เห็นเมลพี่อูแล้วถกเถียงกันเลยอดไม่ได้ที่จะต้องเขียน
อยากให้คนที่มีปัญหาสายตาได้ทำ ทำแล้วมีความสุขจริงๆ ค่ะ

เริ่มกันด้วยสาเหตุและเหตุผลที่ตัดสินใจทำเลสิคกันเลยนะคะ โอ๋สายตาสั้น ข้างขวา
825 ข้างซ้าย 850 สั้นชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้ใส่แว่นหรือใส่คอนแทคเลนส์
จะทำอะไรต้องใช้ความรู้สึกอย่างเดียวเลยค่ะ ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาแล้ว

และก็พึ่งพาคอนแทคเลนส์มาเป็นเวลาเกิน 10 ปี จนกระทั่งตาเริ่มมีปัญหา
เป็นโรคตาแห้ง กระจกตาอักเสบ ไม่สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้
ต้องรักษาอยู่หลายเดือนค่ะ ในช่วงที่รักษาตาก็หันไปพึ่งแว่นสายตาแทน
ซึ่งคนที่สายตาสั้นมากๆ จะเข้าใจค่ะ ว่าการใส่แว่นเพื่อช่วยในการมองเห็น
กับการใส่แว่นเพื่อแฟชั่นความรู้สึกมันต่างกันมากๆ อยากเป็นคนสายตาปกติ
ก็เริ่มที่จะศึกษาเรื่องเลสิค

เริ่มกันที่รุ่นของเครื่องก่อนเลยนะคะ จากที่ศึกษาก่อนตัดสินใจทำ
พอได้ความรู้คร่าว ๆ มาดังนี้ค่ะ

เครื่องทำเลสิคที่ใช้กันอยู่ในวงการแพทย์จะผลิตมาจากสามประเทศ คือ อเมริกา
ญี่ปุ่น และเยอรมันนี
ซึ่งเครื่องที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุดว่ามันดีที่สุดก็คือเครื่องเยอรมันนี
(อันนี้จากการอ่านรีวิวทั้งหลายในอินเตอร์เน็ต
และจากการสอบถามจากคุณหมอโดยส่วนใหญ่ ดีไม่ดียังงัยลองพิจารณากันนะคะ)
ซึ่งเครื่องจากเยอรมันนีที่ว่าใหม่ล่าสุดในประเทศไทยตอนนี้เป็นเครื่อง Zeiss รุ่น
MEL 80 (หรือในวงการแพทย์จะเรียกว่า Gen 5th)

