10 เทคนิคสร้างสุขภาพให้เส้นผม (สยามดารา)
การดูแลเส้นผมให้สวยเงางามถูกตาต้องใจผู้ทีได้สัมผัส หรือได้พบเจอ อาจจะเป็นความฝันของใครบางคนที่ไม่รู้วิธีในการดูแลเส้นผม แต่วันนี้คุณจะเปลี่ยนไปถ้าได้ลองตามนี้
1. ก่อนการสระผมทุกครั้งควรสางผมที่พันกันอยู่เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามเส้นผม เพราะเมื่อคุณออกไปทำธุระประจำวันย่อมเจอกับฝุ่นควันมากมายที่ติดมากับเส้นผม พอกลับมาถึงบ้านการสางผมจึงเป็นสิ่งแรกที่ควรจะทำ
2. การสระผมสิ่งแรกที่นึกถึงคือ แชมพูและครีมนวด (คงไม่มีใครใช้ สบู่สระผมหรอกใช่ไหมคะ) เพื่อขจัดสิ่งสกปรก และควรที่จะบำรุงเส้นผมไปด้วยพร้อม ๆ กัน แชมพูและครีมนวดที่เหมาะสมกับเส้นผมความเป็นสูตรที่ผสมอาหารชีวภาพ เพราะสารอาหารชีวภาพจะถูกดูดซึมแล้วเข้าถึงรากและตลอดเส้มผมได้ง่าย
3. การนวดหนังศีรษะขณะสระผม จะช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของหลอดเลือดใต้หนังศีรษะ มีผลทำให้ผมมีสุขภาพที่ดี และช่วยลดความเครียด โดยใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบา ๆ อย่ารุนแรงจนเกินไปไม่งั้นหนังศีรษะของคุณอาจจะบาดเจ็บได้
4. คอนดิชันเนอร์ เพิ่มความชุ่มชื้น ลดอาการผมแตกปลาย โดยปรกติหนังศีรษะจะมีน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื้นแต่ด้วยความยาวของเส้นผมอาจทำให้ผมบางส่วนไม่ได้รับความชุ่มชื้น จึงต้องเพิ่มความชุ่มชื้น ด้วยคอนดิชันเนอร์ ตรงบริเวณปลายผมขึ้นมาครึ่งหนึ่งของความยาว ซึ่งเป็นส่วนที่จะแห้งและแตกปลายได้ง่าย และการทาคอนดิชั่นเนอร์ใกล้ ๆ รากผมจะทำให้รู้สึกว่าเส้นผมเป็นมันเยิ้ม
5. เพิ่มความเงางาม ด้วยน้ำส้มสายชู เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการดูแลเส้นผมที่จะเพิ่มความเงางามและขจัดเส้นผมที่พันกัน ด้วยการใช้น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 600 มิลลิลิตร แล้วราดลงบนเส้นผม แล้วใช้หวีสาวให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แค่นี้ผมของคุณก็จะเพิ่มความเงางามได้ด้วยตัวเองที่บ้านแล้ว
6. อุณหภูมิบำรุงผม อุณหภูมิของน้ำมีส่วนอย่างมากที่จะทำให้เส้นผมของเราสวยและเงางาม โดยน้ำที่ใช้ล้างเส้นผมของเราไม่ว่าจะเป็นน้ำร้อนหรือน้ำเย็นย่อมมีประโยชน์ต่างกัน เช่น น้ำร้อนทำให้ต่อมรากผมขยายและสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติไป ทำให้ผิวผมแห้งหยาบดูไม่มีชีวิตชีวา ควรใช้น้ำเย็นล้างผมจะดีกว่า ความเย็นของน้ำจะช่วยให้ต่อมรากผมปิดตัว เส้นผมจะเงางามทั่วศีรษะ
7. เช็ดผมให้ระวัง ควรซับเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนู แต่อย่าเช็ดผม เพื่อทำให้ผมแห้งเพราะอาจจะทำให้ผมของคุณแห้งและทำลายความยืดหยุ่นของเส้มผม ถ้าให้ดีแค่ใช้ปลายนิ้วบีบน้ำบนเส้นผมออก แล้วใช้ผ้าขนหนูซับเบา ๆ วิธีนี้จะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นบนเส้นผมไว้ได้
8. การแปรงผมในขณะที่ผมเปียกจะทำให้ผมเสียได้ง่าย ควรใช้หวีซี่ห่าง ๆ สางผมที่เปียกโดยแบ่งเป็นส่วน ๆ โดยเริ่มสางจากปลายผม เพราะในขณะที่ผมเปียก เส้นผมจะพองใหญ่กว่าปกติเป็นสองเท่า
9. การใช้เครื่องมือแต่งผมที่ใช้ความร้อนจะทำให้แกนผมเสีย ควรปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ เพราะเส้นผมจะเซ็ตตัวได้เองเมื่อแห้งแล้ว หรือถ้าผมสั้นก็ทาเจลแล้วหวีให้ทั่วเพื่อแต่งทรง
10. กำราบผมตั้งชี้ เมื่อผมแห้งแล้ว ฉีดสเปรย์ลงบนหวีแล้วหวีผมให้ทั่ว วิธีนี้จะทำให้ปลายผมที่ตั้งชี้ลู่ลงไป ทำให้เส้นผมดูเงางาม เป็นระเบียบ และช่วยให้เส้นผมอยู่ทรงได้นานขึ้น
แค่นี้เส้นผมของคุณก็จะเงางามไม่แตกปลายอีกต่อไป แต่การกินอาหารที่ดีมีประโชยน์ต่อร่างกายก็เป็นส่วนจำเป็นที่จะทำให้ผมของคุณสวยงามขึ้นด้วยได้เช่นกัน
25 ก.ค. 2552
คลายปวดหน้าอก ด้วย 5 วิธี
คลายปวดหน้าอกด้วย 5 วิธี (รักลูก)
อาการเจ็บ คัด และปวดจากการที่หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นยามตั้งครรภ์นั้น คุณแม่สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ
เสื้อชั้นใน เลือกเสื้อชั้นในที่มีแผ่นพยุงเต้าที่ให้ความยืดหยุ่นมากกว่าปกติ เพื่อการรองรับน้ำหนักและรูปทรงของเต้านมที่กำลังขยาย ควรมีตะขอหลังที่สามารถปรับได้ 4 แถว ตามการขยายของรอบลำตัวรวมถึงควรเลือกเนื้อผ้าที่ให้ผิวสัมผัสนุ่มและมีแรงยืดหยุ่นได้ดี
กะหล่ำปลี ผักใบเขียวอย่างกะหล่ำปลีสามารถช่วยลดอาการปวด เพียงนำกะหล่ำปลีสดมาแช่เย็น แล้วแกะกาบเป็นแผ่น ๆ นำมาครอบรอบเต้านม ปิดทับด้วยเสื้อชั้นในอีกที ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ฤทธิ์ของกะหล่ำปลีจะช่วยดูดความปวดได้ค่ะ
นวดด้วยน้ำอุ่น การอาบน้ำอุ่นเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอาการปวดเมื่อยได้ค่ะ ซึ่งในระหว่างอาบน้ำและฟอกสบู่ ให้นวดเต้านมเบา ๆ จากกลางหน้าอกไปจนถึงรักแร้ เพราะจะทำให้การไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองดีขึ้นด้วยค่ะ
อาหารดี คุณแม่ควรที่จะควบคุมการเพิ่มของน้ำหนักตัวให้ค่อยเป็นค่อยไป โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารเค็ม รวมถึงอาหารที่มีไขมันมากเกินไป
บำรุงเต้า ทาหน้าอกด้วยครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนและอีลาสทิน จะช่วยให้ผิวบริเวณหน้าอกมีความชุ่มชื้นและมีความยืดหยุ่นพร้อมที่จะขยายโดยที่ไม่ก่อให้เกิดรอยแตกลายค่ะ
อาการเจ็บ คัด และปวดจากการที่หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นยามตั้งครรภ์นั้น คุณแม่สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ
เสื้อชั้นใน เลือกเสื้อชั้นในที่มีแผ่นพยุงเต้าที่ให้ความยืดหยุ่นมากกว่าปกติ เพื่อการรองรับน้ำหนักและรูปทรงของเต้านมที่กำลังขยาย ควรมีตะขอหลังที่สามารถปรับได้ 4 แถว ตามการขยายของรอบลำตัวรวมถึงควรเลือกเนื้อผ้าที่ให้ผิวสัมผัสนุ่มและมีแรงยืดหยุ่นได้ดี
กะหล่ำปลี ผักใบเขียวอย่างกะหล่ำปลีสามารถช่วยลดอาการปวด เพียงนำกะหล่ำปลีสดมาแช่เย็น แล้วแกะกาบเป็นแผ่น ๆ นำมาครอบรอบเต้านม ปิดทับด้วยเสื้อชั้นในอีกที ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ฤทธิ์ของกะหล่ำปลีจะช่วยดูดความปวดได้ค่ะ
นวดด้วยน้ำอุ่น การอาบน้ำอุ่นเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอาการปวดเมื่อยได้ค่ะ ซึ่งในระหว่างอาบน้ำและฟอกสบู่ ให้นวดเต้านมเบา ๆ จากกลางหน้าอกไปจนถึงรักแร้ เพราะจะทำให้การไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองดีขึ้นด้วยค่ะ
อาหารดี คุณแม่ควรที่จะควบคุมการเพิ่มของน้ำหนักตัวให้ค่อยเป็นค่อยไป โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารเค็ม รวมถึงอาหารที่มีไขมันมากเกินไป
บำรุงเต้า ทาหน้าอกด้วยครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนและอีลาสทิน จะช่วยให้ผิวบริเวณหน้าอกมีความชุ่มชื้นและมีความยืดหยุ่นพร้อมที่จะขยายโดยที่ไม่ก่อให้เกิดรอยแตกลายค่ะ
นมเด้ง กับเรื่องที่ควรรู้และต้องระวัง
นมเด้ง กับเรื่องที่ควรรู้และต้องระวัง (มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค)
ร่างกายผู้หญิงโดยธรรมชาติ ผิวหนังภายนอกและกล้ามเนื้อภายในของเต้านมจะทำหน้าที่เหนี่ยวรั้งน้ำหนักของเต้านมไว้ให้ตั้งขึ้นและเต่งตึงเสมือนหนึ่งเป็นเสื้อยกทรงธรรมชาติ แต่เมื่อสรีระของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น มีการเพิ่มของน้ำหนักตัวอย่างมากมาย หรือหญิงในวัยใกล้หรือในวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานอย่างชัดเจน
สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยเหล่านี้ ผู้ลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก อ้วน มักจะมีไขมันสะสมพอกพูนบริเวณเต้านมมาก เมื่อน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ ส่วนที่หายไปก่อนคือไขมันส่วนเกินนั่นเอง ผิวหนังภายนอกที่เคยต้องขยายและอุ้มน้ำหนักเต้านมและไขมันส่วนเกินไว้ก่อนหน้านั้นจึงห้อยและหย่อนยานตามสรีระนั่นเอง เพราะกล้ามเนื้อภายในเต้านมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม
หญิงในวัยใกล้และในวัยหมดประจำเดือน
เต้านมหย่อนยานได้เนื่องจากสาเหตุหลักคือการลดลงของปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนในกระแสเลือด ฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกผลิตและปลดปล่อยออกจากต่อม เนื้อเยื่อ และอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังเนื้อเยื่อและส่วนต่างๆของร่างกายที่มีสถานีรับ (Receptors) ฮอร์โมนชนิดนี้ หน้าที่สำคัญของเอสโตรเจนคือควบคุมการเจริญเติบโตของเต้านม รังไข่ ช่องคลอดและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง นอกจากนั้นยังมีความสำคัญยิ่งต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อของกระดูก ป้องกันกระดูกพรุนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเปราะและแตกหักของกระดูก
ไม่อยากให้เต้านมหย่อนยานก่อนวัย ควรทำอย่างไร
ไม่ควรลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ควรจำกัดอาหารไขมันควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม จะช่วยลดไขมันส่วนเกินพร้อม ๆ กับการกระชับกล้ามเนื้อภายในให้เต่งตึงได้ดี
สำหรับหญิงในวัยทองซึ่งร่างกายมีการผลิตเอสโตรเจนลดน้อยลงตามธรรมชาติ อาจจะเสริมด้วยอาหารที่มี ส่วนผสมของ‘ไฟโตเอสโตรเจน'(Phytoestrogen) คำว่า ‘ไฟโต' แปลว่าพืช หมายถึงสารที่มีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แม้ว่าจะมีประสิทธิผลต่ำกว่าฮอร์โมนถึง 100 - 1,000 เท่าก็ตาม จะพบมากในถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เต้าหู้ และสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กวาวเครือ เป็นต้น อย่างไรก็ดีจากการวิจัยทางการแพทย์พบว่า การที่ร่างกายได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนเข้าไปในร่างกายนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีสำหรับหญิงในวัยทองคือ สามารถทดแทนฮอร์โมนที่ลดน้อยลงได้บ้างแม้ว่าจะไม่ดีเท่าที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง แต่ก็พบว่าสามารถกระตุ้นให้เต้านมเต่งตึงขึ้น ผิวมีน้ำมีนวลขึ้น อาการหงุดหงิดลดน้อยลง
ข้อเสียคือ ไฟโตรเอสโตรเจนแม้ว่าจะมีฤทธิ์ต่ำกว่าเอสโตรเจนมากก็จริง แต่ก็สามารถเข้าแข่งขันกับเอสโตรเจนของร่างกายในการเข้ายึดสถานีรับ(Receptor) เอสโตรเจนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ และหากไฟโตเอสโตรเจนสามารถเข้าสถานีได้ จะมีผลทำให้ฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อร่างกายลดลง ซึ่งกลับเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
ดังนั้นผู้ที่อยู่ในวัยเด็ก และวัยเจริญพันธุ์ ไม่สมควรจะรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจนมากเกินไป หรือไม่ควรหาซื้อผลิตภัณฑ์นมเด้งที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตรเจนมาทาถูนวดที่เต้านม เพราะจะให้ผลในทางตรงกันข้ามได้ หญิงในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรก็เช่นกัน ไม่ควรรับประทานหรือทาถูเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตเจน ผู้ที่มีปัญหาโรคทางเต้านมทั้งหลาย ก็ควรจะระวังเช่นกัน
คิดอยากให้นมเด้ง อ่านตรงนี้ก่อน
เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญมากมายต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย เช่นเดียวกับเซลมะเร็งก็เจริญเติบโตได้ดีมากอย่างรวดเร็วด้วยเอสโตรเจน ดังนั้นการที่ร่างกายได้รับเอสโตรเจนหรือสารที่คล้ายคลึงกับเอสโตรเจนจากภายนอกร่างกายไม่ว่าจะโดยการรับประทานหรือทาถู จึงมีความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งไม่มากก็น้อย เพราะไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นเองโดยธรรมชาติ ผู้ที่อยากสวยจึงพึงสังวรไว้ด้วย
ร่างกายผู้หญิงโดยธรรมชาติ ผิวหนังภายนอกและกล้ามเนื้อภายในของเต้านมจะทำหน้าที่เหนี่ยวรั้งน้ำหนักของเต้านมไว้ให้ตั้งขึ้นและเต่งตึงเสมือนหนึ่งเป็นเสื้อยกทรงธรรมชาติ แต่เมื่อสรีระของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น มีการเพิ่มของน้ำหนักตัวอย่างมากมาย หรือหญิงในวัยใกล้หรือในวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานอย่างชัดเจน
สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยเหล่านี้ ผู้ลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก อ้วน มักจะมีไขมันสะสมพอกพูนบริเวณเต้านมมาก เมื่อน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ ส่วนที่หายไปก่อนคือไขมันส่วนเกินนั่นเอง ผิวหนังภายนอกที่เคยต้องขยายและอุ้มน้ำหนักเต้านมและไขมันส่วนเกินไว้ก่อนหน้านั้นจึงห้อยและหย่อนยานตามสรีระนั่นเอง เพราะกล้ามเนื้อภายในเต้านมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม
หญิงในวัยใกล้และในวัยหมดประจำเดือน
เต้านมหย่อนยานได้เนื่องจากสาเหตุหลักคือการลดลงของปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนในกระแสเลือด ฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกผลิตและปลดปล่อยออกจากต่อม เนื้อเยื่อ และอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังเนื้อเยื่อและส่วนต่างๆของร่างกายที่มีสถานีรับ (Receptors) ฮอร์โมนชนิดนี้ หน้าที่สำคัญของเอสโตรเจนคือควบคุมการเจริญเติบโตของเต้านม รังไข่ ช่องคลอดและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง นอกจากนั้นยังมีความสำคัญยิ่งต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อของกระดูก ป้องกันกระดูกพรุนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเปราะและแตกหักของกระดูก
ไม่อยากให้เต้านมหย่อนยานก่อนวัย ควรทำอย่างไร
ไม่ควรลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ควรจำกัดอาหารไขมันควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม จะช่วยลดไขมันส่วนเกินพร้อม ๆ กับการกระชับกล้ามเนื้อภายในให้เต่งตึงได้ดี
สำหรับหญิงในวัยทองซึ่งร่างกายมีการผลิตเอสโตรเจนลดน้อยลงตามธรรมชาติ อาจจะเสริมด้วยอาหารที่มี ส่วนผสมของ‘ไฟโตเอสโตรเจน'(Phytoestrogen) คำว่า ‘ไฟโต' แปลว่าพืช หมายถึงสารที่มีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แม้ว่าจะมีประสิทธิผลต่ำกว่าฮอร์โมนถึง 100 - 1,000 เท่าก็ตาม จะพบมากในถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เต้าหู้ และสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กวาวเครือ เป็นต้น อย่างไรก็ดีจากการวิจัยทางการแพทย์พบว่า การที่ร่างกายได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนเข้าไปในร่างกายนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีสำหรับหญิงในวัยทองคือ สามารถทดแทนฮอร์โมนที่ลดน้อยลงได้บ้างแม้ว่าจะไม่ดีเท่าที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง แต่ก็พบว่าสามารถกระตุ้นให้เต้านมเต่งตึงขึ้น ผิวมีน้ำมีนวลขึ้น อาการหงุดหงิดลดน้อยลง
