การสนทนา...เป็นสิ่งหนึ่งที่เราสามารถจะวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของผู้ที่เรากำลังสนทนาอยู่ด้วยได้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้ที่เรากำลังสนทนาอยู่ด้วยก็ตาม...
การวิเคราะห์ลักษณะนิสัยดังกล่าวนี้เป็นการศึกษา ค้นคว้าและเก็บตัวอย่างโดยนักจิตวิทยา เราจึงมั่นใจได้ว่าหลักการดังที่เราจะศึกษาต่อไปนี้น่าจะมีความถูกต้องแม่นยำอยู่พอสมควรทีเดียว
ชอบบ่นเรื่องเงินเดือนกับผู้อื่น
ถ้าในวงสนทนาที่คุณกำลังสนทนาอยู่นั้นมีผู้บ่นว่าได้เงินเดือนน้อย ไม่พอใช้จ่ายหรือไม่คุ้มค่าเหนื่อยนั้น แสดงว่าคนผู้นั้นเป็นคนที่ไม่มีความจริงใจในการทำงาน ไม่มีความคิดจะตั้งอกตั้งใจทำงานของตนให้ดี คนเช่นนี้นอกจากจะไม่จงรักภักดีในองค์กรหรือบริษัทที่ตนทำงานอยู่แล้ว ยังเป็นคนที่ไม่รู้จัก แสวงหาความก้าวหน้าให้กับชีวิตของตนเองอีกด้วย...
ชอบนินทาหัวหน้า
คนที่ชอบนำหัวหน้าของตัวเองไปเป็นหัวข้อในการสนทนา เช่นมักกล่าวหาว่าหัวหน้าของตัวเองไม่เก่งบ้าง มีความสามารถไม่พอบ้าง หรือตำหนิในเรื่องต่างๆ ที่หัวหน้าของตนเองทำผิดพลาด คนเช่นนี้มักเป็นคนที่ไม่ค่อยจะให้ความนับถือใครอย่างจริงจัง มักชอบดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น และถือตนว่าตัวเองเก่งมีความสามารถ ทั้งๆ ที่อาจจะไม่มีเลยก็ได้ และคนลักษณะดังกล่าวนี้มักจะเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูง แต่ขาดความกล้าหาญที่จะแสดงความคิดเห็นของตนอย่างที่ควร...
ชอบรำลึกอดีต
ผู้ที่ชอบพูดรำลึกถึงอดีตที่ตนเคยได้รับความสำเร็จอย่างงดงามมาก่อนนั้นบุคคลผู้นั้นมักจะเป็นผู้ที่ยังคงคิดว่าตนเองยังคงล้มเหลวอยู่เสมอ และยังคงอยากสร้างความรุ่งโรจน์ให้ชีวิตตนเองอีกสักครั้ง ทั้งๆที่จริงแล้วชีวิตในขณะนั้นอาจจะดีกว่าที่ผ่านมาด้วยซ้ำ แต่เขายังคงคิดถึงและโหยหาวันเวลาในช่วงอดีตอย่างมากกว่าเท่านั้นเอง...
ชอบวางแผน
สำหรับผู้ที่ชอบพูดถึงการวางแผนในโครงการต่างๆ อยู่เสมอ แต่มิได้ลงมือทำสักที คนลักษณะดังกล่าวนี้เป็นบุคคลที่ยังรู้สึกไม่พอใจในชีวิตของตนเอง ในขณะนั้น แม้จะมีความทะเยอทะยาน อยากจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ขาดความมั่นใจในการปฏิบัติ จึงมักพยายามพูดถึงแผนการต่างๆอยู่เสมอ
ชอบไถ่ถาม
ผู้ที่ชอบไถ่ถามหรือไต่สวนเรื่องราวผู้อื่นมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายยอมตอบคำถามคนอื่น เช่น มักถามว่าคุณทำงานที่ไหน มีพี่น้องกี่คน มีความคิดเห็น อย่างไรบ้างในเรื่องนั้นเรื่องนี้ แสดงถึงเขาผู้นั้นมักเป็นคนที่ชอบแสวงหาอำนาจ อยากรู้ข้อดีข้อเสียของผู้อื่น เพื่อที่จะได้ตีสนิทหรือสามารถ ครอบงำอีกฝ่ายได้โดยง่าย...
ชอบคุยแต่เรื่องตัวเอง
ผู้ที่ชอบดึงหัวข้อในการสนทนาให้วกมาที่เรื่องของตัวเองเสมอๆ โดยไม่มีผู้ใดเอ่ยขึ้นก่อน คนลักษณะเช่นนี้นั้นบ่งบอกถึงเป็นบุคคลที่พยายามจะยกตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง คนประเภทนี้มักมีความเก็บกด จึงอยากจะเป็นที่ชื่นชมและสนใจของผู้อื่นบ้าง ซึ่งแท้จริงแล้วเขาอาจจะไม่มีความภูมิใจในเรื่องราวที่เขาพูดคุยออกมาเลยก็ได้ แต่เขาพยายามคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาดูดีขึ้นมาได้บ้าง
ชอบลูบเส้นผมตัวเอง
ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ตาม ถ้าหากคุณเห็นใครคนหนึ่งเวลาพูดคุยหรือในยามเผลอตัว มักชอบเอามือมาลูบเส้นผมของตนเล่นเสมอๆ คุณจะสามารถเดาได้ทันทีว่า คนผู้นั้นเป็นบุคคลประเภทช่างอ่อนไหว คิดมาก สะเทือนใจง่าย และมักมีเรื่องราวให้ต้องครุ่นคิดในใจอยู่อย่างมากมายเสมอ จิตใจของบุคคลดังกล่าวนี้มีความอ่อนโยน เป็นมิตรและโรแมนติก แต่ติดเจ้าอารมณ์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก
ชอบสัมผัสใบหน้า
ในขณะที่คุณกำลังพูดคุยอยู่กับใครก็ตามแล้วคนผู้นั้นมักชอบเอามือไปสัมผัสกับใบหน้าของตัวเองอยู่เสมอๆ ไม่ว่าบริเวณใดก็ตาม แสดงว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ที่ไม่ค่อยจะมีความมั่นใจในตัวเองนัก และอีกอย่างก็คือบุคคลดังกล่าวกำลังมีความหวาดหวั่นในความผิดพลาด หรือข้อด้อยบางอย่างของตัวเองที่ปิดบังซ่อนเร้นไว้ จะถูกเผยออกมา
ชอบเลียริมฝีปาก
ผู้ที่กำลังพูดคุยอยู่กับเพศตรงข้าม และมักจะเผลอแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเพราะริมฝีปากแห้ง หรือ เพราะเหตุผลใดๆ ก็ตาม ลักษณะดังกล่าวนี้บ่งบอกถึงว่า คนผู้นั้นกำลังมีความสนอกสนใจเพศตรงข้ามผู้ที่ตนเองกำลังสนทนาอยู่ด้วยในขณะ นั้นนั่นเอง