ศูนย์เลสิคที่ใช้เครื่องรุ่นนี้และมีค่อนข้างชื่อเสียงจะมีอยู่ 4 ที่

- รพ.กรุงเทพ-พัทยา

- TRSC

- ท็อปเจริญจักษุ

- รพ. วิภาวดี แต่ รพ. วิภาวดีจะเป็นรุ่น MEL 70 ซึ่งคุณสมบัติใกล้เคียงกันมาก

คุณสมบัติที่ดีเพิ่มขึ้นมาของเครื่องรุ่น GEN 5th นะคะ
มันจะมีเทคโนโลยีอะไรสักอย่าง ไม่ได้จำ แต่ความสามารถของมันคือ
จะมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวของลูกตาดำ เพื่อความแม่นยำในการรักษา
ที่นี้หลายคนคงสงสัยว่าแล้วทำไมต้องไปสนใจอะไรกะลูกตาดำ
มันจะขยับก็เรื่องของมัน มันเป็นผลข้างเคียงค่ะ
บางคนไปทำเลสิคมาสายตาสั้น-ยาวหายไป ได้สายตาเอียงแถมมา
เพราะความไม่นิ่งในการยิงเลเซอร์นี่แหล่ะค่ะ
และคุณสมบัติอีกอันนึงคือมันลดแสงกระจายในตอนกลางคืน
ซึ่งเป็นของแถมอีกข้อนึงที่คนทำเลสิคพบมาก โดยเฉพาะคนที่มีค่าสายตาเยอะๆ
จะพบปัญหาที่ต้องระวังเยอะหน่อยค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้ว
ผลข้างเคียงทั้งหมดทั้งปวงนี้มันเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุค่ะ
โดยอาจจะเกิดจากตัวผู้รักษาเอง ค่าสายตา ความแข็งแรงสมบูรณ์ของสุขภาพตา
ซึ่งของโอ๋คูรหมอตรวจเสร็จก็ทำท่าลัลล้า บอกว่าหนูสุขภาพตาแข็งแรงมากจ้ะ
ทำแล้วได้ค่าสายตาเป็น 0 แน่นอน เพราะสภาพตารับไหว (
อันนี้คือข้อจำกัดข้อนึงด้วยนะคะ บางคนสายตาสั้น-ยาว มาก
หรือด้วยข้อจำกัดของสุขภาพตาของตัวผู้รักษา ความหนาของกระจกตา
ซึ่งหมอที่มีจรรยาบรรณจะแจ้งให้ทราบก่อนค่ะ ว่าทำมาแล้วอาจจะเหลือค่าสายตา
หรือทำมาแล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง แล้วให้ผู้รักษาพิจารณาเองค่ะ
ว่าจะตัดสินใจทำหรือไม่ทำ
สำหรับโอ๋หมอบอกว่ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายหลังจากทำเลสิค
ข่าวดีก็คือทำแล้วได้ผล 100% ค่าสายตาเป็น 0 ในวันแรกที่ทำ แต่ข่าวร้ายคือ
หนูอาจจะต้องกลับมาสายตาสั้นได้อีก เนื่องจากความผิดปกติจากกระบอกตาของหนู
หนูเป็นคนกระบอกตายาว ซึ่งหมอเองก็ไม่สามรถบอกได้ว่าจะกลับมาสั้นอีกเท่าไหร่
หรือจะกลับมาสั้นอีกเมื่อไหร่
แต่ถ้าหากกลับมาสั้นอีกก็สามารถใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ได้อีก
หรือจะใช้วิธีการรักษาแบบอื่นได้อีก
ในตอนนั้นสมองคิดอย่างเดียวว่ายังงัยซะก็จะทำ
ขอสายตาปกติซักช่วงระยะนึงของชีวิตก็ยังดี

ส่วนที่ รพ. รัตนินจะเป็นเครื่องจากอเมริกา (จำชื่อรุ่นไม่ได้
ไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดค่ะ)
และอีกที่ที่แนะนำสำหรับหลายคนที่ไปตรวจแล้วพบว่ากระจกตาบาง
(ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถทำเลสิคได้ ให้ไปปรึกษาที่ Laser vision ค่ะ
เพราะเป็นศูนย์เลสิคที่ใช้เครื่องจากประเทศญี่ปุ่นข้อดีของเครื่องตามคำโฆษณาของ
Laser vision คือสามารถทำเลสิคได้แม้คนที่กระจกตาบางมากๆ
และไม่สามารถใช้เครื่องรุ่นอื่นทำได้)

เรื่องของราคา

หลายคนอาจจะศึกษาราคาจากหลายที่
เคยสงสัยไม๊คะทำไมแต่ละศูนย์ต้องมีหลายโปรแกรมและ หลายราคา จริงๆ
แล้วแต่ละศูนย์จะมีเครื่องแค่รุ่นเดียวเท่านั้นค่ะ
เพราะราคาเครื่องค่อนข้างแพงไม่มีที่ไหนลงทุนซื้อเครื่องมาหลายๆ รุ่น
แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือซอฟต์แวร์ที่จะเป็นตัวควบคุมการทำงานของเลเซอร์อีกที
ซึ่งหลายๆ ที่จะเอามาทำการตลาด
ด้วยการแบ่งเป็นโปแกรมและตั้งราคาที่แตกต่างกันไป
โดยใช้ค่าสายตาของผู้รักษาเป็นตัวชี้วัดทั้งๆ ที่จริงๆ
แล้วต้นทุนการรักษาเท่ากันค่ะ
ทีนี้วิธีการถ้าเราไม่สะดวกที่จะมาทำที่ศูนย์เลสิคที่บอกไปข้างต้น
ด้วยการเดินทาง ด้วยราคา หรือเหตุผลอะไรอีกมากมาย
เวลาถามข้อมูลก็ไม่ต้องไปถามค่ะว่าเค้าใช้เครื่องดีไม๊
เพราะทุกที่จะบอกว่าเครื่องของศูนย์ตนเองดีที่สุดอยู่แล้วค่ะ
ให้ถามว่าใช้เครื่องรุ่นอะไร
แล้วเอาชื่อเครื่องมาศึกษาคุณสมบัติของมันจะมีประโยชน์กับตัวเรามากกว่าค่ะ