ข้อเสียคือ ไฟโตรเอสโตรเจนแม้ว่าจะมีฤทธิ์ต่ำกว่าเอสโตรเจนมากก็จริง แต่ก็สามารถเข้าแข่งขันกับเอสโตรเจนของร่างกายในการเข้ายึดสถานีรับ(Receptor) เอสโตรเจนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ และหากไฟโตเอสโตรเจนสามารถเข้าสถานีได้ จะมีผลทำให้ฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อร่างกายลดลง ซึ่งกลับเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
ดังนั้นผู้ที่อยู่ในวัยเด็ก และวัยเจริญพันธุ์ ไม่สมควรจะรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจนมากเกินไป หรือไม่ควรหาซื้อผลิตภัณฑ์นมเด้งที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตรเจนมาทาถูนวดที่เต้านม เพราะจะให้ผลในทางตรงกันข้ามได้ หญิงในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรก็เช่นกัน ไม่ควรรับประทานหรือทาถูเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตเจน ผู้ที่มีปัญหาโรคทางเต้านมทั้งหลาย ก็ควรจะระวังเช่นกัน
คิดอยากให้นมเด้ง อ่านตรงนี้ก่อน
เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญมากมายต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย เช่นเดียวกับเซลมะเร็งก็เจริญเติบโตได้ดีมากอย่างรวดเร็วด้วยเอสโตรเจน ดังนั้นการที่ร่างกายได้รับเอสโตรเจนหรือสารที่คล้ายคลึงกับเอสโตรเจนจากภายนอกร่างกายไม่ว่าจะโดยการรับประทานหรือทาถู จึงมีความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งไม่มากก็น้อย เพราะไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นเองโดยธรรมชาติ ผู้ที่อยากสวยจึงพึงสังวรไว้ด้วย
ชา กาแฟ ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ
กระแสฮิตติดตลาดในระยะนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก เมื่อเดือนที่ผ่านมานี้ก็มีข่าวคราวที่ น่าสะ เทือนใจที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่ต้องการลดน้ำหนัก และกินยาเพื่อลดน้ำหนักเกินขนาด จนเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งหลายๆ ปีที่ผ่านมาก็มีข่าวคราวในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ น่าเสียดายที่เรามองข้ามความปลอดภัยของการใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในการลดน้ำหนัก ทำให้แทนที่จะมีสุขภาพดีกลับกลายเป็นอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินเพิ่มขึ้นไปอีก
หมอลองค้นหาใน Google โดยใช้คำว่า ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักหรืออาหารเสริมลดน้ำหนัก มีรายชื่อ Website เป็นล้าน นี่ขนาดว่าเป็นแค่ Web ภาษาไทยเท่านั้นนะ และจำนวนไม่น้อยเป็นผลิตภัณฑ์ชาหรือกาแฟเพื่อลดน้ำหนัก อันเป็นที่มาของคำถามในวันนี้ที่มีคนไข้มาถามหมอว่าเธอซื้อชายี่ห้อหนึ่งมา คนขายบอกว่าให้กินหลังอาหาร 3 มื้อ จะช่วยลดน้ำหนักได้และยังจะช่วยลดระดับ น้ำตาลในเลือดซึ่งเธอกำลังมีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มผิดปกติ
ก็มีแต่ ‘เขาว่า’ ทั้งนั้นแหละค่ะที่จะเห็นผล(ดี) พอเป็น ‘เราว่า’ บ้างมักจะกลายเป็นเห็นผลตรงกันข้ามไปเสียนี่จริงๆ แล้ว ที่ชาหรือกาแฟมาฮิตมากในช่วงหลังๆ ในการนำมาใช้ในการลดน้ำหนักนั้นมีที่มาที่ไปนะคะ มีการศึกษาทางการแพทย์มาเป็น 10 ปี ที่พบว่ากาเฟอีนที่เป็นส่วนผสมหลักในชาหรือกาแฟนั้น เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะมีผลในด้าน Thermogenesis ทำให้ร่างกายมีการ เผาผลาญใช้พลังงานมากขึ้น เคยมีการศึกษาของชาเขียว พบว่าถ้าดื่มชาเขียววันละ 5แก้ว ร่างกายจะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ70-80 แคลอรี (ซึ่งสำหรับชาเขียวแล้วผลของการเพิ่มการใช้พลังงานของร่างกายเมื่อดื่มชา อาจจะเป็นผลพวงขององค์ประกอบอื่นๆ ในชานอกเหนือจากกาเฟอีน)การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นหลังจากการดื่มชา/กาแฟนี้เองที่ทำให้ผู้ผลิตนำชา/กาแฟมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก
อันที่จริงหลักการลดน้ำหนักนั้นง่ายมากเลยค่ะ คือกินให้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ เมื่อร่างกายมีการใช้พลังงานมากกว่าที่กินก็จำต้องสลายเอาไขมันที่สะสมตามร่างกายมาเป็นพลังงานแทน แต่การจะเอาไขมันที่พอกพูนตามส่วนต่างๆ ของร่างกายให้หายไป 1 ปอนด์ หรือเกือบครึ่งกิโลกรัมนั้น เราต้องใช้พลังงานมากกว่าที่ได้จากการกินเข้าไป (Calories Deficit) ถึง 3,500 แคลอรี! สมมติว่าเราต้องการลดน้ำหนัก 1/2 กิโลกรัม ใน 1 สัปดาห์ นั่นหมายถึงใน 1 สัปดาห์หรือ 7 วันนี้เราต้องมี Calories Deficit ประมาณ 3,500 แคลอรี หรือคิดง่ายๆ ว่าวันละ 500 แคลอรี ซึ่งเราจะประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานมากกว่าที่ร่างกายได้รับวันละ 500 แคลอรีได้ 3 ทางคือ
1.กินให้น้อยลงวันละ 500 แคลอรี โดยใช้พลังงานหรือทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม เช่น เลิกดื่มน้ำอัดลมที่เคยดื่มวันละ 2 ขวด กับเปลี่ยนจากกินข้าวมันไก่มาเป็นสุกี้น้ำไก่ ก็จะลดแคลอรีจากอาหารที่กินได้ประมาณ 500 แคลอรี วิธีนี้ไม่ดีต่อสุขภาพ และน้ำหนักที่ลดได้มักจะคงอยู่ได้ไม่นาน
2. กินลดลงบ้าง ร่วมกับการออกกำลังกาย เช่น เลิกดื่มน้ำอัดลม 2 ขวด แต่ยังขอกินข้าวมันไก่ แต่ยอมไปออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ 1 ชั่วโมง วิธีนี้ดีต่อสุขภาพที่สุด และจะลดน้ำหนักได้ถาวรที่สุด (แต่อย่างไรข้าวมันไก่ก็ไม่ควรกินบ่อยนะคะ)
3.ไม่ยอมอดอาหารเลยแต่ยอมออกกำลังกายแทน ซึ่งถ้าเราหนัก 80 กิโลกรัม ต้องการออกกำลังกายเพื่อจะเผาผลาญให้ได้ 500 แคลอรี ต้องพยายามอย่างสูง เช่น วิ่งเหยาะ 1 ชั่วโมง หรือเดินเร็ว 1 ชั่วโมงครึ่ง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จยกเว้นเป็นนักกีฬาที่ต้องออกกำลังกายทั้งวัน
สำหรับชา/กาแฟ ที่มีฤทธิ์เพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายดังกล่าวจะเปรียบเสมือนกับการออกกำลังกายที่ร่างกายใช้พลังงานเพิ่ม ลองดูว่าถ้าเราเลือกทำตามข้อ 3 คือ ดื่มแต่ชา/กาแฟเพื่อช่วยลดน้ำหนักแทนการไปออกกำลังกาย อาจจะต้องดื่มชาถึงวันละกว่า 30 แก้ว (ชา 5 แก้วเพิ่มการใช้พลังงานประมาณ 70-80 แคลอรี) ซึ่งคงจะไม่ไหว นอกจากนี้กาเฟอีนในชากาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นๆถ้าดื่มมากเกินไปอาจจะเกิดปัญหาใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ นอนไม่หลับ ท้องผูก ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน เป็นต้น
ดังนั้นหมอก็เลยแนะนำคนไข้ของหมอว่าถ้าอยากจะลดน้ำหนักให้สุขภาพดี คงต้องลงทุนลงแรงด้วยการคุมอาหารบ้าง ออกกำลังกายบ้าง และถ้าตนเองไม่มีข้อห้ามกับการดื่มชา/กาแฟ ก็อาจจะดื่มได้ เช่น วันละ 1-3 แก้ว ไม่ใช่แค่ดื่มชาหรือกาแฟ (โดยไม่ทำอะไรอื่นอีกเลย) แล้วหวังว่าน้ำหนักตนเองจะลดลงได้ แต่ทั้งนี้ระวังนมและน้ำตาลที่ใส่ลงในชา/กาแฟด้วยนะคะ น้ำตาล 2 ช้อนชา ให้แคลอรีเท่ากับข้าว 1/2 ทัพพี
หมอลองค้นหาใน Google โดยใช้คำว่า ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักหรืออาหารเสริมลดน้ำหนัก มีรายชื่อ Website เป็นล้าน นี่ขนาดว่าเป็นแค่ Web ภาษาไทยเท่านั้นนะ และจำนวนไม่น้อยเป็นผลิตภัณฑ์ชาหรือกาแฟเพื่อลดน้ำหนัก อันเป็นที่มาของคำถามในวันนี้ที่มีคนไข้มาถามหมอว่าเธอซื้อชายี่ห้อหนึ่งมา คนขายบอกว่าให้กินหลังอาหาร 3 มื้อ จะช่วยลดน้ำหนักได้และยังจะช่วยลดระดับ น้ำตาลในเลือดซึ่งเธอกำลังมีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มผิดปกติ
ก็มีแต่ ‘เขาว่า’ ทั้งนั้นแหละค่ะที่จะเห็นผล(ดี) พอเป็น ‘เราว่า’ บ้างมักจะกลายเป็นเห็นผลตรงกันข้ามไปเสียนี่จริงๆ แล้ว ที่ชาหรือกาแฟมาฮิตมากในช่วงหลังๆ ในการนำมาใช้ในการลดน้ำหนักนั้นมีที่มาที่ไปนะคะ มีการศึกษาทางการแพทย์มาเป็น 10 ปี ที่พบว่ากาเฟอีนที่เป็นส่วนผสมหลักในชาหรือกาแฟนั้น เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะมีผลในด้าน Thermogenesis ทำให้ร่างกายมีการ เผาผลาญใช้พลังงานมากขึ้น เคยมีการศึกษาของชาเขียว พบว่าถ้าดื่มชาเขียววันละ 5แก้ว ร่างกายจะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ70-80 แคลอรี (ซึ่งสำหรับชาเขียวแล้วผลของการเพิ่มการใช้พลังงานของร่างกายเมื่อดื่มชา อาจจะเป็นผลพวงขององค์ประกอบอื่นๆ ในชานอกเหนือจากกาเฟอีน)การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นหลังจากการดื่มชา/กาแฟนี้เองที่ทำให้ผู้ผลิตนำชา/กาแฟมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก
อันที่จริงหลักการลดน้ำหนักนั้นง่ายมากเลยค่ะ คือกินให้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ เมื่อร่างกายมีการใช้พลังงานมากกว่าที่กินก็จำต้องสลายเอาไขมันที่สะสมตามร่างกายมาเป็นพลังงานแทน แต่การจะเอาไขมันที่พอกพูนตามส่วนต่างๆ ของร่างกายให้หายไป 1 ปอนด์ หรือเกือบครึ่งกิโลกรัมนั้น เราต้องใช้พลังงานมากกว่าที่ได้จากการกินเข้าไป (Calories Deficit) ถึง 3,500 แคลอรี! สมมติว่าเราต้องการลดน้ำหนัก 1/2 กิโลกรัม ใน 1 สัปดาห์ นั่นหมายถึงใน 1 สัปดาห์หรือ 7 วันนี้เราต้องมี Calories Deficit ประมาณ 3,500 แคลอรี หรือคิดง่ายๆ ว่าวันละ 500 แคลอรี ซึ่งเราจะประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานมากกว่าที่ร่างกายได้รับวันละ 500 แคลอรีได้ 3 ทางคือ
1.กินให้น้อยลงวันละ 500 แคลอรี โดยใช้พลังงานหรือทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม เช่น เลิกดื่มน้ำอัดลมที่เคยดื่มวันละ 2 ขวด กับเปลี่ยนจากกินข้าวมันไก่มาเป็นสุกี้น้ำไก่ ก็จะลดแคลอรีจากอาหารที่กินได้ประมาณ 500 แคลอรี วิธีนี้ไม่ดีต่อสุขภาพ และน้ำหนักที่ลดได้มักจะคงอยู่ได้ไม่นาน
2. กินลดลงบ้าง ร่วมกับการออกกำลังกาย เช่น เลิกดื่มน้ำอัดลม 2 ขวด แต่ยังขอกินข้าวมันไก่ แต่ยอมไปออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ 1 ชั่วโมง วิธีนี้ดีต่อสุขภาพที่สุด และจะลดน้ำหนักได้ถาวรที่สุด (แต่อย่างไรข้าวมันไก่ก็ไม่ควรกินบ่อยนะคะ)
3.ไม่ยอมอดอาหารเลยแต่ยอมออกกำลังกายแทน ซึ่งถ้าเราหนัก 80 กิโลกรัม ต้องการออกกำลังกายเพื่อจะเผาผลาญให้ได้ 500 แคลอรี ต้องพยายามอย่างสูง เช่น วิ่งเหยาะ 1 ชั่วโมง หรือเดินเร็ว 1 ชั่วโมงครึ่ง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จยกเว้นเป็นนักกีฬาที่ต้องออกกำลังกายทั้งวัน
สำหรับชา/กาแฟ ที่มีฤทธิ์เพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายดังกล่าวจะเปรียบเสมือนกับการออกกำลังกายที่ร่างกายใช้พลังงานเพิ่ม ลองดูว่าถ้าเราเลือกทำตามข้อ 3 คือ ดื่มแต่ชา/กาแฟเพื่อช่วยลดน้ำหนักแทนการไปออกกำลังกาย อาจจะต้องดื่มชาถึงวันละกว่า 30 แก้ว (ชา 5 แก้วเพิ่มการใช้พลังงานประมาณ 70-80 แคลอรี) ซึ่งคงจะไม่ไหว นอกจากนี้กาเฟอีนในชากาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นๆถ้าดื่มมากเกินไปอาจจะเกิดปัญหาใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ นอนไม่หลับ ท้องผูก ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน เป็นต้น
ดังนั้นหมอก็เลยแนะนำคนไข้ของหมอว่าถ้าอยากจะลดน้ำหนักให้สุขภาพดี คงต้องลงทุนลงแรงด้วยการคุมอาหารบ้าง ออกกำลังกายบ้าง และถ้าตนเองไม่มีข้อห้ามกับการดื่มชา/กาแฟ ก็อาจจะดื่มได้ เช่น วันละ 1-3 แก้ว ไม่ใช่แค่ดื่มชาหรือกาแฟ (โดยไม่ทำอะไรอื่นอีกเลย) แล้วหวังว่าน้ำหนักตนเองจะลดลงได้ แต่ทั้งนี้ระวังนมและน้ำตาลที่ใส่ลงในชา/กาแฟด้วยนะคะ น้ำตาล 2 ช้อนชา ให้แคลอรีเท่ากับข้าว 1/2 ทัพพี
21 ก.ค. 2552
ห้องนอน บ่อเกิดภูมิแพ้
ใครจะทราบบ้างว่า ห้องนอนเป็นสาเหตุของการทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
อากาศที่หายใจเข้าไปทุกขณะ นับว่ามีความสำคัญต่อร่างกาย โดยเฉพาะเวลานอนหลับ บางครั้งเราอาจมองข้ามสิ่งที่เป็นตัวต้นเหตุสำคัญของอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นอาการภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ หลอดลม ทั้งละอองเกสรก็ดี เชื้อรา ฝุ่น ควันบุหรี่ ขี้แมลงสาบ ไอระเหยของสารเคมีล้วนแต่สามารถกระตุ้นภูมิแพ้และส่งผลต่อการเจ็บป่วยของร่างกายในที่สุด
การดูแลห้องนอนให้อยู่ในสภาพที่ถูกสุขลักษณะและปลอดจากสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ ทำได้ง่ายๆ ดังนี้
- ห้องนอนเต็มไปด้วยฝุ่นหรือไม่ การได้หลับพักผ่อนในห้องนอนที่มีอากาศสะอาดปราศจากฝุ่น จะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นหรือฟื้นคืนจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น
- พื้นห้องปูด้วยพรมหรือไม่ นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะพรมจะกลายเป็นแหล่งของไรฝุ่นที่เป็นตัวก่อภูมิแพ้ และดูแลทำความสะอาดได้ยากกว่าพื้นไม้หรือกระเบื้อง
- ชอบสูบบุหรี่ใช้น้ำยาหรือน้ำหอมปรับอากาศ สิ่งเหล่านี้นับเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง
- ซักและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเครื่องนอนบ่อยแค่ไหน ไม่ว่าจะผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้านวม ควรถอดซักได้และควรเปลี่ยนอยู่เสมอ ซักทำความสะอาดด้วยอุณหภูมิที่ไม่ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้จะไม่สามารถฆ่าไรฝุ่นในเครื่องนอนได้
- เลือกใช้อุปกรณ์เครื่องตกแต่งที่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่าน สีทาผนัง ตู้ โต๊ะ พรม ควรพิจารณาเลือกซื้อชนิดที่ระบุว่าไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในการผลิต ปัจจุบันผู้ผลิตสินค้าบางประเภทเริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าว
- เปิดหน้าต่างบ้างหรือเปล่า บ้านไหนที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศในห้องได้ถ่ายเทบ้าง หรือหากปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามาบ้างสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี และจะดีอย่างยิ่งถ้ามีเครื่องฟอกอากาศ หรือใช้แผ่นดักจับสิ่งแปลกปลอมในอากาศฟิลทรีตชนิดที่ใช้กับ เครื่องปรับอากาศ และต้องไม่ลืมคอยเปลี่ยนแผ่นกรองประจำตามสภาพการใช้งาน เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการกรองอากาศให้ดีอยู่เสมอ
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมดูแลรักษาห้องนอนให้สะอาดอยู่เสมอ จะได้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้.