ชอบสัมผัสที่ติ่งหู
ผู้ที่ชอบยกมือไปสัมผัสติ่งหูของตนเอง หรือดึงติ่งหูเล่นในขณะสนทนา แสดงถึงว่าเขาผู้นั้นกำลังรู้สึกเบื่อและปรารถนาจะให้การสนทนานั้นยุติลงโดยเร็ว เพราะไม่สามารถที่จะทนฟังต่อไปได้อีกแล้ว
ชอบเกาศีรษะ
ขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดคุย แต่ถ้าผู้ใดก็ตามที่เผลอยกมือไปเกาศีรษะเบาๆ
ก็ย่อมแสดงได้ว่าเขาผู้นั้นเริ่มรู้สึกว่าการสนทนานี้ไม่น่าสนใจนัก
และอยากให้ผู้อื่นพูดคุยถึงเรื่องราวของเขาบ้าง คนที่มักเผลอเกาศีรษะในขณะพูดคุยกัน
มักเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง ชอบที่จะเป็นจุดสนใจอยู่เสมอ
ชอบนั่งไขว่ห้าง
ผู้ที่มักชอบนั่งไขว่ห้างในขณะสนทนาคือผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง เป็นคนที่ชอบคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเองและปรารถนาที่จะให้ตนเองเป็นที่ได้รับความสนใจจากเพศตรงข้าม คนที่มักชอบนั่งไขว่ห้างอยู่เสมอๆ มักมีความดื้อรั้น เชื่อถือในความคิดเห็นของตนเองมาก แต่ก็แคร์ในความรู้สึกของผู้อื่นเช่นเดียวกัน
คนพูดเร็ว
ถ้าคู่สนทนาของคุณเป็นคนที่มีจังหวะในการพูดยามปรกติค่อนข้างเร็วนั้น ย่อมแสดงถึง เขาผู้นั้นเป็นบุคคลที่ช่างพูดช่างเจรจา สามารถโต้เถียงได้เก่งกาจ มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เอาแต่ใจตัวเอง บางครั้งก้าวร้าวไม่ยอมใคร
คนพูดช้า
คนที่มีจังหวะในการพูดค่อนข้างช้า เป็นคนที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมั่นอกมั่นใจในตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนยึดมั่นแต่ในความคิดของตนเองเป็นใหญ่อยู่เสมอ ดื้อเงียบ มักคิดเรียบเรียงคำพูดไว้ในใจก่อนจะพูดเสมอ
30 มี.ค. 2553
เทคนิคขายรถต่อให้ได้เงินตามที่ต้องการ
หาก เราจะขายรถทั้งที่ก็ต้องรู้วิธีทำให้รถดูดีมีราคากันหน่อย แต่การทำให้รถดูดีแบบมีคุณภาพ ไม่ใช่ย้อมแมวขาย คนซื้อก็ยินดีจ่าย คนขายก็ได้เงินดี
เพื่อน ของนานาเคยมาปรึกษาเรื่องขายรถ และ ถามนานาว่า "จะต้องทำยังไงบ้างจึงจะดี" คุณผู้อ่านอาจสงสัยว่า เอ๊ะ! จะขายรถทั้งที ต้องทำอะไรมากด้วยรึ แค่ลงประกาศขาย ก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นจะต้องยุ่งยาก การขายรถนั้น เราก็อยากขายได้ราคาที่สูง ยิ่งสูงก็ยิ่งดี จริงไหมคะ แต่สิ่งที่นานาจะบอกต่อไปนี้ ก็เพียงเพื่อให้เราปิดการขายได้ง่ายขึ้น และได้ราคาที่ดีขึ้นค่ะ
1. ตรวจสอบเอกสารหลักฐานเจ้าของรถ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน เขียนกำกับแบบขวางตัวเด่น ๆ ไปเลยค่ะว่า "ใช้ในกรณีขายรถเท่านั้น" เมื่อกรอกหนังสือสัญญาซื้อขาย หนังสือมอบอำนาจ แบบคำร้องขอโอน รับโอนเอกสารต่าง ๆ ครบแล้ว ก็ไปที่สำนักงานขนส่ง
2. นำรถของท่านไปล้างและดูดฝุ่นภายในให้เอี่ยมอ่อง ห้องสัมภาระด้านหลัง นำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออก เหลือไว้แต่ยางอะไหล่ แผ่นรองพื้น แม่แรง และ เครื่องมือ ถ้าไม่มีก็ควรหามาใส่ในรถซะให้ครบ ไม่อย่างนั้นคุณอาจถูกหักตังค์ออกก็ได้
3. ภายในด้านผนังเพดานบน ถ้ามีคราบติดอยู่ก็เอาฟองน้ำชุบน้ำยาล้างจานข้น ๆ หน่อยแล้วเช็ดให้เรียบร้อย จะดูดีขึ้นเป็นกองเลย เบาะขาดก็ซ่อมซะ อะไรซ่อมเองได้ก็ทำนะคะ อย่าปล่อยไปตามยถากรรม ถ้าอยากได้เงินเต็ม ๆ
4. มาดูที่ห้องเครื่อง ตรงนี้สำคัญทีเดียว รถบางคัน ภายในและภายนอกดูงดงาม พอเปิดกระโปรงรถดูเท่านั้นแหละ แทบหงาย คราบน้ำมัน ฝุ่นหนาเขรอะ ถ้าขี้เกียจล้างหรือเกรงว่า จะไปกระทบระบบไฟฟ้าก็ไปเข้าคาร์แคร์ ใช้ไม่กี่สตางค์ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำและหม้อพักน้ำ ระดับน้ำมันเบรก คลัตช์ น้ำมันเพาเวอร์ ถ้าขาดก็เติมให้เรียบร้อยซะก่อนที่จะขาย อย่าให้พร่องเลยนะคะ
5. ตรวจดูทะเบียนและ พ.ร.บ. ขาดหรือเปล่า ถ้าขาด ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย ใครจะเป็นคนต่อ ก็ตกลงกันเอง
6. แอร์รถเย็นฉ่ำไหม น้ำยาแอร์หมดหรือเปล่า วิทยุเล่นเทป ซีดี อยู่ในสภาพดีไหม ปรับคลื่นชัดดีหรือเปล่า ดูด้วยนะคะ
รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้อย่ามองข้ามนะคะ เพราะผู้ซื้อรถ นำเงินมาซื้อรถของคุณ เขาต้องการความประทับใจ นอกเหนือจากราคา และคุณภาพของรถ ผู้ซื้อบางคนก็ละเอียดมาก ถึงขนาดเปิดประตูรถดูถ้ามีกลิ่นอับก็ส่ายหัวเลย เคยเจอมาแล้วค่ะ ข้อแนะนำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ หวังเพียงเพื่อให้บรรยากาศการซื้อ - ขายรถเป็นไปด้วยความราบรื่น ให้มีเสียงติน้อยที่สุด ผู้ขายได้เงินสมราคากับคุณภาพรถ ผู้ซื้อได้รถที่รู้ประวัติการใช้งานที่เจ้าของเก่ารักษาและทะนุถนอม ก็เป็นที่แฮปปี้ทั้งสองฝ่ายค่ะ
น้ำมันเครื่องอย่างไหนคุณภาพดี
ถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทีไร คนส่วนใหญ่มักต้องส่งให้เป็นเรื่องของช่างหรือศูนย์บริการ จึงอยากให้ผู้ใช้รถได้พิจารณาการเลือกใช้น้ำมันเครื่องอย่างเหมาะสมกับสภาพ เครื่องยนต์ การใช้งาน และ คุ้มค่ามากที่สุด
น้ำมันเครื่องสำเร็จรูปสามารถแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ตามชนิดของน้ำมันพื้นฐานที่นำมาผลิตคือ
1. น้ำมันเครื่องทั่วไป หรือน้ำมันเครื่องธรรมดา ผลิตมาจากน้ำมันแร่ ราคาไม่แพง และใช้กันอย่างแพร่หลาย
2. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthenic) ผลิตจากน้ำมันสังเคราะห์เพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันแร่ทั่วไป มีอัตราการระเหยต่ำ ทำให้ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันหล่อลื่น ใช้งานได้ยาวนาน และราคาแพงที่สุดใน 3 ประเภทนี้
3. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Seml-Synthenic) ได้มาจากน้ำมันแร่ผสมกับน้ำมันสังเคราะห์ เพื่อให้มีคุณสมบัติดีกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป และถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เวลาเลือกใช้น้ำมันเครื่อง ควรเลือกใช้ให้ถูกประเภทของเครื่องยนต์ดีเซล หรือเบนซิน เลือกความข้นใสหรือความหนีดให้เหมาะสมด้วย เครื่องยนต์จะได้มีอายุการใช้งานยาวนาน และประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
เพื่อน ของนานาเคยมาปรึกษาเรื่องขายรถ และ ถามนานาว่า "จะต้องทำยังไงบ้างจึงจะดี" คุณผู้อ่านอาจสงสัยว่า เอ๊ะ! จะขายรถทั้งที ต้องทำอะไรมากด้วยรึ แค่ลงประกาศขาย ก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นจะต้องยุ่งยาก การขายรถนั้น เราก็อยากขายได้ราคาที่สูง ยิ่งสูงก็ยิ่งดี จริงไหมคะ แต่สิ่งที่นานาจะบอกต่อไปนี้ ก็เพียงเพื่อให้เราปิดการขายได้ง่ายขึ้น และได้ราคาที่ดีขึ้นค่ะ
1. ตรวจสอบเอกสารหลักฐานเจ้าของรถ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน เขียนกำกับแบบขวางตัวเด่น ๆ ไปเลยค่ะว่า "ใช้ในกรณีขายรถเท่านั้น" เมื่อกรอกหนังสือสัญญาซื้อขาย หนังสือมอบอำนาจ แบบคำร้องขอโอน รับโอนเอกสารต่าง ๆ ครบแล้ว ก็ไปที่สำนักงานขนส่ง
2. นำรถของท่านไปล้างและดูดฝุ่นภายในให้เอี่ยมอ่อง ห้องสัมภาระด้านหลัง นำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออก เหลือไว้แต่ยางอะไหล่ แผ่นรองพื้น แม่แรง และ เครื่องมือ ถ้าไม่มีก็ควรหามาใส่ในรถซะให้ครบ ไม่อย่างนั้นคุณอาจถูกหักตังค์ออกก็ได้
3. ภายในด้านผนังเพดานบน ถ้ามีคราบติดอยู่ก็เอาฟองน้ำชุบน้ำยาล้างจานข้น ๆ หน่อยแล้วเช็ดให้เรียบร้อย จะดูดีขึ้นเป็นกองเลย เบาะขาดก็ซ่อมซะ อะไรซ่อมเองได้ก็ทำนะคะ อย่าปล่อยไปตามยถากรรม ถ้าอยากได้เงินเต็ม ๆ
4. มาดูที่ห้องเครื่อง ตรงนี้สำคัญทีเดียว รถบางคัน ภายในและภายนอกดูงดงาม พอเปิดกระโปรงรถดูเท่านั้นแหละ แทบหงาย คราบน้ำมัน ฝุ่นหนาเขรอะ ถ้าขี้เกียจล้างหรือเกรงว่า จะไปกระทบระบบไฟฟ้าก็ไปเข้าคาร์แคร์ ใช้ไม่กี่สตางค์ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำและหม้อพักน้ำ ระดับน้ำมันเบรก คลัตช์ น้ำมันเพาเวอร์ ถ้าขาดก็เติมให้เรียบร้อยซะก่อนที่จะขาย อย่าให้พร่องเลยนะคะ
5. ตรวจดูทะเบียนและ พ.ร.บ. ขาดหรือเปล่า ถ้าขาด ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย ใครจะเป็นคนต่อ ก็ตกลงกันเอง
6. แอร์รถเย็นฉ่ำไหม น้ำยาแอร์หมดหรือเปล่า วิทยุเล่นเทป ซีดี อยู่ในสภาพดีไหม ปรับคลื่นชัดดีหรือเปล่า ดูด้วยนะคะ
รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้อย่ามองข้ามนะคะ เพราะผู้ซื้อรถ นำเงินมาซื้อรถของคุณ เขาต้องการความประทับใจ นอกเหนือจากราคา และคุณภาพของรถ ผู้ซื้อบางคนก็ละเอียดมาก ถึงขนาดเปิดประตูรถดูถ้ามีกลิ่นอับก็ส่ายหัวเลย เคยเจอมาแล้วค่ะ ข้อแนะนำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ หวังเพียงเพื่อให้บรรยากาศการซื้อ - ขายรถเป็นไปด้วยความราบรื่น ให้มีเสียงติน้อยที่สุด ผู้ขายได้เงินสมราคากับคุณภาพรถ ผู้ซื้อได้รถที่รู้ประวัติการใช้งานที่เจ้าของเก่ารักษาและทะนุถนอม ก็เป็นที่แฮปปี้ทั้งสองฝ่ายค่ะ