เรื่องของแพทย์

หลายคน หลายที่จะบอกว่าหมอทุกคนทำดีเหมือนกัน
หมอเป็นแค่คนที่คอยควบคุมซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ แต่โอ๋ไม่เชื่อ
และรู้สึกเอาเองว่าหมอคือส่วนนึงที่จะทำให้เกิดผลดีและผลเสียหลักจากการทำ
ก็เลยเริ่มศึกษาประวัติคุณหมอ พยายามเลือกหมอที่หลายๆ คนเชื่อถือ
ซึ่งหมอที่มีชื่อเสียงเรื่องเลสิคที่หลายคนยอมรับ
ทั้งด้วยแพทย์ด้วยกันเองก็ยอมรับก็คือคุณหมอเอกเทศ ที่ TRSC ค่ะ
คณหมอหลายคนแนะนำว่าหมอคนนี้เก่งมาก เจ๋งมาก โอ๋ก็เคยแห่ตามเค้าไป
ไปลงชื่อจองคิวไว้แล้วด้วย คิวยาวมากค่ะ รอนานมาก ประมาณ 2-3 เดือน
ในขณะที่รอก็ศึกษาข้อมูลเพิ่มขึ้นไปด้วย และพอดีได้ทราบข่าวว่า รพ. กรุงเทพ
พัทยา มีโปรโมชั่น ราคา 39,900 บาท เลยลองศึกษาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
ได้ข้อมูลรุ่นเครื่อง มาศึกษาประวัติคุณหมอ อ่านรีวิวจากคนที่เคยทำมาแล้ว
หลายคนทำแล้วได้ผลดี พึงพอใจทั้งเรื่องบริการ ทั้งคุณหมอ ก็เลยลองโทรนัด
ซึ่งตอนนั้นก็ลังเลนะคะ คิดว่าทำไมราคามันช่างแตกต่างกันจัง
แล้วถ้าทำดีทำไมต้องมาจัดโปรโมชั่น ทำถูก ๆ ไปแล้วได้ผลไม่ดี
หรือเป็นอันตรายจะทำยังงัย
แต่ก็คิดว่าลองไปคุยกับคุณหมอก่อนแล้วค่อยตัดสินใจทำก็ได้ไม่เสียหาย
ก็เลยจัดแจงนัดคุณหมอ ลืมบอกไปค่ะ ชื่อนายแพทย์สมชาย
ตระกูลโชคเสถียรโรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา
หลังจากนั้นก็ไปบอกคุณสามีให้ขับรถพาไปพัทยาหน่อย ไปตรวจประเมินสภาพตากัน
จะไปทำเลสิค หลังจากนัดคุณหมอแล้วก็เริ่มศึกษาข้อมูลละเอียดขึ้นอีก
ละเอียดชนิดที่ว่าตอนได้เข้าไปพบคุณหมอครั้งแรก
ก็เริ่มสอบถามข้อมูลที่ศึกษามาเลยค่ะ ถามข้อดี ข้อเสีย ถามถึงผลข้างเคียง
จนคุณหมอบอกว่าหนูรู้เยอะมาก แต่ที่หนูถามหมอเนี่ยแค่ต้องการความมั่นใจใช่ไม๊
หนูอ่านมาเยอะเกินไป สุดท้ายก่อนออกจากห้อง ถามคำถามยอดฮิต หนูจะตาบอดไม๊ค่ะ
ถ้าทำแล้วเกิดความผิดพลาด คุณหมอบอกว่ายังไม่เคยมีใครตาบอดเพราะทำเลสิค
การใส่คอนแทคเลนส์อันตรายกว่าการทำเลสิคหลายเท่า
และยังมีความเสี่ยงอาจทำให้ตาบอดได้ ถ้าหากหนูตาบอดเพราะทำเลสิคนะ
หนูจะต้องดังที่สุดในโลกเลยล่ะ คุณหมอใจดีมาก คุยกันครั้งแรกรู้สึกประทับใจ
และมั่นใจที่จะทำ จนไม่ลังเลเลยค่ะ ว่าต้องขับรถมาทำที่พัทยานี่แหล่ะ
หลังจากคุยและตรวจประเมินสายตาเสร็จก็นัดคุณหมอทำทันทีเลย
โทรยกเลิกนัดคุณหมอที่ TRSC เพราะทนรอคิวไม่ไหว