อากาศที่หายใจเข้าไปทุกขณะ นับว่ามีความสำคัญต่อร่างกาย โดยเฉพาะเวลานอนหลับ บางครั้งเราอาจมองข้ามสิ่งที่เป็นตัวต้นเหตุสำคัญของอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นอาการภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ หลอดลม ทั้งละอองเกสรก็ดี เชื้อรา ฝุ่น ควันบุหรี่ ขี้แมลงสาบ ไอระเหยของสารเคมีล้วนแต่สามารถกระตุ้นภูมิแพ้และส่งผลต่อการเจ็บป่วยของร่างกายในที่สุด
การดูแลห้องนอนให้อยู่ในสภาพที่ถูกสุขลักษณะและปลอดจากสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ ทำได้ง่ายๆ ดังนี้
- ห้องนอนเต็มไปด้วยฝุ่นหรือไม่ การได้หลับพักผ่อนในห้องนอนที่มีอากาศสะอาดปราศจากฝุ่น จะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นหรือฟื้นคืนจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น
- พื้นห้องปูด้วยพรมหรือไม่ นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะพรมจะกลายเป็นแหล่งของไรฝุ่นที่เป็นตัวก่อภูมิแพ้ และดูแลทำความสะอาดได้ยากกว่าพื้นไม้หรือกระเบื้อง
- ชอบสูบบุหรี่ใช้น้ำยาหรือน้ำหอมปรับอากาศ สิ่งเหล่านี้นับเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง
- ซักและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเครื่องนอนบ่อยแค่ไหน ไม่ว่าจะผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้านวม ควรถอดซักได้และควรเปลี่ยนอยู่เสมอ ซักทำความสะอาดด้วยอุณหภูมิที่ไม่ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้จะไม่สามารถฆ่าไรฝุ่นในเครื่องนอนได้
- เลือกใช้อุปกรณ์เครื่องตกแต่งที่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่าน สีทาผนัง ตู้ โต๊ะ พรม ควรพิจารณาเลือกซื้อชนิดที่ระบุว่าไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในการผลิต ปัจจุบันผู้ผลิตสินค้าบางประเภทเริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าว
- เปิดหน้าต่างบ้างหรือเปล่า บ้านไหนที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศในห้องได้ถ่ายเทบ้าง หรือหากปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามาบ้างสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี และจะดีอย่างยิ่งถ้ามีเครื่องฟอกอากาศ หรือใช้แผ่นดักจับสิ่งแปลกปลอมในอากาศฟิลทรีตชนิดที่ใช้กับ เครื่องปรับอากาศ และต้องไม่ลืมคอยเปลี่ยนแผ่นกรองประจำตามสภาพการใช้งาน เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการกรองอากาศให้ดีอยู่เสมอ
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมดูแลรักษาห้องนอนให้สะอาดอยู่เสมอ จะได้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้.
กุญแจสำคัญสู่สุขภาพผิวดี
กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ เพราะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อผิวมากกว่าเครื่องสำอางใดๆ ดังนั้นเราจึงควรเลือกอาหารที่จะช่วยดูแลสุขภาพผิวพรรณอย่างถูกต้อง เช่น
o อาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แคร์รอต ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย
o อาหารอุดมด้วยวิตามินบี เช่น เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ
o อาหารอุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
o อาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น
o น้ำมันปลา ซึ่งมีกรดไขมันโอเมกา-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี
o ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ แม้อารมณ์จะมีความสำคัญโดยอ้อมกับผิวพรรณ แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ เพราะถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่ายจะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย
พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยทำให้ใบหน้าดูสดใสเต่งตึง เนื่องจากผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ การพักผ่อนในที่นี้ยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย เช่น การเล่นโยคะ บริหาร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น ออกกำบังกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อได้ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด
ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ เป็นวิธีช่วยเพิ่มเสน่ห์ของผิวพรรณได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้ผิวสดชื่นปลอดจากเชื้อโรคหรือเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่หากอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้นและควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิว ทำให้ผิวแห้ง หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว
o อาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แคร์รอต ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย
o อาหารอุดมด้วยวิตามินบี เช่น เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ
o อาหารอุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
o อาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น
o น้ำมันปลา ซึ่งมีกรดไขมันโอเมกา-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี
o ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ แม้อารมณ์จะมีความสำคัญโดยอ้อมกับผิวพรรณ แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ เพราะถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่ายจะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย
พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยทำให้ใบหน้าดูสดใสเต่งตึง เนื่องจากผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ การพักผ่อนในที่นี้ยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย เช่น การเล่นโยคะ บริหาร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น ออกกำบังกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อได้ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด
ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ เป็นวิธีช่วยเพิ่มเสน่ห์ของผิวพรรณได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้ผิวสดชื่นปลอดจากเชื้อโรคหรือเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่หากอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้นและควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิว ทำให้ผิวแห้ง หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว
วิธีแก้สุนัขป่วยเบื้องต้น
บ้านไหนที่เลี้ยงสุนัข แล้วสุนัขเกิดมีอาการซึม ไม่กินข้าว วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีแก้เบื้องต้นมาฝากกัน....
เวลาสุนัขป่วย มีอาการซึม ไม่กินข้าว ไม่เล่นเหมือนเดิม จะพาไปหาหมอก็ไกลบ้าน แถมยังต้องเสียเงินอีก
วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น คือ เอาผักบุ้งไทย ที่ต้นสีแดงโคนแก่ๆ มาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยใส่น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ ต้มพองวดแล้วเอามาน้ำมาป้อนสุนัขบ่อยๆ รุ่งเช้ารับรองว่าสามารถวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น แนะนำว่าควรพาสุนัขไปพบหมอจะดีที่สุด
ถ้าสุนัขป่วยครั้งหน้า ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้
เวลาสุนัขป่วย มีอาการซึม ไม่กินข้าว ไม่เล่นเหมือนเดิม จะพาไปหาหมอก็ไกลบ้าน แถมยังต้องเสียเงินอีก
วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น คือ เอาผักบุ้งไทย ที่ต้นสีแดงโคนแก่ๆ มาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยใส่น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ ต้มพองวดแล้วเอามาน้ำมาป้อนสุนัขบ่อยๆ รุ่งเช้ารับรองว่าสามารถวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น แนะนำว่าควรพาสุนัขไปพบหมอจะดีที่สุด
ถ้าสุนัขป่วยครั้งหน้า ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้
เปล่งประกายความงามด้วยดวงตา
วันนี้ขอเอาใจสาวๆที่อยากสวยโดดเด่น สวยเก๋โดยใช้ลูกเล่นจากดวงตาให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต้องเลี้ยงหลัง ด้วยเทคนิคง่ายๆการ Make up ง่ายๆจากการระบายสีบนเปลือกตา ด้วย กฏแห่ง M (The M Rules) ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูขั้นตอนกัน
เริ่มจาก
1. ระบาย สีบนเปลือกตาด้วยไฮไลท์ เบส ทั่วเปลือกตาบน จนถึงโหนกคิ้ว เพื่อปรับสภาพผิวบนเปลือกตาให้ดูเนียนเรียบ และเพื่อให้สีผิวดูส ม่ำเสมอ
2.จากนั้นให้สีสันบนเปลือกตาโดยเริ่มระบายเกลี่ยจากโคนขนตา จนถึงเบ้าตา
3.ระบายสีคมชัดให้ดวงตาดูมีมิติ ด้วยการระบายสีเกลี่ยจากหัวตาเข้ามา และเกลี่ยเพิ่มจากหางตาเข้ามา โดยเว้นบริเวณกึ่งกลางตาไว้ ดังภาพ
4.เติมประกายให้ดวงตาเพิ่มความโดดเด่น โดยระบายเฉพาะกึ่งกลางตาที่เว้นไว้จากขั้นตอนที่สาม
5. สุดท้ายให้ดวงตาดูกลมโต และะได้รูปดูสมส่วนกับใบหน้า ด้วยการเกลี่ยครีมไอลายเนอร์ให้ชิดขนตาบน และหนึ่งส่วนในสามของขอบตาล่างจากหางตา
เริ่มจาก
1. ระบาย สีบนเปลือกตาด้วยไฮไลท์ เบส ทั่วเปลือกตาบน จนถึงโหนกคิ้ว เพื่อปรับสภาพผิวบนเปลือกตาให้ดูเนียนเรียบ และเพื่อให้สีผิวดูส ม่ำเสมอ
2.จากนั้นให้สีสันบนเปลือกตาโดยเริ่มระบายเกลี่ยจากโคนขนตา จนถึงเบ้าตา
3.ระบายสีคมชัดให้ดวงตาดูมีมิติ ด้วยการระบายสีเกลี่ยจากหัวตาเข้ามา และเกลี่ยเพิ่มจากหางตาเข้ามา โดยเว้นบริเวณกึ่งกลางตาไว้ ดังภาพ
4.เติมประกายให้ดวงตาเพิ่มความโดดเด่น โดยระบายเฉพาะกึ่งกลางตาที่เว้นไว้จากขั้นตอนที่สาม
5. สุดท้ายให้ดวงตาดูกลมโต และะได้รูปดูสมส่วนกับใบหน้า ด้วยการเกลี่ยครีมไอลายเนอร์ให้ชิดขนตาบน และหนึ่งส่วนในสามของขอบตาล่างจากหางตา
กฎ 4 ข้อ สู่การเป็นพ่อแม่อย่างสร้างสรรค์
กฎ 4 ข้อ สู่การเป็นพ่อแม่อย่างสร้างสรรค์
ลอร่าชวนคุณพ่อคุณแม่เปิดใจให้กว้าง ฟังความความต้องการของลูกน้อย แทนการฟังใช้ด้วยหูว่าพวกหนูหนูต้องการอะไร เพราะลูกก็มีความปรารถนาเช่นกัน
พ่อแม่ได้สร้างชีวิตของลูก ลูกก็ดูเหมือนจะอยู่ในกำมือของพ่อแม่ แต่ลูกไม่ใช่ลูกไก่ลูกกาที่เราจะ “บีบก็ตายคลายก็รอด” เพราะลูกก็คือคน คนหนึ่งคนที่มีสิทธิ์มีเสียงในการใช้ชีวิตอย่างที่ปรารถนาเช่นกัน เพียงแต่เขายังเสียงไม่ดัง พ่อแม่จึงต้องพยายามใช้หัวใจฟังแทนหูว่าพวกหนูหนูต้องการอะไร
รองศาสตราจารย์ ดร.โจน อี เดอร์แรนท์ นักจิตวิทยาคลินิกเด็กและนักวิชาการสังคมศาสตร์ครอบครัว ประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Positive Discipline : การสร้างวินัยเชิงบวก” จัดทำโดยองค์การช่วยเหลือเด็ก (สวีเดน) : Save the Children (Sweden) ได้อธิบายเอาไว้ว่า
กฎ 4 ข้อซึ่งเป็นรากฐานวิธีคิดให้เป็นขั้นตอนนั้นเมื่อพ่อแม่ค่อยๆ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องแล้วในที่สุดวิธีคิดของท่านก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อยและความชำนาญของท่านก็จะเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ และในที่สุดก็จะกลายเป็นพ่อแม่ที่มีความสร้างสรรค์ดั่งพ่อแม่ในฝันของลูกเลยทีเดียวค่ะ
ตอนที่แล้วได้บอกกฎ 4 ข้อนี้ไปให้ท่านผู้อ่านได้ทราบแล้วและจะขอขยายความอีกสักหน่อยเพื่อความกระจ่างชัดนะคะ ข้อแรก “การวางเป้าหมายระยะยาว” หมายถึงการพิจารณาว่าเราอยากให้เด็กโตขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง หมายถึงสิ่งที่พ่อแม่ต้องการทำให้สำเร็จเมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราอยากให้ลูกโตขึ้นเป็นหมอเป็นทนาย จบดอกเตอร์ ฯลฯ ลองฟังตัวอย่างเหล่านี้ดูนะคะ
เป้าหมายระยะยาวของเราเพื่อลูก เช่น อยากเห็นลูกเป็นคนที่สามารถจัดการกับความเครียดได้ สามารถสื่อสารอย่างเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันได้ จัดการกับความขัดแย้งโดยไม่ใช้การตี ใส่ใจกับความรู้สึกของผู้อื่น ทำงานให้สำเร็จโดยไม่ทำร้ายผู้อื่นทางร่างกายและจิตใจ มีความสามารถที่จะคิดอะไรได้เอง แยกแยะความผิดถูกได้
เป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง อ่อนโยน มุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ มีความพากเพียรที่จะเอาชนะความยากลำบากต่างๆ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความเมตตาและชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นคนที่ซื่อตรงและไว้ใจได้ เป็นผู้ที่ทุ่มเทความรักความเอาใจใส่ให้คู่ครอง เป็นพ่อแม่ที่รักลูก เป็นลูกที่ห่วงใยพ่อแม่ยามแก่เฒ่า เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าในแต่ละวันของพ่อแม่มัวแต่วุ่นวายอยู่กับการจัดการ “เป้าหมายระยะสั้นเฉพาะหน้า” เช่น ให้เด็กๆ ผูกเชือกรองเท้าให้ได้ คิดเลขในใจให้เป็น ทานข้าวให้หมดจานเดี๋ยวนี้ เลิกแกล้งน้องซะที
เหตุการณ์เฉพาะหน้าเหล่านี้ มักทำให้ผู้ใหญ่หมดความอดทนและเครียด และจะนำไปสู่การดุหรือการตีเพื่อให้เด็กๆ ทำตามที่ต้องการ และนี่คือสิ่งที่ยากที่สุดประการหนึ่งในการเลี้ยงดูลูก นั่นก็คือการไปให้ถึงเป้าหมายระยะยาวให้ได้และในขณะเดียวกันก็ทำเป้าหมายระยะสั้นให้สำเร็จด้วย เพราะทั้งสองอย่างนี้มักขัดแย้งกันเสมอ
ลองคิดดูสิว่า เมื่อท่านตะโกนใส่ลูกให้รีบทานข้าวให้หมดจาน ท่านกำลังสอนให้เขาเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมหรือไม่? เมื่อท่านตีลูก ท่านกำลังสอนวิธีแก้ปัญหาให้ลูกหรือไม่?