น้ำมันเครื่องอย่างไหนคุณภาพดี
ถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทีไร คนส่วนใหญ่มักต้องส่งให้เป็นเรื่องของช่างหรือศูนย์บริการ จึงอยากให้ผู้ใช้รถได้พิจารณาการเลือกใช้น้ำมันเครื่องอย่างเหมาะสมกับสภาพ เครื่องยนต์ การใช้งาน และ คุ้มค่ามากที่สุด
น้ำมันเครื่องสำเร็จรูปสามารถแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ตามชนิดของน้ำมันพื้นฐานที่นำมาผลิตคือ
1. น้ำมันเครื่องทั่วไป หรือน้ำมันเครื่องธรรมดา ผลิตมาจากน้ำมันแร่ ราคาไม่แพง และใช้กันอย่างแพร่หลาย
2. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthenic) ผลิตจากน้ำมันสังเคราะห์เพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันแร่ทั่วไป มีอัตราการระเหยต่ำ ทำให้ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันหล่อลื่น ใช้งานได้ยาวนาน และราคาแพงที่สุดใน 3 ประเภทนี้
3. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Seml-Synthenic) ได้มาจากน้ำมันแร่ผสมกับน้ำมันสังเคราะห์ เพื่อให้มีคุณสมบัติดีกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป และถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เวลาเลือกใช้น้ำมันเครื่อง ควรเลือกใช้ให้ถูกประเภทของเครื่องยนต์ดีเซล หรือเบนซิน เลือกความข้นใสหรือความหนีดให้เหมาะสมด้วย เครื่องยนต์จะได้มีอายุการใช้งานยาวนาน และประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
แว่นตา ใส่ๆถอดๆ หรือ ใส่ตลอด ดีกว่า
คนส่วนมากมักเชื่อกันว่า "ถ้าสายตาสั้นหรือยาวแล้วไม่ใส่แว่นจะทำให้สายตาเสียน้อยลง ซึ่งไม่เป็นความจริง"
สายตาจะสั้นหรือยาวมากขึ้นนั้นขึ้นกับชนิดของสายตาสั้นหรือยาว ถ้าสายตาสั้นเนื่องจากกรรมพันธุ์ คือ พ่อ แม่ พี่น้องส่วนใหญ่สายตาสั้น สายตาก็จะสั้นเร็วขึ้นและมากไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะสวมแว่นตาประจำหรือใ่ส่ ๆ ถอด ๆ ไม่สามารถป้องกันสายตาสั้นต่อไปได้
แต่ถ้าไม่ใช่สาเหตุจากกรรมพันธุ์ สายตาสั้นนั้นจะคงที่หรือเพิ่มขึ้นช้ามาก จะสวมแว่นประจำหรือใส่ ๆ ถอด ๆ ก็ไม่ทำให้สายตาเลวลงหรือดีขึ้นแต่อย่างใด
21 มี.ค. 2553
ซักผ้าให้นื้อนุ่มละเอียดด้วยน้ำส้มสายชู
ซักผ้าให้นื้อนุ่มละเอียดด้วยน้ำส้มสายชู
วิธีการที่จะเสนอแนะนี้จะสามารถช่วยทำให้เนื้อผ้าที่ซักอย่างเช่นผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดตัว นั้นนุ่มพองเนื้อละเอียดขึ้นน่าใช้อย่างน่ามหัศจรรย์ทีเดียว โดยไม่ต้องอาศัยไปใช้น้ำยาที่สามารถทำให้ เนื้อผ้านุ่มที่มีวางขายทั่วไป วิธีของเราใช้ของที่มีอยู่ประจำบ้านของเราอยู่แล้วประหยัดเงินและผล ที่ออกมาก็แทนกันได้หรืออาจจะดีกว่าก็เป็นได้นั่นเองค่ะ
สิ่งที่สามารถจะบรรดาลให้เนื้อผ้านุ่มละเอียดอ่อนได้นั้นก็คือน้ำส้มสายชูค่ะ
( ในรูปที่ 2 )....เราจะใช้โดยประมาณ... น้ำ 45 ลิตร ต่อน้ำส้มสายชู 50 cc
(สำหรับเครื่องซักผ้าแบบอัตโนมัติ )นั้นให้ใส่ส่วนผสมทั้งหมดของน้ำส้มสายชู ลงไปตั้งแต่ตอนแรกพร้อมกับผงซักฝอกแต่แรกก่อนเดินเครื่องเลยค่ะ
(สำหรับเครื่องซักผ้าแบบธรรมดา )นั้นให้ใส่ส่วนผสมของน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำ ที่ 2 หรือน้ำสุดท้ายคือก่อนที่เราจะนำไปใส่ในที่บิดผ้าสลัดน้ำให้แห้งนั้นค่ะ
ก็ให้เป็นน่าสงสัยนะคะว่าผ้าที่ซักด้วยวิธีใส่น้ำส้มสายชูนี้จะไม่มีกลิ่นของน้ำส้มสายชูหลงติด อยู่หรือ ?...เราได้ทำการทดสอบโดยใช้แม่บ้านถึง 10คนมาทำการซักและพิสูตรดมกลิ่นว่ามีติด อยู่หรือปล่าวนั้นแล้วค่ะ ผลปรากฏว่า ไม่มีกลิ่นของน้ำส้มสายชูติดอยู่ให้เป็นที่น่ารังเกียดเลยสักนิด เดียว....
แล้วสำหรับความนุ่มของผ้านั้นก็นุ่มนวลอย่างกับได้ใช้และใส่น้ำยาซักผ้านุ่มลงไปด้วยเหมือนกัน เลยค่ะ (ในรูปตัวอย่างที่เห็นในรูปที่ 3 ) เป็นข้อแตกต่างและแสดงให้เห็นว่าผ้าที่ซักธรรมดากับผ้าที่ซัก โดยใส่น้ำส้มสายชูลงไปนั้น ( ด้านขวามือ ) ดูสิค่ะของเราพองนุ่มน่าใช้แตกต่างกว่ามากเลยจริง ๆ
วิธีนี้ไม่แต่ว่าจะซักแต่ผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดตัวอย่างเดียวนะคะ ยังสามารถนำมาใช้หรือซักเสื้อ ผ้าที่เป็นเสื้อถักแบบนิตติ้งก็ได้ด้วยค่ะ
ทำไมถึงแค่ใส่น้ำส้มสายชูลงไปแล้ว เนื้อผ้าถึงได้นุ่ม และพองฟู ขึ้นมาได้ ..