การเตรียมตัวก่อนทำเลสิค

สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ให้ถอดคอนแทคเลนส์อย่างน้อย 7 วัน
ก่อนวันไปตรวจประเมินสายตา และหลังจากทำเลสิคก็จะมีการตรวจติดตามผลอีก 5
ครั้งคือ

1 วันหลังการทำเลสิค
1 อาทิตย์หลังการทำเลสิค

1 เดือนหลังการทำเลสิค

3 เดือนหลังการทำเลสิค

6 เดือนหลังการทำเลสิค

การตรวจประเมินสายตาก่อนทำเลสิค

เป็นการตรวจประเมินสายตาโดยละเอียด
ซึ่งวันตรวจคุณหมอแนะนำว่าให้นำญาติไปด้วยเพราะต้องหยอดยาขยายม่านตา
จะทำให้มองใกล้ไม่ชัด ขับรถเองไม่ได้ค่ะ
แต่ถึงแม้โอ๋จะไม่หยอดตาก็ขับรถเองไม่ได้อยู่ดี เพราะขับรถไม่เป็น อิอิ....

ขั้นตอนนี้จะเป็นการวัดสายตา ตรวจสภาพสายตาโดยละเอียด วัดควาหนาของกระจกตา
วัดความดันตา ตรวจความถนัดของตา วัดอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ใช้เวลาประมาณ 2-3
ชั่วโมงค่ะ