เด็กๆ กำลังเฝ้าดูพ่อแม่และเรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียดจากการกระทำของเรานั่นเอง ถ้าเราตะโกนดุด่าและตีผู้อื่น เขาก็จะเรียนรู้ว่าต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน ดังนั้น กุญแจของการอบรมสั่งสอนลูกให้ได้ผล คือการมองว่าเหตุการณ์ท้าทายที่เกิดขึ้นนั้นจะนำไปถึงเป้าหมายระยะยาวของเราได้ เอาหละค่ะ วันนี้คุณพ่อคุณแม่นั่งลง จิบชากาแฟสักแก้วแล้วเปิดใจคุยกันถึงเป้าหมายระยะยาวที่อยากให้ลูกของเราเป็น ดีไหมคะ เล่มต่อไป
โปรดติดตามกฎข้อสอง “การให้ความรักความอบอุ่น และ ให้แนวทางที่ชัดเจน” ข้อสาม “เข้าใจวิธีคิดและความรู้สึกของเด็ก” และข้อสี่ “การแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์”
ลอร่าชวนคุณพ่อคุณแม่เปิดใจให้กว้าง ฟังความความต้องการของลูกน้อย แทนการฟังใช้ด้วยหูว่าพวกหนูหนูต้องการอะไร เพราะลูกก็มีความปรารถนาเช่นกัน
พ่อแม่ได้สร้างชีวิตของลูก ลูกก็ดูเหมือนจะอยู่ในกำมือของพ่อแม่ แต่ลูกไม่ใช่ลูกไก่ลูกกาที่เราจะ “บีบก็ตายคลายก็รอด” เพราะลูกก็คือคน คนหนึ่งคนที่มีสิทธิ์มีเสียงในการใช้ชีวิตอย่างที่ปรารถนาเช่นกัน เพียงแต่เขายังเสียงไม่ดัง พ่อแม่จึงต้องพยายามใช้หัวใจฟังแทนหูว่าพวกหนูหนูต้องการอะไร
รองศาสตราจารย์ ดร.โจน อี เดอร์แรนท์ นักจิตวิทยาคลินิกเด็กและนักวิชาการสังคมศาสตร์ครอบครัว ประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Positive Discipline : การสร้างวินัยเชิงบวก” จัดทำโดยองค์การช่วยเหลือเด็ก (สวีเดน) : Save the Children (Sweden) ได้อธิบายเอาไว้ว่า
กฎ 4 ข้อซึ่งเป็นรากฐานวิธีคิดให้เป็นขั้นตอนนั้นเมื่อพ่อแม่ค่อยๆ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องแล้วในที่สุดวิธีคิดของท่านก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อยและความชำนาญของท่านก็จะเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ และในที่สุดก็จะกลายเป็นพ่อแม่ที่มีความสร้างสรรค์ดั่งพ่อแม่ในฝันของลูกเลยทีเดียวค่ะ
ตอนที่แล้วได้บอกกฎ 4 ข้อนี้ไปให้ท่านผู้อ่านได้ทราบแล้วและจะขอขยายความอีกสักหน่อยเพื่อความกระจ่างชัดนะคะ ข้อแรก “การวางเป้าหมายระยะยาว” หมายถึงการพิจารณาว่าเราอยากให้เด็กโตขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง หมายถึงสิ่งที่พ่อแม่ต้องการทำให้สำเร็จเมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราอยากให้ลูกโตขึ้นเป็นหมอเป็นทนาย จบดอกเตอร์ ฯลฯ ลองฟังตัวอย่างเหล่านี้ดูนะคะ
เป้าหมายระยะยาวของเราเพื่อลูก เช่น อยากเห็นลูกเป็นคนที่สามารถจัดการกับความเครียดได้ สามารถสื่อสารอย่างเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันได้ จัดการกับความขัดแย้งโดยไม่ใช้การตี ใส่ใจกับความรู้สึกของผู้อื่น ทำงานให้สำเร็จโดยไม่ทำร้ายผู้อื่นทางร่างกายและจิตใจ มีความสามารถที่จะคิดอะไรได้เอง แยกแยะความผิดถูกได้
เป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง อ่อนโยน มุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ มีความพากเพียรที่จะเอาชนะความยากลำบากต่างๆ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความเมตตาและชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นคนที่ซื่อตรงและไว้ใจได้ เป็นผู้ที่ทุ่มเทความรักความเอาใจใส่ให้คู่ครอง เป็นพ่อแม่ที่รักลูก เป็นลูกที่ห่วงใยพ่อแม่ยามแก่เฒ่า เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าในแต่ละวันของพ่อแม่มัวแต่วุ่นวายอยู่กับการจัดการ “เป้าหมายระยะสั้นเฉพาะหน้า” เช่น ให้เด็กๆ ผูกเชือกรองเท้าให้ได้ คิดเลขในใจให้เป็น ทานข้าวให้หมดจานเดี๋ยวนี้ เลิกแกล้งน้องซะที
เหตุการณ์เฉพาะหน้าเหล่านี้ มักทำให้ผู้ใหญ่หมดความอดทนและเครียด และจะนำไปสู่การดุหรือการตีเพื่อให้เด็กๆ ทำตามที่ต้องการ และนี่คือสิ่งที่ยากที่สุดประการหนึ่งในการเลี้ยงดูลูก นั่นก็คือการไปให้ถึงเป้าหมายระยะยาวให้ได้และในขณะเดียวกันก็ทำเป้าหมายระยะสั้นให้สำเร็จด้วย เพราะทั้งสองอย่างนี้มักขัดแย้งกันเสมอ
ลองคิดดูสิว่า เมื่อท่านตะโกนใส่ลูกให้รีบทานข้าวให้หมดจาน ท่านกำลังสอนให้เขาเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมหรือไม่? เมื่อท่านตีลูก ท่านกำลังสอนวิธีแก้ปัญหาให้ลูกหรือไม่?
เด็กๆ กำลังเฝ้าดูพ่อแม่และเรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียดจากการกระทำของเรานั่นเอง ถ้าเราตะโกนดุด่าและตีผู้อื่น เขาก็จะเรียนรู้ว่าต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน ดังนั้น กุญแจของการอบรมสั่งสอนลูกให้ได้ผล คือการมองว่าเหตุการณ์ท้าทายที่เกิดขึ้นนั้นจะนำไปถึงเป้าหมายระยะยาวของเราได้ เอาหละค่ะ วันนี้คุณพ่อคุณแม่นั่งลง จิบชากาแฟสักแก้วแล้วเปิดใจคุยกันถึงเป้าหมายระยะยาวที่อยากให้ลูกของเราเป็น ดีไหมคะ เล่มต่อไป
โปรดติดตามกฎข้อสอง “การให้ความรักความอบอุ่น และ ให้แนวทางที่ชัดเจน” ข้อสาม “เข้าใจวิธีคิดและความรู้สึกของเด็ก” และข้อสี่ “การแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์”
พ่ออารมณ์บูด ซึมเศร้า อาจทำให้ลูกน้อยร้องไห้ไม่หยุด!!!
ปัญหาลูกน้อยร้องไห้ไม่หยุด เป็นปัญหาพบบ่อยในทารกแรกเกิด ถึงวัย 3 เดือน และเป็นปัญหาที่สร้างความหนักใจให้แก่พ่อแม่มือใหม่ที่เพิ่งมีลูกคนแรกที่ไม่รู้ว่าลูกร้องเพราะอะไร และมักคิดว่าเด็กร้องไห้เพราะหิว เลยจับให้ดูดนม หรือไม่ก็คิดว่าเป็นผลพวงจากอาการ ซึมเศร้าหลังคลอดของแม่ แท้จริงแล้วงานนี้อารมณ์ของ "คุณพ่อ" อาจมีเอี่ยวด้วยก็ได้
กล่าวคือ สภาพจิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรมของคนเป็นพ่อ ก็อาจเป็น "สาเหตุหนึ่ง" ที่ทำให้ลูกน้อยมีอาการร้องไห้ไม่หยุด หรือ ร้องโคลิค (Infantile Colic) ที่ทารกน้อยร้องไห้นานเกินกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลามากกว่า 3 วันใน 1 สัปดาห์
ดอกเตอร์ ไมกี พี.แวน เดน เบิร์ก นักจิตวิทยาศูนย์การแพทย์เอราสมุส เมดิคอล เซนเตอร์ ในเมืองร็อตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้เขียนเล่าในวารสารพีเดียทริคส์ ฉบับเดือนกรกฎาคมว่า จากที่เธอและทีมงานได้ศึกษาถึงเรื่องอาการซึมเศร้าของพ่อแม่ว่า มีผลต่อการที่ทารกน้อยร้องไห้ไม่หยุดอย่างไร โดยศึกษาจากพ่อแม่ที่มีลูกน้อยวัย 2 เดือนจำนวน 4,426 รายที่มีอาการซึมเศร้าในรูปแบบต่างๆ
ปรากฏว่า มีทารกอยู่เพียง 2.5% ที่เข้าข่ายร้องไห้โคลิค และมีพ่อแม่อยู่ 30% ที่ลูกร้องไห้ไม่หยุด และพ่อแม่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการซึมเศร้า
"จากผลการศึกษาที่ออกมาเช่นนี้ ทำให้เราไม่สามารถโทษอาการซึมเศร้าของผู้เป็นแม่ฝ่ายเดียวได้อีกต่อไปแล้ว ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างว่า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ทารกร้องไห้เก่ง ร้องไห้นาน แต่เราคิดว่ายังมีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม อารมณ์ซึมเศร้าของพ่อ หรือปัจจัยแวดล้อมทางอ้อม อย่างเช่น สภาพชีวิตคู่ สภาพความเครียดในครอบครัว และฐานะทางการเงินในครอบครัว"
ในผลการศึกษาที่ได้ ดอกเตอร์ไมกียังบอกด้วยว่า คุณพ่อที่มีอาการซึมเศร้า ซึ่งอาจแสดงออกในรูปแบบต่างๆ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบให้ลูกร้องไห้ไม่หยุด สูงเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับคุณพ่อที่ไม่มีอาการซึมเศร้าใดๆ
"คุณพ่อก็เป็นปัจจัยสำคัญ ดังนั้น ตอนที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การดูแลสภาพจิตใจของผู้ที่กำลังจะเป็นคุณพ่อก็เป็นสิ่งสำคัญ" ดอกเตอร์ไมกีกล่าว
ด้านดอกเตอร์ จอน ชอว์ อาจารย์ และผู้อำนวยการภาควิชาจิตวิทยาวัยรุ่น และเด็กมหาวิทยาลัยแพทย์ไมอามี่ มิลเลอร์ ก็ได้ให้ความเห็นถึงผลการศึกษาของดอกเตอร์ไมกี ว่า "เป็นการชี้ให้เห็นถึงบทบาทความสำคัญของพ่อในวิธีที่แปลกออกไป ที่มีการตรวจดูภาวะซึมเศร้าของพ่อ ระหว่างภรรยาตั้งครรภ์ว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ทารกวัย 2 เดือนร้องไห้ไม่หยุด และยังมีการเชื่อมโยงถึงเรื่องต่างๆ ที่อาจทำให้คุณพ่อเกิดภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อมในครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา บทบาทการเป็นพ่อแม่ แล้วยังอาจมีปัจจัยเรื่องพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องตามที่ผู้เขียนได้ระบุไว้"
สำหรับพ่อแม่คู่ใดที่กำลังประสบปัญหานี้ น่าจะได้ข้อมูลเพิ่ม และลองหาวิธี "ปรับตัว" เริ่มที่ปรับความรู้สึกให้มี "ความสุข" คิดบวกเข้าไว้ เผื่ออะไรจะดีขึ้นนะคะ
กล่าวคือ สภาพจิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรมของคนเป็นพ่อ ก็อาจเป็น "สาเหตุหนึ่ง" ที่ทำให้ลูกน้อยมีอาการร้องไห้ไม่หยุด หรือ ร้องโคลิค (Infantile Colic) ที่ทารกน้อยร้องไห้นานเกินกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลามากกว่า 3 วันใน 1 สัปดาห์
ดอกเตอร์ ไมกี พี.แวน เดน เบิร์ก นักจิตวิทยาศูนย์การแพทย์เอราสมุส เมดิคอล เซนเตอร์ ในเมืองร็อตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้เขียนเล่าในวารสารพีเดียทริคส์ ฉบับเดือนกรกฎาคมว่า จากที่เธอและทีมงานได้ศึกษาถึงเรื่องอาการซึมเศร้าของพ่อแม่ว่า มีผลต่อการที่ทารกน้อยร้องไห้ไม่หยุดอย่างไร โดยศึกษาจากพ่อแม่ที่มีลูกน้อยวัย 2 เดือนจำนวน 4,426 รายที่มีอาการซึมเศร้าในรูปแบบต่างๆ
ปรากฏว่า มีทารกอยู่เพียง 2.5% ที่เข้าข่ายร้องไห้โคลิค และมีพ่อแม่อยู่ 30% ที่ลูกร้องไห้ไม่หยุด และพ่อแม่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการซึมเศร้า
"จากผลการศึกษาที่ออกมาเช่นนี้ ทำให้เราไม่สามารถโทษอาการซึมเศร้าของผู้เป็นแม่ฝ่ายเดียวได้อีกต่อไปแล้ว ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างว่า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ทารกร้องไห้เก่ง ร้องไห้นาน แต่เราคิดว่ายังมีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม อารมณ์ซึมเศร้าของพ่อ หรือปัจจัยแวดล้อมทางอ้อม อย่างเช่น สภาพชีวิตคู่ สภาพความเครียดในครอบครัว และฐานะทางการเงินในครอบครัว"
ในผลการศึกษาที่ได้ ดอกเตอร์ไมกียังบอกด้วยว่า คุณพ่อที่มีอาการซึมเศร้า ซึ่งอาจแสดงออกในรูปแบบต่างๆ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบให้ลูกร้องไห้ไม่หยุด สูงเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับคุณพ่อที่ไม่มีอาการซึมเศร้าใดๆ
"คุณพ่อก็เป็นปัจจัยสำคัญ ดังนั้น ตอนที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การดูแลสภาพจิตใจของผู้ที่กำลังจะเป็นคุณพ่อก็เป็นสิ่งสำคัญ" ดอกเตอร์ไมกีกล่าว
ด้านดอกเตอร์ จอน ชอว์ อาจารย์ และผู้อำนวยการภาควิชาจิตวิทยาวัยรุ่น และเด็กมหาวิทยาลัยแพทย์ไมอามี่ มิลเลอร์ ก็ได้ให้ความเห็นถึงผลการศึกษาของดอกเตอร์ไมกี ว่า "เป็นการชี้ให้เห็นถึงบทบาทความสำคัญของพ่อในวิธีที่แปลกออกไป ที่มีการตรวจดูภาวะซึมเศร้าของพ่อ ระหว่างภรรยาตั้งครรภ์ว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ทารกวัย 2 เดือนร้องไห้ไม่หยุด และยังมีการเชื่อมโยงถึงเรื่องต่างๆ ที่อาจทำให้คุณพ่อเกิดภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อมในครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา บทบาทการเป็นพ่อแม่ แล้วยังอาจมีปัจจัยเรื่องพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องตามที่ผู้เขียนได้ระบุไว้"
สำหรับพ่อแม่คู่ใดที่กำลังประสบปัญหานี้ น่าจะได้ข้อมูลเพิ่ม และลองหาวิธี "ปรับตัว" เริ่มที่ปรับความรู้สึกให้มี "ความสุข" คิดบวกเข้าไว้ เผื่ออะไรจะดีขึ้นนะคะ
เสื้อผ้าคนอ้วนสุดอินเทรนด์ เมื่อสาวเจ้าเนื้ออยากสวย
"ผู้หญิง" กับ "ความสวยความงาม" มักเป็นของคู่กัน เพราะคงไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่อยากสวย ไม่อยากงาม... (จริงไหม) แต่แหม... ถ้ารูปร่างทรวดทรงมันไม่เป็นใจล่ะ? จะสวยได้ไหม หากเป็นสาวเจ้าเนื้อ? แต่งตัวอย่างไร รูปร่างอ้วน ไม่มั่นใจเอาซะเลย...???