ท่านผู้สัดทัดกรณีได้กล่าวว่า...แต่เดิมทีนั้นผ้าที่ผ่านการซัก เนื้อผ้าหรือใยผ้าจะถูกสารจำพวกที่เป็นด่าง ที่ผสมรวมอยู่ในผงซักฝอก เข้าไปรัดให้เนื้อผ้าหรือใยผ้านั้นแข็งตัว บวกกับความแรงของน้ำที่จำเป็นจะต้องใช้ปั่น และซักให้สะอาดนั้นหลายครั้งหลายหน ใยผ้าจะรวมตัวกันแน่นจนไม่มีช่องและสามารถให้อากาศเข้าไปแทรกตรง กลางได้ ใยของผ้าที่ซักด้วยผงซักฟอกอย่างเดียวนั้นจึงนอนราบและแข็งกระด้างนั่นเอง ( ตัวอย่างในรูปที่ 1-2 )
แต่ตรงนี้...เมื่อเราได้ใส่น้ำส้มสายชูลงไป น้ำส้มสายชูซึ่งมีความสามารถมีค่าเป็นกรดนั้นจะเข้าไปช่วย ละลายสารจำพวกที่เป็นด่างที่ผสมอยู่ในผงซักฝอก และเมื่อสารจำพวกด่างโดนทำลายลงไปแล้ว พวก อากาศที่อยู่รอบๆจึงสามารถที่จะเข้าไปแทรกอยู่ตามช่องต่าง ๆในเนื้อใยของผ้าได้อย่างสะดวกและอิสระ นั่นเอง ผ้าที่ซักออกมาจึงพองฟูและเนื้อนิ่มขึ้นค่ะ ( ตัวอย่างในรูปที่ 3-4 )
คือเมื่อได้ใส่น้ำส้มสายชูลงไปในเครื่องซักผ้าแล้วนั้นแม้ผ้าที่ซักจะเสร็จหมดแล้ว ตัวสารที่มีค่าเป็นกรดที่อยู่ในน้ำส้มสายชูก็ยังจะคงหลงเหลืออยู่ภายในตัวเครื่องซักผ้า และตัว กรดที่หลงเหลืออยู่นี้ จะเข้าไปช่วยล้างพวกคราบสกปรกจำพวกเชื้อราต่าง ๆที่เกาะติดอยู่ ข้างในตัวเครื่องซึ่งมองไม่เห็นและได้ปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานปีเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าจำเป็นที่จะ ต้องล้างข้างในเครื่องด้วยในทุก ๆ 2-3 เดือนนั้นให้กับเราเป็นรางวัลอีกด้วยค่ะ
และตรงนี้ก็ยังมีคำถามเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างนะคะ คือว่าเมื่อน้ำส้มสายชูมีสารที่ มีค่าเป็นกรดแล้วผ้าที่ซักจะไม่ตกหรือสีจางลงหรือ?อะไรทำนองนี้...ผู้สันทัดกรณีท่านก็ได้บอกว่า ในน้ำ 45 ลิตร ( 45000 cc ) ผสมกับน้ำส้มสายชูแค่ 50 cc บวกลบคูณหารแล้วจะเทียบได้เท่ากับ ผสมน้ำถึง 900 เท่าทีเดียว จึงมีส่วนที่เป็นกรดเจือจางมากจะไม่สามารถทำให้ผ้าสีตกหรือสี จางลงแต่อย่างใด สบายใจได้ค่ะ
ข้อควรระวัง.. ก็มีอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า เมื่อใส่น้ำส้มสายชูลงไปในเครื่องซักผ้า และซักเสร็จแล้ว ก่อนจะดับเครื่องขอให้ลาดน้ำปล่าวลงไปสักหนึ่งขันเพื่อล้างเครื่องนิดหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะว่าตัวเครื่องซักผ้าส่วนมากจะทำมาจากเหล็กหรืออาลูมีเนียมเป็นส่วนมาก ในน้ำส้มสายชูมีค่าเป็นกรด ดังนั้นถ้าปล่อยทิ้งค้างไว้นาน ๆ บางทีอาจจะทำให้ขึ้นสนิมขึ้นมาก็ อาจเป็นได้ในบางครั้งหรือบางกรณีค่ะ ทั้งหมดเพื่อความสบายใจนะคะ กรุณาลาดน้ำลงไปล้าง ปิดฉากสักหนึ่งขันเป็นใช้ได้ค่ะ...
Y.K.K.ซิปติดกินหรือกลืนเนื้อผ้า...จนรูดไม่ขึ้น
Y.K.K.ซิปติดกลืนเนื้อผ้า...จนรูดไม่ขึ้น ทีนี้มาถึงเรื่องซิปที่มีปัญหา..เพราะรูดเท่าไหร่ก็ติดแน่น เป็นรูดไม่ขึ้น..ว่าอย่างนั้น ที่ซิปติดจนรูดไม่ขึ้นนั้นเป็นด้วยเหตุที่เพราะว่าซิปได้กลืนหรือกินเนื้อผ้า เข้าไปนั่นเองเป็นส่วนมาก...
ให้สังเกตุดูว่าที่ผ้าเข้าไปติดนั้นเป็นด้านบนของซิปหรือว่าด้านล่าง ของซิปเท่านั้นเอง แล้วให้ใช้ไขควงที่ไขน๊อต( ต้องเป็นตัวลบ)นั่นแหละแงะเบา ๆทางด้านที่ผ้า เข้าไปติดนั้น แล้วค่อย ๆดึงเอาผ้าที่ติดออกค่ะ
(ข้อระวังก็มีอยู่ว่า..กรุณาอย่างัดหรือแงะอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็แล้วกันเพราะหัวซิปจะหลุดออกมาเสียด้วยเท่านั้นเองแหละ.. )
ตัดเทปกาวแบบใสให้ขาดจากกันด้วยมือเปล่า
อันนี้ด๊อกเตอร์เธอมาสอนให้ด้วยตัวเองเลยหละในรายการโทรทัศน์... เป็นมีประโยชน์มาก ๆ เลย...เพราะด้วยเวลาที่จะใช้เทปกาวจำพวกนี้ขึ้นมาทีไร ก็ให้เป็นจะต้องวิ่งวุ่นไปหากรรไกรมาตัดให้วุ่นไปทุกครั้งเลยว่าไหม..ด้วยเทป จำพวกนี้นั้นจริง ๆ แล้วจะต้องมีเหล็กที่ตัดเทปติดเกาะอยู่ประจำตัว ของมันอยู่ก็จริง (แต่อยู่ ๆ มันก็เกิดหายไปอย่างไม่รู้ตัวทุกทีไป.. นั่นแหละ..จะโทษใครก็ไม่ได้ใช่ไหมเอ่ย..ตัวเองนั่นแหละที่เก็บไม่ดีเน้อ) แล้วเทปพวกนี้ก็มีความเหนียวเป็นเลิศเสียด้วยนะ...เพราะไม่ว่าเราจะดึงจะบิด จะม้วนหรือจะกัดยังไงมันก็จะไม่ยอมขาดให้กับเราง่าย ๆ อีกเสียด้วยสิ...