ขั้นตอนการทำเลสิค

ตื่นเต้นค่ะ ตื่นเต้นมากๆ วันเดินทางไปทำคุณพยาบาลกำชับว่าให้อาบน้ำ สระผม
ให้สะอาด ห้ามทาครีม โลชั่น น้ำหอม เครื่องสำอางค์ใดๆ ทั้งสิ้น
ไปในสภาพที่เรียกว่าสวยธรรมชาตินั่นแหล่ะค่ะ แล้วต้องพกแว่นตาดำไปด้วย
อันนี้สำคัญสุดๆ ไปถึงโรงพยาบาล คุณพยาบาลจับหยอดยาหนึ่งหยดนั่งพักรอสิบนาที
หยอดอีกหนึ่งหยด แล้วพาเดินไปห้องผ่าตัด จับใส่เสื้อคลุมแล้วให้ถอดแว่น
โอ๋ก็ไม่ยอมถอดก็ถอดแล้วมองไม่เห็นนี่นา คุณหมอบอกว่าต้องถอดค่ะ
ไม่ให้เอาอะไรเข้าห้องผ่าตัด ถอดแล้ววางไว้ข้างนอกนั่นแหล่ะ
เพราะหนูจะไม่ต้องใช้มันแล้วนะ ถอดเสร็จคุณพยาบาลสองคนเดินมาจูงมือไปนอน
มองไม่เห็นอะไรแล้ว จับขึ้นเตียง เตียงมีลักษณะเป็นหลุมตรงกลางศรีษะค่ะ
ให้เอาศรีษะวางไว้ในหลุม แล้วนอนในท่าที่สบาย หมอยื่นลูกบอลลูกเล็กๆ ให้สองลูก
บอกว่าเอาไว้ให้หนูบีบนะ เวลาที่ตื่นเต้นหรือกลัว
ให้คิดว่ามีคนที่เรารักอยู่ใกล้ๆ เรา (ตกใจ..หมอรู้ได้ไงเนี่ย
ว่าคนที่เรารักลักษณะคล้ายลูกบอล 55++) แล้วก็เอาหมอนมารองตรงหัวเข่า
จัดท่าจัดทาง มีเครื่องคล้ายเครื่องวัดสายตานั่นแหล่ะ วางอยู่เหนือหน้าเรา
หมอก็เริ่มชวนคุยให้เคลิบเคลิ้ม แล้วหยอดยา 1 หยด แสบดีค่ะ สักพักก็หยอกอีกหยด
ไม่รู้ยาอะไร แต่เดาว่าคือยาชา ตอนนั้นลืมถาม มัวแต่ตื่นเต้นบีบลูกบอลอยู่
แล้วก็เอาพลาสติกมาคุลมหน้าด้านขวา หลังจากนั้นเอาอะไรไม่รู้มาจิ้ม
เดาอีกว่าคือกรรไกรหรือมีด เจอะรูให้พอดีตา เพราะตอนนั้นมองไม่เห็นแล้ว
เนื่องจากไม่ได้ใส่แว่น แต่ในใจแอบคิดว่าทำไมไม่เจาะก่อนที่จะเอามาปิดวะเนี่ย
ถ้าหมอเจาะพลาดก็เท่ากับทิ่มไปในลูกกะตา ตื่นเต้นดีจัง
พอเจาะเสร็จหมอบอกว่าไม่ต้องตื่นเต้นนะหนู
หนูแค่ช่วยหมอในบางเวลาที่หมอบอกให้ช่วย ทำใจให้สบาย
แล้วก็เอาอะไรสักอย่างมาครอบที่ตา ทันใดนั้นหนูถามว่าเจ็บไม๊
หมอบอกไม่เจ็บแต่มันจะหน่วงๆ ก็ไม่เจ็บจริงๆ ค่ะ แต่มันรู้สึกเหมือนอึดอัด
ว่ามีอะไรมากดทับที่ตาเรา แต่แค่แป๊ปเดียวไม่ได้ทำให้ทรมาน
(พยาบาลคงคิดว่าทำไมมันช่างถามเยอะจังวะ ถามตลอดว่าหมอทำไร
บอกตลอดว่าตอนนี้รู้สึกยังงัย จนคุณหมอบอกว่าหนูให้ความร่วมมือดีมากค่ะ)
พอเอาไอ้ที่กดทับตาเราออกหมอก็บอกว่าจะเปิดกระจกตาแล้วนะ
ให้มองที่แสงที่เครื่องเหนือศรีษะเรานั่นแหล่ะ แล้วเด๋วจะมองไม่เห็นอะไรแล้วนะ
จะเห็นเป็นแสงขาวๆ สักพักเด๋วจะกลับมาเห็นอีก หมอจะบอกตลอดว่ากำลังทำอะไรอยู่
พอเปิดกระจกตาเสร็จก็ทำการยิงเลเซอร์ ตอนยิงได้กลิ่นไหม้ด้วยล่ะ
ยิงเสร็จก็ปิดกระจกตา หลังจากนั้นหมอบอกให้หลับตาแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมา
มหัศจรรย์จริงๆ ค่ะ โอ๋มองเห็นชัดเหมือนตอนใส่แว่นแล้ว ทีนี้พอทำอีกข้าง
หน้าตาไม่สดใสเหมือนเคย เพราะข้างขวาสายตาสั้นสองข้าง มองไม่เห็นว่าหมอทำอะไร
แต่พอข้างขวาปกติดีแล้ว ก็เลยเห็นว่ามันมีมีดแหลมๆ ทิ่มที่ตาข้างซ้ายตลอดเวลา
แต่ไม่รู้สึกเจ็บเลยนะคะ อย่าตกใจ ทำทั้งสองข้างใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
พอทำเสร็จหมอก็ทำท่าลัลล้าอีกครั้งบอกได้ผลสมบูรณ์แบบ 100%
แต่ตอนนั้นเรายังมองเหมือนไม่ชัดเพราะหมอหยอดน้ำตาเทียมมาเยอะมาก
เหมือนกำลังมองอะไรผ่านน้ำ ก็แอบคิดในใจ ทำไมไม่ชัด หมอโกหกป่าวเนี่ย
โวยวายนิดนึง คุณหมอบอกให้ใจเย็น รออีกวันนะ
พรุ่งนี้มาหาหมออีกครั้งมันจะดีขึ้น ก็กลับบ้านไปแบบมีอะไรคาใจหน่อยๆ
กังวลว่ามันจะไม่ 100%