ร้อยแปดปัญหากวนใจเมื่อสาวอยากสวย (แต่หุ่นไม่เป็นใจ) ขอบอกว่าเดี๋ยวนี้ทำอะไรสาวๆ ยุคใหม่ไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เขามีเสื้อผ้าแฟชั่นคอลเลคชั่นคนอ้วนดีไซน์ใหม่วางขายกันให้พรึบ ประมาณว่าเสื้อผ้าคนผอมหุ่นดีมีแบบไหน เสื้อผ้าคนอ้วนก็มีเหมือนกันหมด ต่างกันแค่ไซส์ที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น ไซส์ XL, XXL, XXXL, XXXXL ไปจนถึง ไซส์ใหญ่พิเศษก็มีให้เลือกเพียบ ว่าแล้ววันนี้เรามีเสื้อผ้าคนอ้วนแบบเก๋ๆ มาฝากคุณสาวๆ เจ้าเนื้อทั้งหลาย ให้เลือกสวย เลือกใส่กันตามสบายเลยจ้า...
เคล็บลับแต่งสวยง่ายๆ สำหรับสาวเจ้าเนื้อ...
- คนอ้วนลำคอมักจะสั้น วิธีที่จะทำให้ลำคอดูยาวขึ้นนั้น ควรเลือกใส่เสื้อที่เป็นคอเชิ้ต คอวี เพราะจะช่วยเพิ่มความยาวของใบหน้าและลำคอได้ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อคอปิด คอสูง เพราะจะทำให้คอสั้น และหน้าดูใหญ่ขึ้นค่ะ
- อย่าใส่เสื้อผ้าลายขวางและลายดอกใหญ่ๆ เด็ดขาด เพราะจะทำให้ดูอ้วนขึ้นไปอีก ควรเลือกเสื้อผ้าที่เป็นลายตั้งดีกว่า เพราะลายตั้งจะพรางสายตา ทำให้ดูผอมเพรียวเวลาสวมใส่
- หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมเกินไป เพราะจะทำให้คุณดูอ้วนมาก
- เลือกผ้าที่ใส่สบายๆ ไม่หลวมหรือคับแนบเนื้อจนเกินไป
- กางเกงที่เหมาะกับคนอ้วน คือ กางเกงขาม้า เพราะจะทำให้รูปร่างผอมเพรียวขึ้น
- ห้ามเอาเสื้อใส่ในกางเกง หรือกระโปรงเพราะจะยิ่งเน้นสัดส่วนมากขึ้น
ร้อยแปดปัญหากวนใจเมื่อสาวอยากสวย (แต่หุ่นไม่เป็นใจ) ขอบอกว่าเดี๋ยวนี้ทำอะไรสาวๆ ยุคใหม่ไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เขามีเสื้อผ้าแฟชั่นคอลเลคชั่นคนอ้วนดีไซน์ใหม่วางขายกันให้พรึบ ประมาณว่าเสื้อผ้าคนผอมหุ่นดีมีแบบไหน เสื้อผ้าคนอ้วนก็มีเหมือนกันหมด ต่างกันแค่ไซส์ที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น ไซส์ XL, XXL, XXXL, XXXXL ไปจนถึง ไซส์ใหญ่พิเศษก็มีให้เลือกเพียบ ว่าแล้ววันนี้เรามีเสื้อผ้าคนอ้วนแบบเก๋ๆ มาฝากคุณสาวๆ เจ้าเนื้อทั้งหลาย ให้เลือกสวย เลือกใส่กันตามสบายเลยจ้า...
เคล็บลับแต่งสวยง่ายๆ สำหรับสาวเจ้าเนื้อ...
- คนอ้วนลำคอมักจะสั้น วิธีที่จะทำให้ลำคอดูยาวขึ้นนั้น ควรเลือกใส่เสื้อที่เป็นคอเชิ้ต คอวี เพราะจะช่วยเพิ่มความยาวของใบหน้าและลำคอได้ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อคอปิด คอสูง เพราะจะทำให้คอสั้น และหน้าดูใหญ่ขึ้นค่ะ
- อย่าใส่เสื้อผ้าลายขวางและลายดอกใหญ่ๆ เด็ดขาด เพราะจะทำให้ดูอ้วนขึ้นไปอีก ควรเลือกเสื้อผ้าที่เป็นลายตั้งดีกว่า เพราะลายตั้งจะพรางสายตา ทำให้ดูผอมเพรียวเวลาสวมใส่
- หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมเกินไป เพราะจะทำให้คุณดูอ้วนมาก
- เลือกผ้าที่ใส่สบายๆ ไม่หลวมหรือคับแนบเนื้อจนเกินไป
- กางเกงที่เหมาะกับคนอ้วน คือ กางเกงขาม้า เพราะจะทำให้รูปร่างผอมเพรียวขึ้น
- ห้ามเอาเสื้อใส่ในกางเกง หรือกระโปรงเพราะจะยิ่งเน้นสัดส่วนมากขึ้น
เคล็ดลับดูสุริยุปราคา
ดวงตาปลอดภัย
ในการเสวนาทางวิชาการของสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่จัดให้แก่สมาชิก และครู อาจารย์ที่สนใจ เรื่อง สุริยุปราคาเต็มดวงแห่งศตวรรษ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ได้มีการแนะนำถึงวิธีการดูปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ครั้งสำคัญนี้ให้ปลอดภัยต่อดวงตา
นายสิทธิชัย จันทรศิลปิน นักวิชาการศึกษา ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้อง ฟ้าจำลอง) กรุงเทพฯ ได้แนะเคล็ดลับการ ดูสุริยุปราคาให้ปลอดภัยต่อดวงตาว่า วิธีดูสุริยุปราคาที่ง่ายและดีที่สุด ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ราคาถูกหรือแพงนั่นก็คือ ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ลดแสงจ้า อย่าดูนาน เพราะแสงอาทิตย์มีความรุนแรงและมีรังสีที่อันตรายต่อดวงตา หากจ้องมองนาน ๆ เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต จักษุแพทย์บอกว่า เซลล์จอตาสามารถสร้างทดแทนขึ้นมาได้ หากไม่โดนทำลายอย่างรุนแรง
วิธีการดูสุริยุปราคาที่ดีที่สุด นอกจากต้องใช้อุปกรณ์แล้ว ขณะดูให้นับหนึ่งถึงห้า แล้วหยุด มองสีเขียวหรือบรรยากาศทั่วไป เพื่อให้สายตาได้พัก แล้วค่อยดูใหม่ ก็นับหนึ่งถึงห้าอีกเช่นกัน
อุปกรณ์ที่จะใช้ดูนั้น นักวิชาการจากท้องฟ้าจำลองบอกว่าถ้าทุนน้อยก็ใช้วิธีการแบบคนโบราณ ก็คือ เอากระจกใสมารมควันเทียนให้มืดสนิท วิธีตรวจสอบก็คือ เอากระจกที่รมควันเทียนมาส่องดูหน้าคน หากยังมองทะลุก็ต้องรมควันเทียนอีกที ให้แน่ใจว่ามองหน้าใครไม่เห็นแล้ว จึงจะเอาไปส่องดูดวงอาทิตย์ได้ แต่ก็มีข้อควรระวังก็คือ ต้องไม่ให้เกิดริ้วรอยขีดข่วนหรือรอยนิ้วมือบนบริเวณที่รมควัน เพราะจะทำให้แสงเล็ดลอดเข้ามาทำอันตรายต่อดวงตาได้ ต้องพึงระวังหากนำไปใช้กับเด็ก ๆ
ใช้ฟิล์มถ่ายรูปขาวดำ วิธีการดั้งเดิมก็คือ ดึงฟิล์มออกจากกลักให้โดนแสงสว่างแล้วนำมาติดบนกระดาษแผ่นใหญ่ที่เจาะรูไว้แล้ว ให้กระดาษช่วยบังแสง แต่ในยุคการถ่ายรูปดิจิทัล ฟิล์มขาวดำกลายเป็นของหายากไปแล้ว
ฟิล์มเอกซเรย์ที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว เป็นอันตรายมากหากใช้ทั้งแผ่น เพราะแสงเล็ดลอดผ่านจุดที่มีภาพถ่าย ต้องใช้บริเวณขอบสีดำ ตัดออกมาเฉพาะส่วนนั้น หากนำมาส่องหน้าคนแล้วยังมองเห็นกันอยู่ก็ตัดมาซ้อนกันหลาย ๆ แผ่น จนกว่าจะมองไม่เห็นใคร จึงจะใช้มองดวงอาทิตย์ได้อย่างปลอดภัย
หากมีตังค์มากหน่อยก็ใช้แผ่นไมลาร์ ซึ่งเคลือบโลหะพิเศษมาปิดหน้ากล้อง แต่ก็อาจจะทำให้แสงโคโรน่าของอาทิตย์ไม่สวย ห้ามนำกล้องดูดาวมาใช้ส่องดูดวงอาทิตย์ เพราะเลนส์กล้องดูดาวเป็นจุดรวมแสง ทำให้ตาบอดได้ ต้องใช้แผ่นไมลาร์ปิดเลนส์ก่อน แต่ขณะใช้ก็ต้อง ระมัดระวังไม่ให้แผ่นไมลาร์เลื่อนหลุด
กล้องรูเข็มก็เป็นอีกวิธี เพียงแค่เจาะ รูกระดาษแล้วดูผ่านฉากจะช่วยถนอมสายตา ได้ หรือใช้วิธีอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หากในช่วงเกิด สุริยุปราคา เราจะเห็นแสงลอดใบไม้เว้าแหว่งตามแสงดวงอาทิตย์ เวลาถ่ายรูปจะเกิดความสวยงามแบบแปลก ๆ ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้
อุปกรณ์ที่ห้ามนำมาใช้เด็ดขาดก็คือ แว่นกันแดด ไม่ว่าจะใช้เลนส์สีเข้มแค่ไหน ก็เป็นอันตรายต่อดวงตา หากนำมาใช้มองดวงอาทิตย์
แต่ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์แบบไหน ก็ต้องไม่ลืมกฎที่ว่า ลดแสงจ้า อย่าดูนาน ทุกครั้งที่ดูสุริยุปราคา ให้นับหนึ่งถึงห้าแล้วหยุดพักสายตา แล้วค่อยมาดูใหม่ใช้วิธีการเดิม
เช้าวันพุธที่ 22 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 07.00-09.00 น. หากอยู่ในภาคเหนือ เช่น เชียง ราย ก็จะมีโอกาสเห็นสุริยุปราคาบางส่วนมากหน่อย เห็นดวงอาทิตย์แหว่งถึง 69% ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ จะเห็นดวงอาทิตย์แหว่งเพียง 42% ถ้าอยากดูแบบเต็มดวงก็ต้องไปอยู่ในบางพื้นที่ของประเทศจีน ซึ่งโชคดีที่เป็นพื้นที่ในเงามืด ทำให้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงแห่งศตวรรษนาน 6 นาที 39 วินาที
เช้าวันพุธ ถ้าอากาศเป็นใจ ไม่มีเมฆฝนมาบัง เราจะได้เห็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ครั้งสำคัญ หากทำงานดึก นอนตื่นสาย ก็ตัดใจตื่นเช้ากันสักวันน่า.
สุริยคราส ดิจิทัล
ปรากฏการณ์สุริยุปราคาครั้งล่าสุดที่จะเกิดขึ้น และคนไทย (อาจ) มีโอกาสได้ชมในวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ จะแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่มีเทคโนโลยีการถ่ายภาพพัฒนาสู่ระบบดิจิทัล ช่วยให้การบันทึกเหตุการณ์ทำได้ง่าย ฉับไว ด้วยคุณภาพที่ไม่ด้อยกว่าฟิล์มโดยเฉพาะยามที่กล้องดิจิทัลเป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพที่แพร่หลาย อยู่ในมือคนรักการถ่ายภาพทุกระดับ ทุกเพศ วัย ครั้งนี้จึงน่าจะมีคนอยากถ่ายภาพกันเป็นจำนวนมากการชมปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ดับมีข้อควรระวังที่กำชับนักหนาว่า อย่าดูดวงอาทิตย์โดยตรง เพราะมีอันตราย การถ่ายภาพก็ต้องเคร่งครัดกับหลักเดียวกัน
ถ้าไม่ระวังกล้องก็พังได้
ดร.ชวาล คูร์พิพัฒน์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีทางการพิมพ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่า กล้องดิจิทัลทั้งแบบสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว (เอสแอลอาร์) และคอมแพ็กต์ถ่ายสุริยคราสได้เหมือนกันแต่ยาก ต้องหลีกเลี่ยงการเล็งดวงอาทิตย์โดยตรง โดยใช้ฟิล์มที่ดำสนิทปิดปกป้องทั้งเลนส์และดวงตา ควรเป็นฟิล์มลิธ (Lith) ที่ใช้ในการเตรียมสิ่งพิมพ์ใช้แล้ว ซึ่งขอหรือขอซื้อจากร้านทำแม่พิมพ์ “ห้ามใช้ฟิล์มสไลด์” เพราะดำไม่พอ เป็นอันตรายแก่ลูกตาได้
การถ่ายภาพก็ควรใช้ไอเอสโอ (ค่าความไวแสงต่ำ) กดชัตเตอร์ถ่ายแล้ว ลองเปิดย้อนดู หากไม่พอดีก็ปรับ กล้องคอมแพ็กต์ก็ทำได้ แต่จะขลุกขลักหน่อยตอนใช้ฟิล์มบังตะวัน
นักถ่ายภาพอีกคน วรนันท์ ชัชวาลทิพากร ผู้ได้รับรางวัล นักถ่ายภาพอันดับ 1 ของโลก ประเภทภาพท่องเที่ยว จากสมาคมถ่ายภาพแห่งอเมริกา (PSA) แนะนำว่า ให้ใช้ฟิลเตอร์สีเทาเข้ม เปิดช่องรับแสงแคบ ๆ เลือกไอเอสโอต่ำ และไม่ควรเล็งหรือตั้งกล้องให้หันเข้าหาดวงอาทิตย์นาน เพราะเลนส์จะรวมแสงเข้าที่ระบบวัดแสงทำให้กล้องเสียหายได้ วิธีป้องกัน หลังจากถ่ายสัก 2-3 ช็อตให้เปลี่ยนกล้องไปทางอื่น
ส่วน สงคราม โพธิวิไล นักถ่ายภาพ ผู้บรรยายการถ่ายภาพหลายสถาบัน กล่าวย้ำเช่นกันว่า อย่าเล็งกล้องที่ดวงอาทิตย์นาน เพราะจะมีผลต่อระบบวัดแสง โดยเฉพาะตอนตั้งกล้องทิ้งไว้ ไม่ควรหันไปทางดวงอาทิตย์ หากจะทำเช่นนั้นให้ใช้หมวกหรือฝาครอบเลนส์ปิด สำหรับฟิลเตอร์เพื่อการถ่ายภาพให้ใช้เอ็นดี 8 หากไม่มี ก็ซื้อฟิล์มขาวดำขนาด 120 ส่งล้างห้องมืดโดยไม่ต้องถ่ายเพื่อให้ได้ฟิล์มดำมาปิดหน้าเลนส์
การถ่ายภาพควรใช้ขาตั้งกล้อง เปิดช่องรับแสงแคบกล้องคอมแพ็กต์ก็ถ่ายได้ด้วยหลัก เดียวกันเมื่อจะถ่ายให้ยกกล้องไปทางดวงอาทิตย์แล้วกดชัตเตอร์โดยไม่ต้องเล็ง เปิดดูภาพ ไม่พอใจก็ปรับกล้อง ถ่าย ใหม่.
ในการเสวนาทางวิชาการของสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่จัดให้แก่สมาชิก และครู อาจารย์ที่สนใจ เรื่อง สุริยุปราคาเต็มดวงแห่งศตวรรษ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ได้มีการแนะนำถึงวิธีการดูปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ครั้งสำคัญนี้ให้ปลอดภัยต่อดวงตา
นายสิทธิชัย จันทรศิลปิน นักวิชาการศึกษา ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้อง ฟ้าจำลอง) กรุงเทพฯ ได้แนะเคล็ดลับการ ดูสุริยุปราคาให้ปลอดภัยต่อดวงตาว่า วิธีดูสุริยุปราคาที่ง่ายและดีที่สุด ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ราคาถูกหรือแพงนั่นก็คือ ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ลดแสงจ้า อย่าดูนาน เพราะแสงอาทิตย์มีความรุนแรงและมีรังสีที่อันตรายต่อดวงตา หากจ้องมองนาน ๆ เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต จักษุแพทย์บอกว่า เซลล์จอตาสามารถสร้างทดแทนขึ้นมาได้ หากไม่โดนทำลายอย่างรุนแรง
วิธีการดูสุริยุปราคาที่ดีที่สุด นอกจากต้องใช้อุปกรณ์แล้ว ขณะดูให้นับหนึ่งถึงห้า แล้วหยุด มองสีเขียวหรือบรรยากาศทั่วไป เพื่อให้สายตาได้พัก แล้วค่อยดูใหม่ ก็นับหนึ่งถึงห้าอีกเช่นกัน
อุปกรณ์ที่จะใช้ดูนั้น นักวิชาการจากท้องฟ้าจำลองบอกว่าถ้าทุนน้อยก็ใช้วิธีการแบบคนโบราณ ก็คือ เอากระจกใสมารมควันเทียนให้มืดสนิท วิธีตรวจสอบก็คือ เอากระจกที่รมควันเทียนมาส่องดูหน้าคน หากยังมองทะลุก็ต้องรมควันเทียนอีกที ให้แน่ใจว่ามองหน้าใครไม่เห็นแล้ว จึงจะเอาไปส่องดูดวงอาทิตย์ได้ แต่ก็มีข้อควรระวังก็คือ ต้องไม่ให้เกิดริ้วรอยขีดข่วนหรือรอยนิ้วมือบนบริเวณที่รมควัน เพราะจะทำให้แสงเล็ดลอดเข้ามาทำอันตรายต่อดวงตาได้ ต้องพึงระวังหากนำไปใช้กับเด็ก ๆ
ใช้ฟิล์มถ่ายรูปขาวดำ วิธีการดั้งเดิมก็คือ ดึงฟิล์มออกจากกลักให้โดนแสงสว่างแล้วนำมาติดบนกระดาษแผ่นใหญ่ที่เจาะรูไว้แล้ว ให้กระดาษช่วยบังแสง แต่ในยุคการถ่ายรูปดิจิทัล ฟิล์มขาวดำกลายเป็นของหายากไปแล้ว
ฟิล์มเอกซเรย์ที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว เป็นอันตรายมากหากใช้ทั้งแผ่น เพราะแสงเล็ดลอดผ่านจุดที่มีภาพถ่าย ต้องใช้บริเวณขอบสีดำ ตัดออกมาเฉพาะส่วนนั้น หากนำมาส่องหน้าคนแล้วยังมองเห็นกันอยู่ก็ตัดมาซ้อนกันหลาย ๆ แผ่น จนกว่าจะมองไม่เห็นใคร จึงจะใช้มองดวงอาทิตย์ได้อย่างปลอดภัย
หากมีตังค์มากหน่อยก็ใช้แผ่นไมลาร์ ซึ่งเคลือบโลหะพิเศษมาปิดหน้ากล้อง แต่ก็อาจจะทำให้แสงโคโรน่าของอาทิตย์ไม่สวย ห้ามนำกล้องดูดาวมาใช้ส่องดูดวงอาทิตย์ เพราะเลนส์กล้องดูดาวเป็นจุดรวมแสง ทำให้ตาบอดได้ ต้องใช้แผ่นไมลาร์ปิดเลนส์ก่อน แต่ขณะใช้ก็ต้อง ระมัดระวังไม่ให้แผ่นไมลาร์เลื่อนหลุด
กล้องรูเข็มก็เป็นอีกวิธี เพียงแค่เจาะ รูกระดาษแล้วดูผ่านฉากจะช่วยถนอมสายตา ได้ หรือใช้วิธีอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หากในช่วงเกิด สุริยุปราคา เราจะเห็นแสงลอดใบไม้เว้าแหว่งตามแสงดวงอาทิตย์ เวลาถ่ายรูปจะเกิดความสวยงามแบบแปลก ๆ ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้
อุปกรณ์ที่ห้ามนำมาใช้เด็ดขาดก็คือ แว่นกันแดด ไม่ว่าจะใช้เลนส์สีเข้มแค่ไหน ก็เป็นอันตรายต่อดวงตา หากนำมาใช้มองดวงอาทิตย์
แต่ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์แบบไหน ก็ต้องไม่ลืมกฎที่ว่า ลดแสงจ้า อย่าดูนาน ทุกครั้งที่ดูสุริยุปราคา ให้นับหนึ่งถึงห้าแล้วหยุดพักสายตา แล้วค่อยมาดูใหม่ใช้วิธีการเดิม
เช้าวันพุธที่ 22 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 07.00-09.00 น. หากอยู่ในภาคเหนือ เช่น เชียง ราย ก็จะมีโอกาสเห็นสุริยุปราคาบางส่วนมากหน่อย เห็นดวงอาทิตย์แหว่งถึง 69% ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ จะเห็นดวงอาทิตย์แหว่งเพียง 42% ถ้าอยากดูแบบเต็มดวงก็ต้องไปอยู่ในบางพื้นที่ของประเทศจีน ซึ่งโชคดีที่เป็นพื้นที่ในเงามืด ทำให้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงแห่งศตวรรษนาน 6 นาที 39 วินาที
เช้าวันพุธ ถ้าอากาศเป็นใจ ไม่มีเมฆฝนมาบัง เราจะได้เห็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ครั้งสำคัญ หากทำงานดึก นอนตื่นสาย ก็ตัดใจตื่นเช้ากันสักวันน่า.
สุริยคราส ดิจิทัล
ปรากฏการณ์สุริยุปราคาครั้งล่าสุดที่จะเกิดขึ้น และคนไทย (อาจ) มีโอกาสได้ชมในวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ จะแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่มีเทคโนโลยีการถ่ายภาพพัฒนาสู่ระบบดิจิทัล ช่วยให้การบันทึกเหตุการณ์ทำได้ง่าย ฉับไว ด้วยคุณภาพที่ไม่ด้อยกว่าฟิล์มโดยเฉพาะยามที่กล้องดิจิทัลเป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพที่แพร่หลาย อยู่ในมือคนรักการถ่ายภาพทุกระดับ ทุกเพศ วัย ครั้งนี้จึงน่าจะมีคนอยากถ่ายภาพกันเป็นจำนวนมากการชมปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ดับมีข้อควรระวังที่กำชับนักหนาว่า อย่าดูดวงอาทิตย์โดยตรง เพราะมีอันตราย การถ่ายภาพก็ต้องเคร่งครัดกับหลักเดียวกัน
ถ้าไม่ระวังกล้องก็พังได้
ดร.ชวาล คูร์พิพัฒน์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีทางการพิมพ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่า กล้องดิจิทัลทั้งแบบสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว (เอสแอลอาร์) และคอมแพ็กต์ถ่ายสุริยคราสได้เหมือนกันแต่ยาก ต้องหลีกเลี่ยงการเล็งดวงอาทิตย์โดยตรง โดยใช้ฟิล์มที่ดำสนิทปิดปกป้องทั้งเลนส์และดวงตา ควรเป็นฟิล์มลิธ (Lith) ที่ใช้ในการเตรียมสิ่งพิมพ์ใช้แล้ว ซึ่งขอหรือขอซื้อจากร้านทำแม่พิมพ์ “ห้ามใช้ฟิล์มสไลด์” เพราะดำไม่พอ เป็นอันตรายแก่ลูกตาได้
การถ่ายภาพก็ควรใช้ไอเอสโอ (ค่าความไวแสงต่ำ) กดชัตเตอร์ถ่ายแล้ว ลองเปิดย้อนดู หากไม่พอดีก็ปรับ กล้องคอมแพ็กต์ก็ทำได้ แต่จะขลุกขลักหน่อยตอนใช้ฟิล์มบังตะวัน
นักถ่ายภาพอีกคน วรนันท์ ชัชวาลทิพากร ผู้ได้รับรางวัล นักถ่ายภาพอันดับ 1 ของโลก ประเภทภาพท่องเที่ยว จากสมาคมถ่ายภาพแห่งอเมริกา (PSA) แนะนำว่า ให้ใช้ฟิลเตอร์สีเทาเข้ม เปิดช่องรับแสงแคบ ๆ เลือกไอเอสโอต่ำ และไม่ควรเล็งหรือตั้งกล้องให้หันเข้าหาดวงอาทิตย์นาน เพราะเลนส์จะรวมแสงเข้าที่ระบบวัดแสงทำให้กล้องเสียหายได้ วิธีป้องกัน หลังจากถ่ายสัก 2-3 ช็อตให้เปลี่ยนกล้องไปทางอื่น
ส่วน สงคราม โพธิวิไล นักถ่ายภาพ ผู้บรรยายการถ่ายภาพหลายสถาบัน กล่าวย้ำเช่นกันว่า อย่าเล็งกล้องที่ดวงอาทิตย์นาน เพราะจะมีผลต่อระบบวัดแสง โดยเฉพาะตอนตั้งกล้องทิ้งไว้ ไม่ควรหันไปทางดวงอาทิตย์ หากจะทำเช่นนั้นให้ใช้หมวกหรือฝาครอบเลนส์ปิด สำหรับฟิลเตอร์เพื่อการถ่ายภาพให้ใช้เอ็นดี 8 หากไม่มี ก็ซื้อฟิล์มขาวดำขนาด 120 ส่งล้างห้องมืดโดยไม่ต้องถ่ายเพื่อให้ได้ฟิล์มดำมาปิดหน้าเลนส์
การถ่ายภาพควรใช้ขาตั้งกล้อง เปิดช่องรับแสงแคบกล้องคอมแพ็กต์ก็ถ่ายได้ด้วยหลัก เดียวกันเมื่อจะถ่ายให้ยกกล้องไปทางดวงอาทิตย์แล้วกดชัตเตอร์โดยไม่ต้องเล็ง เปิดดูภาพ ไม่พอใจก็ปรับกล้อง ถ่าย ใหม่.
ดูแลเล็บด้วยนมสด
ทราบหรือไม่ว่า นมสดที่ดื่มกันเป็นประจำ สามารถทำให้สุขภาพเล็บแข็งแรงได้ วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...
การทำเล็บบ่อย ๆ จะทำให้สุขภาพเล็บไม่แข็งแรง เช่น เล็บอ่อน เล็บเปราะบาง หรือ เล็บเหลือง แต่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยนมสด
วิธีทำ คือ นำนมสดมา 1 กล่อง เทใส่แก้วหรือภาชนะสำหรับนำไปอุ่นให้ร้อนกว่าอุณหภูมิปกติ จากนั้นนำเล็บลงไปแช่ในนมสด ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงสำหรับนิ้วมือและเล็บตามปกติ
เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเล็บใครที่อยากมีเล็บแข็งแรง สุขภาพดี
ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้
การทำเล็บบ่อย ๆ จะทำให้สุขภาพเล็บไม่แข็งแรง เช่น เล็บอ่อน เล็บเปราะบาง หรือ เล็บเหลือง แต่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยนมสด
วิธีทำ คือ นำนมสดมา 1 กล่อง เทใส่แก้วหรือภาชนะสำหรับนำไปอุ่นให้ร้อนกว่าอุณหภูมิปกติ จากนั้นนำเล็บลงไปแช่ในนมสด ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงสำหรับนิ้วมือและเล็บตามปกติ
เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเล็บใครที่อยากมีเล็บแข็งแรง สุขภาพดี
ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้
คลายเครียดตามเดือนเกิด
ถ้ารู้สึกปวดหัวเล็ก ๆ อาจเป็นเพราะความเครียดมาเยี่ยมอย่างไม่รู้ตัว หากลองมาแล้วทุกวิธีก็ยังไม่หายเซ็ง ลองอ่านดูนะ
มกราคม คุณเป็นคนที่เห็นทุกสิ่งในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง ทำให้ความเครียดสะสมมากไปหน่อย เอาเป็นว่า... เจียดเวลา Relax ด้วยการเล่นกีฬาโปรดดูบ้าง หรือถ้าไม่ว่างจริงๆ การอาบน้ำด้วยครีมสมุนไพรก็พอจะช่วยให้เธอผ่อนคลายได้เหมือนกันจ๊ะ
กุมภาพันธ์ คุณเป็นคนที่เครียดได้ง่ายมากๆ ถึงเธอจะไม่โวยวาย แต่ก็เก็บความโกรธไว้ การผ่อนคลายที่เหมาะกับเธอคือ การได้อยู่คนเดียวเงียบๆ หรือทำกิจกรรมส่วนตัว หรือไม่ก็เล่น Internet ท่องโลกกว้าง
มีนาคม คุณเป็นคนที่อ่อนไหว และชอบยกหัวใจให้อยุ่ในกำมือของคนอื่น การคาดหวังมากเกินไปอาจทำให้เสียจิต คิดแล้วก็เครียด การผ่อนคลายของคุณ ควรเป็นการเล่นดนตรี หรือไม่ก็วาดภาพ แต่ถ้ามีเวลาสั้นๆ ก้อแค่เอาตัวลงไปจุ่มในน้ำเย็น ๆ แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว
เมษายน คุณเป็นคนที่มีสมาธิในการทำงานมาก จนบางครั้งลืมขยับเขยื้อนร่างกาย ทำให้อาการเมื่อยเข้าครอบงำ วิธีผ่อนคลายคือ การได้ออกแรงมากๆ กับกีฬาผาดโผน หรือไปเล่นเครื่องเล่นเสี่ยงตายในสวนสนุก มันจะทำให้สมองของคุณโล่งขึ้นค่ะ
พฤษภาคม คุณเป็นคนที่มีสารเครียดอยู่ในร่างกายพอสมควร รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง หัวใจที่เพิ่มไม่ได้ทำให้เป็นคนหลายใจ แต่ทำให้คุณเข้ากับคนอื่นได้มากขึ้น วิธีผ่อนคลายของคุณคือ การได้เดินดูของสวยๆงามๆ ก็ทำให้รีแลกซ์แล้วค่ะ
มิถุนายน คุณเป็นคนชอบพบปะผู้คน ดังนั้นถ้าเธอรู้สึกเครียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร meeting กับเพื่อนน่าจะเป็นวิธีผ่อนคลายที่ดีที่สุดของคุณ หรือไม่ก็ window shopping เดินดูของสวย ๆ งาม ๆ ค่ะ
กรกฎาคม สิ่งที่ทำให้คุณเครียดที่สุดก็คือ เรื่องการเดินทาง หรือต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เพราะคุณเป็นคนเหนื่อยง่าย แถมถ้าเหนื่อยใจยิ่งแย่ไหญ่ การผ่อนคลายของคุณน่าจะเป็นการได้เล่นกับสัตว์เลี้ยง ปลูกต้นไม้ หรือไม่ก็หลับยาวไปเลยก็ได้นะ เลือกเอาค่ะ
สิงหาคม เรื่องที่ทำให้คุณเครียดมากที่สุดก็คือ ความพ่ายแพ้หรือล้มเหลว เพราะคุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ชอบแพ้ใครแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ วิธีผ่อนคลายของคุณคือการได้ดูหนัง ฟังเพลง ช้อป ดื่ม กิน เที่ยว ของใช้ทุกอย่างต้องดูดีมีระดับ แค่นั้นมันก้อทำให้เธอหายเครียดไปเยอะแล้ว
กันยายน การได้นอนเกลือกกลิ้งอยู่กับคนรัก มันก็เป็นการผ่อนคลายที่มีความสุขของคุณแล้วล่ะค่ะ อิ อิ อิ
ตุลาคม สิ่งที่ทำให้คุณเครียดได้ ก็คือความเหงา อ้างว้างเดียวดาย แค่ได้วุ่นวายกับเสื้อผ้า แต่งหน้า ทำผม แบบโน้นแบบนี้ ก็เป็นการผ่อนคลายสำหรับคุณแล้วค่ะ
พฤศจิกายน คุณเป็นคนที่เกิดอาการเครียดได้บ่อยเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องความรักจะหนักที่สุด การผ่อนคลายของคุณ น่าจะเป็นการอ่านหนังสือนิยายรัก กุ๊กกิ๊ก ก็ช่วยได้เหมือนกันนะคะ
ธันวาคม สิ่งที่ทำให้คุณเครียดก็คือ การที่ต้องทนอยู่กันอะไรนานๆ เพราะคุณเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ออกแนวไฮเปอร์หน่อยๆ การผ่อนคลายของคุณคือการได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ไม่งั้นก็อ่านหนังสือแบบไม่จำกัดแนว ก็ช่วยให้สมองเธอปลอดโปร่งได้นะ
มกราคม คุณเป็นคนที่เห็นทุกสิ่งในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง ทำให้ความเครียดสะสมมากไปหน่อย เอาเป็นว่า... เจียดเวลา Relax ด้วยการเล่นกีฬาโปรดดูบ้าง หรือถ้าไม่ว่างจริงๆ การอาบน้ำด้วยครีมสมุนไพรก็พอจะช่วยให้เธอผ่อนคลายได้เหมือนกันจ๊ะ
กุมภาพันธ์ คุณเป็นคนที่เครียดได้ง่ายมากๆ ถึงเธอจะไม่โวยวาย แต่ก็เก็บความโกรธไว้ การผ่อนคลายที่เหมาะกับเธอคือ การได้อยู่คนเดียวเงียบๆ หรือทำกิจกรรมส่วนตัว หรือไม่ก็เล่น Internet ท่องโลกกว้าง