ในเวลานั้นลองใช้วิธีนี้ดูสิคะ...เพราะมันจะสามารถที่จะทำให้เรา ตัดเทปพวกนั้นให้ขาดออกจากกันได้อย่างง่าย ๆ แล้วยังแถมด้วยมือปล่าว อีกเสียด้วยสิ....แจ๋วแหววมากเลย
แล้วถ้าจะถามว่าทำไม? การที่ได้จับเทปนั้นพับตลบลงมา ให้เป็นรูปสามเหลี่ยมแล้ว ถึงทำไห้ตัดเทปนั้นให้ขาดออกจากกันได้อย่างง่าย ๆล่ะ...ตรงนี้ก็เป็นด้วยว่าการที่เราได้จับเทปตลบเป็นสองทบ นั่นเอง..จึงทำให้แผ่นเทปตรงส่วนนั้นมีความหนาแน่น และหนักขึ้น เป็นสองเท่า..และตรงนี้ก็คือจุดคัญของเคล็ดลับในสูตรนี้นั่นเองแหละ
เครื่องดื่มน้ำผลไม้มหัศจรรย์
เครื่องดื่มน้ำผลไม้มหัศจรรย์
ใกล้จะถึงวันX'masและวันปีใหม่แล้วนะคะ 1....ก็จะมีงานปาร์ตี้อะไรต่าง ๆถูกจัดขึ้นในบ้านของเรา ในเวลานั้นคุณแม่ทุกท่านก็คง จะต้องแสดงฝีมืออวดให้ลูก ๆและเพื่อน ๆของลูกเห็นกันสักหน่อยนะคะ
สิ่งที่เราจะนำมาแนะนำครั้งนี้บางทีอาจจะช่วยทำให้งานนั้นครึกครื้นขึ้นมาก็เป็นได้ค่ะ สิ่งที่ว่านั้นคือ "special drink " รับรองว่าคุณลูก ๆจะต้องถูกใจในความมหัศจรรย์ของมัน อย่างแน่นอน
"special drink " ของเรานี้เป็นน้ำผลไม้...แต่ไม่ใช่แค่น้ำผลไม้ที่นำออกมาเสริฟธรรมดา ๆ อย่างเดียวเพราะว่าเมื่อใส่น้ำแข็งก้อนเล็ก ๆลงไปแค่ 1ก้อนเท่านั้น น้ำผลไม้นั้นก็จะเกิดอาการเปลี่ยน แปลงเกิดขึ้น คือจะบรรดาลให้มีเสก็ดของหิมะหรือน้ำแข็งลอยพวยพรุ่งออกมามากมายเหมือนใส่เวทมนต์ และคาถาลงไปเลยทีเดียวน่าสนุกนะคะ
2....ค่ะ...แล้วเราก็มาว่ากันถึงการทำ"special drink " น้ำผลไม้มหัศจรรย์อันนี้กันเลย
ของที่จำเป็นต้องเตรียมก็มี
กาละมังใบใหญ่ขนาดปานกลาง, น้ำแข็ง, น้ำ, เกลือ 200 กรัมและน้ำผลไม้แบบขวดค่ะ
(1)...แรกเลยให้นำกาละมังมาใส่น้ำแล้วใส่น้ำแข็งกับเกลือที่เตรียมไว้ 200กรัมนั้นใส่ ลงไปเตรียมไว้แต่แรกก่อนเลย แล้วใช้ไม้ตะเกียบหรือช้อนก็ได้คนให้เข้ากันนิดหนึ่ง
หมายเหตุน้ำแข็งขอให้เป็นน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆนะคะ
(2)...ขั้นต่อมานั้นเราก็จะนำน้ำผลไม้แบบขวดนั้นมาแช่ลงไปค่ะ...แต่ก่อนที่จะแช่ลงไปนั้น จำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องเปิดฝาขวดแล้วเทน้ำผลไม้ที่อยู่ในขวดนั้นออกมาสัก 3 ซ.ม.ก่อน (อันนี้เพราะว่าเป็นส่วนเกินหรือมากเกินไปกับการที่จะทำให้น้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงค่ะ "ดูในรูปที่ 3")
เมื่อเทน้ำส่วนเกินออกแล้วก็ปิดฝาขวดไว้อย่างเดิมแล้วนำลงแช่ลงไปในกาละมังที่เตรียมไว้ แต่ตอนแรกเลยค่ะ พยายามแช่หรือใส่ลงไปให้ขวดจมลงไปให้มิดทั้งขวด
หมายเหตุ(ในรูปที่ 4)ตรงนี้ก็มีข้อที่จะต้องระวังและจะต้องทำตามอย่างเคร่งคัดก็คือ การจับเวลาค่ะ..คือห้ามน้อยและห้ามมากว่าเวลาที่เรากำหนดไว้คือ 30นาที...เพราะถ้าแช่ไว้ นานเป็นชั่วโมงหรือน้อยกว่า 30 นาที บางทีก็จะไม่ได้ผลเท่าที่ควรก็ได้คะ...
(3)...เมื่อแช่ครบตรงตารมเวลา30นาทีแล้ว..ก็ยกออกมาเทใส่แก้วได้เลยแล้วให้ใส่ก้อนน้ำแข็ง ก้อนเล็ก ๆ (ก้อนเดียวค่ะ)ลงไป(ในตัวอย่างรูปที่6 )
น้ำแข็งก้อนเล็ก ๆที่ใส่ลงไปจะทำปฏิกริยากับน้ำผลไม้ที่เราเทลงไปในแก้วนั้น ให้เห็นเป็นเหมือนสะเก็ดหิมะมากมายลอยพรวยพรุ่งขึ้นมา...สวยงามมากค่ะ
ขั้นตอนแม่บทตัวสำคัญขั้นที่ 2 ทำไมน้ำผลไม้ที่โดนแช่วิธีนี้แล้วนั้นจึงเกิดปฏิกริยากับน้ำแข็งแค่ก้อนเล็กๆ แค่ก้อนเดียวแล้วทำให้เกิด สะเก็ดเป็นเหมือนหิมะขึ้นเช่นนั้น
ดอกไม้ปักแจกันให้อยู่ได้นาน ๆ
ปักแจกันดอกไม้ไห้อยู่ได้เป็นเวลานาน พวกดอกไม้ที่นำมาปักแจกันนั้นทำให้เกิดความสวยงามและทำให้รู้สึกสดชื่นคลายเครียดได้เหมือน กันนะคะแต่การเลือกดอกไม้เพื่อจะนำมาปักแจกันนั้นอย่างเช่นดอกไม้ที่มีก้านเดียวอย่าง ดอกทิวลิป และดอกคาเนชั่น ฯลฯ ที่คนญี่ปุ่นส่วนมากจะชอบนำมาปักแจกัน กันนั้นดอกไม้พวกนี้จะมีชีวิตการใช้ งานน้อยมาก เพราะเผลอแค่เพียง 2-3 วันแค่นั้นก็จะเหี่ยวเฉาหมดโดยเฉพาะตรงดอกจะหักเฉาเร็วมาก (อย่างในรูปที่ 2 )มองไปแล้วแทนที่จะสดชื่นกลับเป็นจะเฉาตามดอกไม้ไปด้วยเลยว่าไหมคะ...