การดูแลตัวเองหลังทำเลสิค

-หมอบอกห้ามล้างหน้า ห้ามสระผมด้วยตนเอง ห้ามแต่งหน้า หลักๆ คือห้ามน้ำเข้าตา
ห้ามทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงว่าจะมี สารแปลกปลอมเข้าตานั่นเอง

-ทำวันแรกสายตาใช้ได้ปกติในทันทีเลยค่ะ
แต่ในช่วงอาทิตย์แรกพยายามอย่าใช้สายตาเยอะ อย่าเพ่งสายตามาก
แต่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

เขียนเสร็จเงยหน้ามานั่งดู ตกใจเขียนไปได้ยังงัยตั้งหลายหน้า จริงๆ
มันมีรายละเอียดเยอะกว่านี้อีกค่ะ
ถ้าใครสนใจทำหรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อหลังไมค์ได้เลย

ปล. ลืมไป ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ มาจากการศึกษาข้อมูลด้วยตนเอง
บวกกับความพึงพอใจ ความประทับใจหลังการทำส่วนตัวค่ะ
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง
หรือถ้าใครมีข้อมูลที่แน่นปึ้กมากกว่านี้ก็เสนอแนะได้นะคะ

หลายๆ คนจะต้องสงสัยแน่ๆ ว่าทำไมอยู่กรุงเทพฯ ต้องไปทำถึงพัทยา
ที่กรุงเทพไม่มีหมอดีๆ เลยหรอ มีค่ะ
ที่กรุงเพทมีศูนย์เลสิคที่มีชื่อเสียงหลายที่ หมอเก่งๆ หลายคน
แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัว ความพึงพอใจ ความสบายใจ ความมั่นใจ หลังจากศึกษาข้อมูล
ทั้งเรื่องคุณภาพเครื่อง ตรวจสอบประวัติคุณหมอ
และเปรียบเทียบราคาซึ่งตอนนั้นตัดสินใจระหว่าง TRSC กับ กรุงเทพ พัทยา

แต่ด้วยราคาที่แตกต่างกันมาก เพราะค่าสายตาของโอ๋ถ้าจะทำที่ TRSC จะอยู่ที่
ราคาเกือบ ๆ 80,000 ค่ะ เลยตัดสินใจไปทำที่ โรงพยาบาล กรุงเทพ พัทยา

ตอนนี้ชีวิตมีความสุขมากๆ ค่ะ ถ้าใครยังลังเลที่จะทำหรือไม่ทำ
ขอแนะนำว่าไม่ต้องกังวลค่ะ ทำแล้วชีวิตมีความสุขขึ้นมากๆ
ตื่นขึ้นมาก็เห็นหน้าสามีหล่อๆ ทันทีเลย แหะๆ

1 ความคิดเห็น:

Nuchy กล่าวว่า...

ได้ข้อมูลดีมากเลยค่ะ กำลังตัดสินใจอยู่ระหว่าง TRSC กับกรุงเทพพัทยาเหมือนกัน แล้วก็อยู่กรุงเทพค่ะ ของเรามีสายตายาวตามอายุด้วยซึ่งเห็นมีแต่ที่กรุงเทพพัทยาที่เดียวที่เขียนเรื่องนี้ไว้ชัดเจน