มีนาคม คุณเป็นคนที่อ่อนไหว และชอบยกหัวใจให้อยุ่ในกำมือของคนอื่น การคาดหวังมากเกินไปอาจทำให้เสียจิต คิดแล้วก็เครียด การผ่อนคลายของคุณ ควรเป็นการเล่นดนตรี หรือไม่ก็วาดภาพ แต่ถ้ามีเวลาสั้นๆ ก้อแค่เอาตัวลงไปจุ่มในน้ำเย็น ๆ แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว
เมษายน คุณเป็นคนที่มีสมาธิในการทำงานมาก จนบางครั้งลืมขยับเขยื้อนร่างกาย ทำให้อาการเมื่อยเข้าครอบงำ วิธีผ่อนคลายคือ การได้ออกแรงมากๆ กับกีฬาผาดโผน หรือไปเล่นเครื่องเล่นเสี่ยงตายในสวนสนุก มันจะทำให้สมองของคุณโล่งขึ้นค่ะ
พฤษภาคม คุณเป็นคนที่มีสารเครียดอยู่ในร่างกายพอสมควร รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง หัวใจที่เพิ่มไม่ได้ทำให้เป็นคนหลายใจ แต่ทำให้คุณเข้ากับคนอื่นได้มากขึ้น วิธีผ่อนคลายของคุณคือ การได้เดินดูของสวยๆงามๆ ก็ทำให้รีแลกซ์แล้วค่ะ
มิถุนายน คุณเป็นคนชอบพบปะผู้คน ดังนั้นถ้าเธอรู้สึกเครียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร meeting กับเพื่อนน่าจะเป็นวิธีผ่อนคลายที่ดีที่สุดของคุณ หรือไม่ก็ window shopping เดินดูของสวย ๆ งาม ๆ ค่ะ
กรกฎาคม สิ่งที่ทำให้คุณเครียดที่สุดก็คือ เรื่องการเดินทาง หรือต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เพราะคุณเป็นคนเหนื่อยง่าย แถมถ้าเหนื่อยใจยิ่งแย่ไหญ่ การผ่อนคลายของคุณน่าจะเป็นการได้เล่นกับสัตว์เลี้ยง ปลูกต้นไม้ หรือไม่ก็หลับยาวไปเลยก็ได้นะ เลือกเอาค่ะ
สิงหาคม เรื่องที่ทำให้คุณเครียดมากที่สุดก็คือ ความพ่ายแพ้หรือล้มเหลว เพราะคุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ชอบแพ้ใครแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ วิธีผ่อนคลายของคุณคือการได้ดูหนัง ฟังเพลง ช้อป ดื่ม กิน เที่ยว ของใช้ทุกอย่างต้องดูดีมีระดับ แค่นั้นมันก้อทำให้เธอหายเครียดไปเยอะแล้ว
กันยายน การได้นอนเกลือกกลิ้งอยู่กับคนรัก มันก็เป็นการผ่อนคลายที่มีความสุขของคุณแล้วล่ะค่ะ อิ อิ อิ
ตุลาคม สิ่งที่ทำให้คุณเครียดได้ ก็คือความเหงา อ้างว้างเดียวดาย แค่ได้วุ่นวายกับเสื้อผ้า แต่งหน้า ทำผม แบบโน้นแบบนี้ ก็เป็นการผ่อนคลายสำหรับคุณแล้วค่ะ
พฤศจิกายน คุณเป็นคนที่เกิดอาการเครียดได้บ่อยเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องความรักจะหนักที่สุด การผ่อนคลายของคุณ น่าจะเป็นการอ่านหนังสือนิยายรัก กุ๊กกิ๊ก ก็ช่วยได้เหมือนกันนะคะ
ธันวาคม สิ่งที่ทำให้คุณเครียดก็คือ การที่ต้องทนอยู่กันอะไรนานๆ เพราะคุณเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ออกแนวไฮเปอร์หน่อยๆ การผ่อนคลายของคุณคือการได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ไม่งั้นก็อ่านหนังสือแบบไม่จำกัดแนว ก็ช่วยให้สมองเธอปลอดโปร่งได้นะ
4 เคล็ดลับติดอาวุธเสริมความมั่นใจ
เราอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า ความมั่นใจ เป็นเสน่ห์หรือความเซ็กซี่อย่างหนึ่งของผู้หญิงบ่อยๆ แต่สาวๆจะทำอย่างไร เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นสาวมั่นได้หล่ะ เพราะแค่พูดใครๆก็พูดได้ แต่จะให้ทำจริง ก็ยากอยู่
วันนี้เราจึงมี 4 เคล็ดลับง่ายๆในการเพิ่มเการะความเป็นสาวมั่นให้คุณ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือบุคลิกภายนอกเท่านั้นเอง
เริ่มจาก 1.การยืนตัวตรงคุณ ลักษณธที่ไม่พึประสงค์อย่างหนึ่งของคุณผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นตำราเสริมความ มั่นฉบับไหนก็ตาม นั่นก็คือ การยืนตัวงอ หรือหลังค่อม หลังงอนั่นเอง ดังนั้นเพื่อให้เดทแรกของคุณเป้นไปอย่างสมบูรณ์แบบ คุณต้องไม่ลืมหันกลับมาใส่ใจกับบุคลิกเล็กๆน้อยๆนี้ด้วย จำไว้ว่าดันไหล่ของคุณไปด้านหลัง แล้วเชิดคางขึ้นนิดๆ ที่สำคัญคือคุณต้องยิ้มและมองสบตากับคุณที่คุณกำลังสนทนาด้วย
2.การพูดด้วยเสียงเบาๆ และนุ่มนวลใน การสนทนา หรือพูดคุยแต่ละครั้ง คุณไม่จำเป็นต้องตะโกนหรือตะเบ็งเสียง แต่ควรใช้การพูดที่นุ่มนวล แต่มีน้ำเสียงที่หนักแน่น เพราะนั่นจะเป้นการบ่งชี้ว่าคุณสามารถควบคุมตัวเองและควบคุมสถานการณ์ได้โดย การสื่อผ่านคำพูดของคุณ จำไว้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องเสียงดังที่สุดในห้อง เพียงเพราะต้องการแสดงความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองให้คนอื่นเห็น
3.เป็นผู้หญิงคิดบวกจำ ไว้ว่่าถ้าคุณไม่มีอะไรที่ดีๆจะพูด ก็อย่าพูดเลยดีกว่า พยายามอดกลั้นและควบคุมอาการเป็นคนขี้บ่นไว้ คุณไม่ควรพร่ำแต่พูดว่า “คุณมีภาระหน้าที่กี่สิ่งอย่างที่ต้องทำ หรือ คุณมีเวลาว่างน้อยแค่ไหน” เพราะคำพูดเหล่านี้เป็นการสะท้อนถึงทัศนคติส่วนตัวของคุณที่ไม่สามารถควบคุม ตัวเองได้ จำไว้้ว่าคุณจะดูมีเสน่ห์มากกว่า หากคุณเลือกที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่าจะพูดจนน้ำไหลไฟดับ
4.อย่าพยายามหรือทำอะไรที่ดูจงใจมากจนเกินไปการ พยายามหรือทำอะไรที่ดูเกินธรรมชาติเพื่อสร้างความประทับใจในเดทแรก เพราะนั่นอาจเป็นการส่งสัญญาณกลายๆว่าคุณเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง จำไว้ว่าไม่ว่าคุณจะชอบหรือประทับใจคู่เดทของคุณมากเท่าไหร่ ก็ต้องพยายามแสดงออกประหนึ่งว่าเขาเป็นเพียงเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น
วันนี้เราจึงมี 4 เคล็ดลับง่ายๆในการเพิ่มเการะความเป็นสาวมั่นให้คุณ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือบุคลิกภายนอกเท่านั้นเอง
เริ่มจาก 1.การยืนตัวตรงคุณ ลักษณธที่ไม่พึประสงค์อย่างหนึ่งของคุณผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นตำราเสริมความ มั่นฉบับไหนก็ตาม นั่นก็คือ การยืนตัวงอ หรือหลังค่อม หลังงอนั่นเอง ดังนั้นเพื่อให้เดทแรกของคุณเป้นไปอย่างสมบูรณ์แบบ คุณต้องไม่ลืมหันกลับมาใส่ใจกับบุคลิกเล็กๆน้อยๆนี้ด้วย จำไว้ว่าดันไหล่ของคุณไปด้านหลัง แล้วเชิดคางขึ้นนิดๆ ที่สำคัญคือคุณต้องยิ้มและมองสบตากับคุณที่คุณกำลังสนทนาด้วย
2.การพูดด้วยเสียงเบาๆ และนุ่มนวลใน การสนทนา หรือพูดคุยแต่ละครั้ง คุณไม่จำเป็นต้องตะโกนหรือตะเบ็งเสียง แต่ควรใช้การพูดที่นุ่มนวล แต่มีน้ำเสียงที่หนักแน่น เพราะนั่นจะเป้นการบ่งชี้ว่าคุณสามารถควบคุมตัวเองและควบคุมสถานการณ์ได้โดย การสื่อผ่านคำพูดของคุณ จำไว้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องเสียงดังที่สุดในห้อง เพียงเพราะต้องการแสดงความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองให้คนอื่นเห็น
3.เป็นผู้หญิงคิดบวกจำ ไว้ว่่าถ้าคุณไม่มีอะไรที่ดีๆจะพูด ก็อย่าพูดเลยดีกว่า พยายามอดกลั้นและควบคุมอาการเป็นคนขี้บ่นไว้ คุณไม่ควรพร่ำแต่พูดว่า “คุณมีภาระหน้าที่กี่สิ่งอย่างที่ต้องทำ หรือ คุณมีเวลาว่างน้อยแค่ไหน” เพราะคำพูดเหล่านี้เป็นการสะท้อนถึงทัศนคติส่วนตัวของคุณที่ไม่สามารถควบคุม ตัวเองได้ จำไว้้ว่าคุณจะดูมีเสน่ห์มากกว่า หากคุณเลือกที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่าจะพูดจนน้ำไหลไฟดับ
4.อย่าพยายามหรือทำอะไรที่ดูจงใจมากจนเกินไปการ พยายามหรือทำอะไรที่ดูเกินธรรมชาติเพื่อสร้างความประทับใจในเดทแรก เพราะนั่นอาจเป็นการส่งสัญญาณกลายๆว่าคุณเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง จำไว้ว่าไม่ว่าคุณจะชอบหรือประทับใจคู่เดทของคุณมากเท่าไหร่ ก็ต้องพยายามแสดงออกประหนึ่งว่าเขาเป็นเพียงเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น
19 ก.ค. 2552
เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี
น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ไม่เพียงพอ
การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก "วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท" อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Complete Guide to Healing Foods กล่าว "ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้"
นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง
6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน
"โปรตีนในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์ และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี่" นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล" พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว
"แต่จัดว่ามีผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับ คอลเรสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน" นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยัง พบว่า การทานไข่ช่วยลดคอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้
6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้านได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์" ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟองอาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพเป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น
การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก "วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท" อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Complete Guide to Healing Foods กล่าว "ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้"
นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง
6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน
"โปรตีนในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์ และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี่" นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล" พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว
"แต่จัดว่ามีผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับ คอลเรสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน" นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยัง พบว่า การทานไข่ช่วยลดคอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้
6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้านได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์" ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟองอาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพเป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น
เป็นตะคริว...ทำอย่างไรดี
ไม่ใช่เฉพาะนักกีฬาเท่านั้นที่มักเป็นตะคริวที่น่องหรือที่กล้ามเนื้อต้นขา บางคนมักเป็นตะคริวตอนกลางคืนซึ่งเจ็บปวดทรมานจนทำให้รบกวนการนอนหลับ
สาเหตุของตะคริว อาจเกิดจากการเสียเหงื่อมากจนทำให้ร่างกายต้องการแมกนีเซียม โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์หรือเกิดจากร่างกายต้องทำงานหนัก (ออกกำลังกาย) และมีความเครียดสะสมมานาน นอกจากนี้ก็อาจเกิดจากร่างกายสูญเสียเกลือแร่ ซึ่งเกิดจากการกินยาบางชนิด อาเจียน หรือท้องเสียเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือโรคเบาหวานก็สามารถทำให้ร่างกายขาดแมกนีเซียมได้ แต่สาเหตุที่พบบ่อยคือ การกินอาหารชนิดเดียวซ้ำๆ ซากๆ การไดเอ็ท และการขาดน้ำ
สูญเสียเหงื่อมากกับการออกกำลังกาย จำเป็นต้องให้ร่างกายมีความสมดุลเมื่อสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม จึงต้องเติมน้ำและเกลือแร่ให้แก่ร่างกาย ที่สำคัญคือร่างกายควรได้รับแมกนีเซียมวันละประมาณ 300 มิลลิกรัม
เล่นเทนนิส ไม่ขาดแมกนีเซียมแต่มักเป็นตะคริว ก็ต้องถามว่าดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ เพราะเมื่อมีเหงื่อออกร่างกายก็จะสูญเสียทั้งน้ำและเกลือแร่ อาจทำให้เซลล์กล้ามเนื้อขาดน้ำ ส่งผลให้เป็นตะคริว จึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยที่สุดวันละประมาณ 1.5 ลิตร หากออกกำลังกายก็ให้ใส่เกลือลงไปในน้ำเล็กน้อย (มีโซเดียม) หากออกกำลังกายมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็เป็นไปได้ว่าตะคริวเกิดจากการขาดแมกนีเซียมและโซเดียม
กินกล้วยช่วยป้องกันตะคริวได้มั้ย กล้วยมีสาระสำคัญๆ มากมาย เช่น โพแทสเซียมและแมกนีเซียมแต่มันต้องใช้เวลานานกว่าจะดูดซึมเข้าเส้นเลือด หากเกิดตะคริวก็ต้องรีบช่วยตัวเองอย่างเร่งด่วน วิธีที่ดีที่สุดคือ ยืดเหยียด นวด และประคบร้อนบริเวณที่เป็นตะคริว
กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อยควรไปพบแพทย์มั้ย หากเป็นตะคริวบ่อยและเกิดขึ้นเกือบทุกเวลาก็ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากโรคบางชนิดหรือหากมีคนในครอบครัวเป็นตะคริวก็อาจเกิดจากพันธุกรรม