เรามีวิธีที่อยากจะแนะนำ เป็นวิธีการที่จะสามารถทำให้ดอกไม้ที่มีก้านเดี่ยวพวกนี้อยู่ไห้เชยชมได้ เป็นเวลานานหมายความถึงว่าเราจะมาต่ออายุการใช้งานให้กับดอกไม้พวกนี้กันนะคะ
สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องใช้ในสูตรนี้ คือ....หลอดที่เราใช้ดูดน้ำอัดลมที่เป็นพาสติกนั่นแหละค่ะ
ขั้นแรกเลยนะคะ....ให้นำหลอดนั้นมาตัดด้วยกรรไกรตัดผ่าจากตรงกลางหลอดเป็นทางยาวเส้นตรง ผ่าให้ขาดตลอดทั้งหลอดนะคะให้ขาดจากกันเลย ( อย่างในแบบตามรูปที่ 1 )
ขั้นต่อมาเราจะนำดอกไม้เอาตรงด้านที่เป็นก้านนั้นเสียบหรือใส่ลงไปตรงกลางรอยแยกของหลอดที่เรา ได้ตัดหรือผ่าเอาไว้นั้น ( ตามอย่างที่เห็นในรูปที่ 2 )
เพียงแค่นี้เองแล้วนำดอกไม้นั้นไปปักแจกันได้ตามปกติ ดอกไม้ก็จะอยู่ได้นานทนทานขึ้นมามากกว่าเดิม หลายเท่าตัวทีเดียวค่ะ
เราได้ทำการทดลอบมาแล้วโดยการได้นำดอกไม้ที่ทำ ตามสูตรกับดอกไม้ที่ไม่ได้ทำอะไรมาทำการทดลองวัดผลดู...ปรากฏว่าดอกไม้ที่ไม่ได้ทำอะไรนั้นแค่เพียง 3 วันเท่า นั้นก็เฉาและเหี่ยวหมดแล้ว...ส่วนดอกไม้ที่เรานำมาทำตามสูตรนั้นสามารถมีชีวิตการใช้งานนานเกิน 1 อาทิตย์ ทีเดียวยังคงสภาพเบ่งบานอยู่เหมือนเดิมอย่างน่าทึ่งมาก
ข้อแนะนำถึงแม้ว่าดอกไม้ที่นำมาตามสูตรนั้นจะอยู่ได้เป็นอาทิตย์นานกว่าปกติก็จริง แต่ถ้าเราจะ อยากให้อยู่ได้นานกว่านั้นอีกละก็ ผู้สัดทัดกรณีท่านได้แนะนำมาว่าให้พยายามเปลี่ยนน้ำให้ใหม่ในทุก ๆวันแล้ว ดอกไม้นั้นจะอยู่ทนขึ้นค่ะ
น่าสงสัยนะคะว่าทำไมจึงแค่เสียบก้านของดอกไม้ลงไปในหลอดดูดน้ำแค่นั้นดอกไม้จึงสามารถมีชีวิตการใช้งาน ได้นานขึ้นกว่าเดิมมากอย่างนั้น
อันนี้ผู้สัดทัดกรณีท่านได้อธิบายไว้ว่า...เป็นเพราะดอกไม้นั้นมีเครื่องช่วยประคับประคองก้าน(คือหลอดดูดน้ำ) นั้นได้ช่วยประคับประคองก้านจนเป็นเส้นตรง ดังนั้นก้านจึงสามารถส่งน้ำลำเลียงไปสู่ดอกและพยุงดอกไม้ไว้ได้ อย่างสะดวกสบาย จะส่งน้ำไปให้โดยไม่ขาดสายและติดขัดตลอดเวลานั่นเอง...ดอกไม้จึงไม่เฉาและอยู่ได้นาน เกินกว่าปกติค่ะ
ส่วนดอกไม้ที่ไม่ได้มีอะไรช่วยพยุงก้านไว้ และด้วยความหนักของส่วนที่เป็นดอกนั้นส่วนมากจะหักห้อย ลงมาก้านจึงไม่สามารถที่จะส่งและลำเลียงน้ำไปให้ได้เพราะติดขัดจึงเฉาเร็วค่ะ
ในสูตรที่นำมาเสนอนี้จะใช้ได้ผลดีกับดอกไม้จำพวกที่มีก้านเดียวนะคะเพราะสามารถเสียบฝังก้านเข้าไปในหลอดได้ ง่าย แต่ถ้าเป็นดอกไม้จำพวกที่มีกิ่งแยกออกมากมายอย่างเช่น ดอกกุหลาบหรือดอกเบญจมาสนั้นคงจะเสียบ เข้าไปในหลอดไม่ได้...ก็น่าเสียดายอยู่แต่ตรงนี้ก็ยังพอมีวิธีที่สามารถที่จะทำได้ก็คือ " ให้ตัดหลอดเสียบลงไปตามช่วงที่เป็นข้อต่อ ตามกิ่งแยกนั่นเท่านั้นก็ใช้ได้ค่ะเพียงแต่แค่พยายามทำให้ก้านดอกตรงเพื่อให้รับน้ำได้สะดวกก็ใช้ได้ค่ะ
หรืออีกวิธีก็คือเราจึงอยากจะแนะนำคือให้นำดอกไม้จำพวกที่ทำตามสูตรที่แนะนำได้นั้น มาปักแจกันรวมสวมเข้าไป ( อย่างที่เห็นในรูปที่ 3 ) ก็จะให้ความรู้สึกที่ว่าดอกไม้ยังสดอยู่เลยและอยู่ได้นานกว่าเดิมดี เหมือนกันนะคะคือดอกไหนเหี่ยวก็ดึกออกทิ้งไปอะไรทำนองนี้....ที่สำคัญนั้นก็ขอให้เปลี่ยนน้ำให้ใหม่ในทุก ๆวันนะคะ
หรือจะเป็นวันเว้นวันก็ได้และในทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำให้ใหม่นั้นก็ขอให้ตัดตรงโคนปลายที่อยู่ในน้ำนั้นทิ้งทีละประมาณ 1 ซ.มหรือ 5 มิลิ (เวลาซื้อดอกไม้มาครั้งแรกจากร้านนั้น ดอกไม้จะมาทั้งก้านที่ยาว ๆใช่ไหมคะ...ผู้สัดทัดกรณีท่านได้บอกมาว่า ให้ปักทั้งก้านยาว ๆนั่นเลยเป็นดีที่สุดดอกไม้จะอยู่ได้นานแล้วให้มาเล็มโคนก้านทิ้ง ทีละนิด ใหม่ ๆอาจจะดูเก้งกางแต่เวลาผ่านไปโดนเล็มทิ้งทุกวันเดี๋ยวก็สั้นลงค่ะ..แต่ดอกไม้จะอยู่ได้นาน )
วิธีเปิดฝาขวดด้วยมือเปล่า
เปิดฝาขวดได้โดยมือปล่าว
เท่าที่คนที่ญี่ปุ่นเขาวิจัยมาและได้ทดลองโดยการ ใช้ให้คนที่มีความสงสัยเหมือนอย่างคำถามที่คุณNonameเขียนถามมา เลยค่ะ...ผลก็ออกมาว่าการกระแทกลงไปเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงไม่เป็นการที่จะทำให้แตกหรือระเบิดออกมาเลยสักขวด ที่เขาลองให้ คนทำให้ดูในรายเคล็ดลับที่ดูมาค่ะ... แต่ถ้าเกิดคนที่มีพลังและมีความแข็งแรงอย่างมากอย่างเช่นพวกนักมวยหรือนักกล้ามที่ตั้งใจอยากจะกระแทกให้มันแตกเพื่ออยากที่จะค้านและต่อต้าน ตรงนี้..มันก็อาจที่จะแตกและระเบิดได้เหมือนกันนะคะ ตรงนี้ก็คงต้องระวังหน่อย แต่เท่าที่พี่ลองทำดู ก็ใช้การได้ดียังไม่เคยมีปัญหาอันนี้เลยค่ะ..น่าคิดเหมือนกัน
การแก้น้ำตาลทรายให้คืนสภาพเดิม
วิธีแก้น้ำตาลที่เกาะตัวกันจนแข็ง...
ผู้ที่ได้ค้นพบเคล็ดลับอันนี้ขึ้นมาได้ตอบคำถามของเราแบบไม่ต้องคิดให้ปวดหัว เลยทีเดียวว่า " ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรืออะไรมาช่วยเลยจริง ๆ "...
เวลาปรุงอาหารนั้น สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องใช้เสมอ ก็จะต้องมี " น้ำตาล " เข้ามาร่วมอยู่ด้วยเสมอ ใช่ไหม ?คะ...
แล้วก็เป็นส่วนมากที่ทุกท่านมักจะนำน้ำตาลที่จะใช้ในครัวนั้นมาใส่เตรียมไว้ในโถหรือกล่องนะคะ
แต่ตรงนี้...เมื่อถึงเวลาที่จะต้องใช้เจ้าน้ำตาลที่เตรียมไว้ที่ในโถหรือกล่องนั่นและด้วยใส่เตรียมทิ้งไว้ เป็นเวลาอันนาน เจ้าน้ำตาลที่อยู่ในโถหรือกล่องนั่นก็มักจะเกิดอาการผิดปกติคือรวมตัวเกาะกันจนแข็งโป๊กเรียกง่าย ๆว่า ตักไม่ขึ้น ก็จะทำให้เป็นหมดอารมย์และนึกโมโหขึ้นมาในบางครั้งก็มีนะคะ
แต่ต่อจากนี้จะไม่มีปัญหาอันนั้นอีกอย่างแน่นอนคือหมดห่วงได้เลยค่ะ เพราะเรามีวิธีที่สามารถที่จะช่วย ท่านแก้ปัญหาอันนั้นได้อย่างน่าทึ่งมากและจะสามารถบรรดาลให้น้ำตาลที่รวมตัวเกาะกันจนแข็งโป๊กตักไม่ขึ้น นั้นกลับกลายคืนมาสู่สภาพเดิมเหมือนเมื่อตอนที่ซื้อมาใหม่ ๆและที่สำคัญคือไม่ต้องใช้อะไรหรือเครื่องมือ ต่าง ๆมาช่วยอีกด้วย...ลองมาฟังดูสิคะ
วิธีนั้นก็ง่ายนิดเดียว..คือในโถหรือกล่องน้ำตาลที่เกาะรวมตัวกันจนแข็งโป๊กนั้น ให้ใส่น้ำตาลใหม่ หรือที่ยังมีเหลืออยู่ในถุงที่เก็บเอาไว้ต่างหากนั้น ( และยังไม่แข็งตัวจนเกาะเป็นก้อนแล้วหละก็ใช้ได้ค่ะ ) ใส่เพิ่มเติมลงไปเท่านั้นเอง
ประมาณที่จะใส่เพิ่มเติมลงไปนั้นก็ประมาณเท่า ๆกับส่วนที่เกาะรวมตัวกันจนแข็งนั่นเองค่ะ ( ในรูปที่ 1-2 )
จากนั้นก็ปล่อยไว้อย่างนั้น ประมาณ 4 ชั่วโมง หลังจากนั้นแล้วท่านจะมหัศจรรย์ใจอย่างที่สุด เพราะว่าน้ำตาลที่อยู่ในโถหรือกล่องนั้นทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นอันใหม่ที่เติมลงไปหรืออันเก่าที่เกาะรวม ตัวกันนั้น จะกลับกลายเปลี่ยนมาเป็นนุ่มนิ่มกลับสู่สภาพเดิมที่เหมือนซื้อมาใหม่ ๆเลยจริง ๆ
ความมหัศจรรย์ของการที่แค่เติมน้ำตาลใหม่ลงไปแก้ไขได้นี้นั้น ผู้ที่ได้ค้นพบได้บอกกับเราว่า เธอได้ค้นพบอย่างไม่รู้ตัวและไม่ได้จงใจ เพราะเธอเพียงแค่เกิดนึกรำคาญและโมโหที่น้ำตาลในกล่องหรือ โถของเธอนั้นเกาะรวมตัวกันจนแข็งอย่างนั้น เธอเลยด้วยความโมโห และได้ใส่น้ำตาลใหม่ลงไป เท่านั้นเอง..
อะไรคือเหตุที่เมื่อใส่น้ำตาลใหม่ลงไปแล้วสามารถแก้ไขได้เล่า ?..
ผู้สัดทัดกรณี...ได้อธิบายว่า " การที่ได้ใส่น้ำตาลใหม่ลงไปเติมนั้นเป็นตัวเหตุตัวสำคัญ เพราะในน้ำตาลใหม่นั้น ส่วนที่เป็นน้ำที่มีผสมรวมอยู่ในตัวน้ำตาลและมีรวมอยู่มากนั้นได้เข้ามาเกี่ยวข้อง และช่วยเหลือนั่นเอง "
และเหตุที่ทำไม ?น้ำตาลเก่าจึงเกาะรวมตัวกันจนแข็งเมื่อปล่อยไว้เป็นเวลาอันนานนั้น เหตุเป็นเพราะว่า เมื่อปล่อยไว้เป็นเวลานานส่วนที่เป็นน้ำที่อยู่ในน้ำตาลจะระเหยหายไปกับอากาศรอบ ๆตัวโดยอัตโนมัติน้ำตาล เมื่อขาดส่วนที่เป็นน้ำจึงรวมตัวเกาะกันจนแข็งเป็นก้อนนั่นเอง (ตัวอย่างที่เห็นในรูปที่ 1-2 )
และตรงนี้เมื่อเราได้ใส่น้ำตาลใหม่เพิ่มเติมลงไป ส่วนที่เป็นน้ำที่ยังมีอยู่มากมายในน้ำตาลใหม่จึงไหลซึม เข้าไปผสมหรือเข้าไปแทรกซ้อนช่วยให้น้ำตาลเก่ามีส่วนที่เป็นน้ำมากเพิ่มขึ้นมาด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ ทั้งน้ำตาลใหม่และน้ำตาลเก่ากลับกลายมาสู่สภาพเดิมได้อย่างน่าทึ่งมากนั่นเองค่ะ
ถ้าในโถหรือกล่องน้ำตาลของท่านนั้นเกาะรวมตัวกันจนแข็งแล้วละก็ เชิญพิสูตรตามวิธีการของเราดูนะคะ แล้วท่านจะทึ่งอย่างที่สุดเหมือยกับพวกเราค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)