ป้องกันตะคริวได้อย่างไร เราควรบริหารเท้าทุกวัน ยืดเหยียดและบริหารกล้ามเนื้อน่องและเท้า นวดและประคบร้อนหรือเย็น ทดลองดูว่าแบบใดได้ผลดีกับคุณ หลายคนที่เป็นตะคริวมักใช้หมอนวางใต้เข่าเวลานอนและรู้สึกดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากล้ามเนื้อจะต้องได้รับการยืดเหยียดอย่างเร่งด่วน
สาเหตุของตะคริว อาจเกิดจากการเสียเหงื่อมากจนทำให้ร่างกายต้องการแมกนีเซียม โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์หรือเกิดจากร่างกายต้องทำงานหนัก (ออกกำลังกาย) และมีความเครียดสะสมมานาน นอกจากนี้ก็อาจเกิดจากร่างกายสูญเสียเกลือแร่ ซึ่งเกิดจากการกินยาบางชนิด อาเจียน หรือท้องเสียเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือโรคเบาหวานก็สามารถทำให้ร่างกายขาดแมกนีเซียมได้ แต่สาเหตุที่พบบ่อยคือ การกินอาหารชนิดเดียวซ้ำๆ ซากๆ การไดเอ็ท และการขาดน้ำ
สูญเสียเหงื่อมากกับการออกกำลังกาย จำเป็นต้องให้ร่างกายมีความสมดุลเมื่อสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม จึงต้องเติมน้ำและเกลือแร่ให้แก่ร่างกาย ที่สำคัญคือร่างกายควรได้รับแมกนีเซียมวันละประมาณ 300 มิลลิกรัม
เล่นเทนนิส ไม่ขาดแมกนีเซียมแต่มักเป็นตะคริว ก็ต้องถามว่าดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ เพราะเมื่อมีเหงื่อออกร่างกายก็จะสูญเสียทั้งน้ำและเกลือแร่ อาจทำให้เซลล์กล้ามเนื้อขาดน้ำ ส่งผลให้เป็นตะคริว จึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยที่สุดวันละประมาณ 1.5 ลิตร หากออกกำลังกายก็ให้ใส่เกลือลงไปในน้ำเล็กน้อย (มีโซเดียม) หากออกกำลังกายมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็เป็นไปได้ว่าตะคริวเกิดจากการขาดแมกนีเซียมและโซเดียม
กินกล้วยช่วยป้องกันตะคริวได้มั้ย กล้วยมีสาระสำคัญๆ มากมาย เช่น โพแทสเซียมและแมกนีเซียมแต่มันต้องใช้เวลานานกว่าจะดูดซึมเข้าเส้นเลือด หากเกิดตะคริวก็ต้องรีบช่วยตัวเองอย่างเร่งด่วน วิธีที่ดีที่สุดคือ ยืดเหยียด นวด และประคบร้อนบริเวณที่เป็นตะคริว
กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อยควรไปพบแพทย์มั้ย หากเป็นตะคริวบ่อยและเกิดขึ้นเกือบทุกเวลาก็ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากโรคบางชนิดหรือหากมีคนในครอบครัวเป็นตะคริวก็อาจเกิดจากพันธุกรรม
ป้องกันตะคริวได้อย่างไร เราควรบริหารเท้าทุกวัน ยืดเหยียดและบริหารกล้ามเนื้อน่องและเท้า นวดและประคบร้อนหรือเย็น ทดลองดูว่าแบบใดได้ผลดีกับคุณ หลายคนที่เป็นตะคริวมักใช้หมอนวางใต้เข่าเวลานอนและรู้สึกดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากล้ามเนื้อจะต้องได้รับการยืดเหยียดอย่างเร่งด่วน
ความลับของรอยยิ้ม
ความลับของรอยยิ้ม
คนเรามักละเลยที่จะหาความสุขจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว
"มันเป็นเช้าที่หม่นหมองที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของฉัน หลังจากมีปัญหากับสามีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่เขาตกงาน ในที่สุดเราก็แยกทางกันอีกครั้ง (ถ้านับจากครั้งล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว) ปัญหาเศรษฐกิจสำหรับตัวฉันและลูกชายที่เพิ่งครบขวบคงไม่เลวร้ายไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะตั้งแต่สามีตกงาน เงินทั้งหมดที่ใช้จ่ายในบ้าน ก็คือรายได้จากเงินเดือนเสมียนของฉัน การเลิกร้างกับสามีครั้งนี้ทำให้ฉันปวดร้าวลึกซึ้งกว่าสมัยสาวๆ เสียอีก ถ้าจะพูดให้โอเวอร์ก็เรียกได้ว่าหัวใจสลายโดยสิ้นเชิง"
ปลายเสียงของพิมาลาแผ่วเบา เมื่อเล่าถึงความทรงจำที่เจ็บปวดในครั้งนั้น แต่สิ่งที่เธอตั้งใจจะเล่าไม่ใช่ความขมขื่นในชีวิต แม่ลูกหนึ่งวัยสามสิบปลายๆ คนนี้ เล่าตอนสำคัญของเรื่องด้วยดวงตาที่แจ่มใสขึ้น
"ไม่รู้สิ..อะไรๆ มันดูแย่ไปหมด ฟ้าขมุกขมัวทั้งๆ ที่เป็นตอนเช้าแท้ๆ บ้านก็ดูสกปรกรกรุงรัง สิ่งแรกที่ฉันคิดได้ในเช้าวันนั้นก็คือ ต้องทำความสะอาดบ้าน แล้วฉันก็ลงมือตามใจคิด คว้าเครื่องดูดฝุ่นได้ก็ไถๆๆๆ กลับไปกลับมาทั่วห้อง และจมอยู่กับงานเต็มที่"
ไม่น่าเชื่อว่าดวงตาของเธอมีประกายของความสุขเห็นชัดเมื่อเล่าถึงตรงนี้
"ตอนนั้นล่ะค่ะ พอฉันเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ ฉันก็เห็นลูกชายที่เพิ่งหัดเดินของฉันยืนอยู่ใกล้ๆ ในมือแกมีเครื่องดูดฝุ่นของเล่นที่คงจะใช้ถูเลียนแบบฉันอยู่ ลูกจ้องฉันด้วยดวงตาใสแจ๋วอย่างไร้เดียงสา วินาทีนั้นแหละที่ฉันรู้สึกว่า ไม่อยากได้อะไรจากชีวิตอีกแล้ว นอกจากความสุขจากการใช้ชีวิตชั่วขณะนั้นกับลูกชายของฉัน"
รู้ตื่น รู้เบิกบาน
คนเราส่วนใหญ่เป็นเหมือนพิมาลา คือเหมาเอาว่า เราไม่มีความสุขตลอดเวลา เมื่อคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้ไม่มีความสุขเข้าจริงๆ ลองทบทวนดูอีกทีว่า มีใครที่ไหนที่จะมีความสุขทั้ง 24 ชั่วโมง ความสุขจะค่อยๆ ปะติดประต่อจากเศษเล็กเสี้ยวน้อยในแต่ละวันต่างหากเล่า ความลับของความสุขอยู่ตรงนี้ อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง ในเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของการดำเนินชีวิต ณ ขณะปัจจุบัน เหมือนความสุขที่เจ้าหนูวัยเตาะแตะ ได้จากการทำงานด้วยเครื่องดูดฝุ่นของเล่น
ศาสนาพุทธเรียกการตระหนักรู้ในปัจจุบันว่า "สติสัมปชัญญะ" คือการดำรงอยู่อย่างตระหนักรู้เท่าทันปัจจุบัน หรืออยู่อย่างมีชีวิตจิตใจ รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ และรู้สึกอย่างไร เป็นภาวะที่จิตไม่คิดกังวลถึงสิ่งใดเว้นแต่ขณะที่เรากำลังเป็นอยู่เท่านั้น "ชีวิตมีอยู่จริงในปัจจุบันขณะนี้เท่านั้น ปัจจุบันเป็นที่รวมทั้งอดีตและอนาคต ทำปัจจุบันให้ดีก็หมายถึงเราแก้อดีตได้ที่ผลของอดีต คือปัจจุบัน เราทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็ไม่ต้องกังวลใจ
เรามีกายที่เคลื่อนไหวแต่ใจนิ่งจากความขุ่นมัว ในเมื่อชีวิตมันมีอยู่จริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้จึงเป็นขณะที่เราควรจะดูแลมันให้มีความสุขที่สุด" แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ผู้ปฏิบัติธรรมที่มุ่งใช้แนวคิดทางศาสนาเพื่อพัฒนาบุคคลและชุมชน ให้ความหมายที่กระจ่างชัดของจิตที่เป็นสุข ซึ่งอาศัยหลักคิดจากพุทธศาสนา
เมื่อปัจจุบันเต็มเปี่ยมและจิตใจไม่ถูกรบกวนจากอะไรก็ตาม นอกเหนือจากนั้น การรับรู้ถึงการสัมผัสกับธรรมชาติ ตลอดจนผู้คนที่อยู่รอบตัว นั่นคือความสุข ถ้าจะมีกุญแจใดๆ ในการนำไปสู่ความสุข มันก็คือการใส่ใจและเต็มอิ่มต่อปัจจุบัน และสร้างสรรค์โอกาสเช่นนี้ในชีวิตให้มากขึ้นเรื่อยๆ คนมักเข้าใจความหมายของความสุขผิดไปอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังที่เกินจริง หรือการวิ่งหาความสุขจากสิ่งอื่นๆ ภายนอกจิตใจตัวเอง จึงเป็นเรื่องเศร้าเมื่อคิดว่าชีวิตคู่ที่ใกล้จะล้มเหลวคงจะมีความสุขขึ้น ถ้าได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่กลับไม่เคยเป็นสุขเลยเมื่อเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตัวเอง
ความสุขอยู่หนใด
นักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างสูงคนหนึ่ง ค้นพบว่าความสุขที่แท้จริงของเธอไม่ได้อยู่ที่การขึ้นสู่จุดสูงสุดของหน้าที่การงาน แต่กลับเป็นเรื่องเล็กน้อยจนน่าแปลกใจ "ตอนเย็นเมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน และยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้กลมในครัว เฝ้ามองลูกสาววัย 11 ขวบ กำลังอุ้มเจ้าหนูแฮมสเตอร์ไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับแปรงขนยาวนุ่มของมันอย่างทะนุถนอม ข้างๆ เธอคือ น้องชายวัย 8 ขวบ ที่มีดวงตาถอดแบบมาจากฉัน มันเหมือนกำลังดูภาพฉายจากภาพยนตร์มากกว่าจะเป็นความจริง เวลาเหมือนถูกทำให้นิ่งสนิท ฉันมองดูเด็กๆ และตระหนักว่าไม่มีสถานที่ใดในโลกจะมีความหมายมากกว่าที่นี่"
ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
สัญญาณของภาวะไร้สุขนั้นอาจเบาบางจนเกือบสังเกตุไม่เห็น แต่สัญญาณนั้นก็มีอยู่จริง ความรู้สึกไม่พึงพอใจต่อชีวิต อาจแสดงออกในรูปแบบของการทำให้ตัวเองยุ่งอยู่เสมอ เพื่อกลบเกลื่อนความเศร้านั้นไว้ หรือทำลายความเงียบด้วยการเปิดโทรทัศน์หรือวิทยุไว้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องการรับรู้อย่างแท้จริง เป็นแต่เพียงการเหนี่ยวรั้งตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ อาการอื่นๆ ที่สังเกตได้ ยังออกมาในรูปของความผิดปกติในการกิน เช่น อาจจะกินหรือดื่มมากเกินไปเพื่อขจัดความเครียด หรือแม้แต่การมีชีวิตอยู่อย่างซังกะตายกับสามีและลูกๆ
และส่วนที่ปรากฏทางความคิด อาจเกิดขึ้นในรูปของการมีมุมมองที่เย้ยหยันต่อโลก คือมองมันในแง่ร้ายทั้งหมด สิ่งเหล่านี้อาจเกิดจากความผิดหวังหรือสูญเสียในอดีต ซึ่งความปวดร้าวนั้นทำให้จมจ่อมอยู่กับมันจนลืมสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ความรู้สึกอบอุ่นอย่างเต็มเปี่ยมต่อการได้ยืนจ้องลูกๆ ที่รักในห้องครัว ดังกรณีของนักธุรกิจหญิงผู้เป็นแม่ คงเกิดขึ้นไม่ได้หากเธอเป็นแม่ที่มีปัญหาหรือมีความโกรธต่อบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ
น.พ.บัณฑิต ศรไพศาล จิตแพทย์ประจำศูนย์สุขภาพจิต กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และคอลัมนิสต์ตอบปัญหาสุขภาพจิตผู้มีชื่อเสียง อธิบายถึงสาเหตุและการสังเกตสัญญาณต่างๆ ของภาวะไร้สุขไว้ว่า "คนเราจะมีความสุขต่อเมื่อบรรลุความต้องการ คือมีความสมดุลระหว่างความต้องการกับความสามารถ เมื่อไหร่ที่ความต้องการมีมากกว่าความสามารถก็ไม่มีความสุข"
แต่ถ้าความต้องการไม่มากกว่าความสามารถ หมายความว่าสามารถไปถึงความต้องการได้ ก็จะได้ความสุข มันคล้ายกับการยกของ ถ้าเกินกำลังก็ไม่มีความสุข เพราะมันหนักเกินกว่าร่างกายและจิตใจจะรับไหว เหมือนยกของหนักมากมันก็จะกดดันเป็นธรรมดา ซึ่งจะเกิดปรากฏการณ์ที่แสดงออกทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์
อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ มีตั้งแต่ปวดหัว นอนไม่หลับ ใจสั่น ท้องผูก กินไม่ได้ น้ำหนักลด หรืออาจจะกินมากเกินไปก็ได้ รวมทั้งอาจจะมีอาการชา ตามมือตามเท้า ตาพร่า คือมันเกิดขึ้นได้กับทุกระบบ เพราะมันมาจากจิตใจซึ่งส่งผลต่อสมอง แต่ถ้าเป็นเฉพาะระบบใดระบบหนึ่งก็อาจเป็นโรคทางกาย แต่ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยทางกายอะไรแล้วแสดงอาการพร้อมกันหลายอย่าง ก็เป็นได้ว่าอาจมาจากจิตใจ ซึ่งแต่ละคนก็แสดงออกมาไม่เหมือนกัน
บางคนออกด้านอารมณ์ หงุดหงิด งุ่นง่าน เซ็ง โมโหง่าย หรือเศร้าซึมท้อแท้ แต่ถ้าเป็นด้านพฤติกรรมก็อาจจะมีอาการนอนไม่หลับ หรือกินอยู่ตลอดเวลา มันก็แล้วแต่ว่าจริตใครจะออกแบบไหน ลองถามตัวเองว่า ความพลาดหวังในอดีตหรือความปวดร้าวใดๆ ก็ตาม คุกคามเราอยู่กี่ปี สอง สาม หรือสิบปี ทำไมต้องปล่อยให้มันมีอิทธิพลมากมายถึงเพียงนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ใจเศร้าหมองจนพลาดโอกาสสำคัญๆ ที่งดงามในชีวิตปัจจุบันไปเท่านั้น มันยังส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายให้แปรปรวนได้อย่างน่ากลัว ให้มันจบลงเสียทีดีไหม
สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อเติมปัจจุบันให้เต็ม และสามารถรื่นรมย์กับชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น คือการแก้ปัญหาที่ส่งผลมาจากความเศร้าในอดีตเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบำบัด การออกกำลังกาย หรือวิธีใดๆ ก็ตาม ที่จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ในชีวิต สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ใจเป็นสุขได้ คือ การช่วยเหลือผู้ที่กำลังอยู่ในความทุกข์ หรือแม้แต่การให้เล็กๆ น้อยๆ ต่อผู้คนรอบข้างในชีวิตประจำวัน เพราะนอกจากจะทำให้ความเจ็บปวดเบาบางลงแล้ว คุณค่าความหมายจากการได้ให้ ยังเป็นความสุขที่ส่งต่อกันได้เหมือนการล้มของโดมิโน
คนเรามักละเลยที่จะหาความสุขจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว
"มันเป็นเช้าที่หม่นหมองที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของฉัน หลังจากมีปัญหากับสามีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่เขาตกงาน ในที่สุดเราก็แยกทางกันอีกครั้ง (ถ้านับจากครั้งล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว) ปัญหาเศรษฐกิจสำหรับตัวฉันและลูกชายที่เพิ่งครบขวบคงไม่เลวร้ายไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะตั้งแต่สามีตกงาน เงินทั้งหมดที่ใช้จ่ายในบ้าน ก็คือรายได้จากเงินเดือนเสมียนของฉัน การเลิกร้างกับสามีครั้งนี้ทำให้ฉันปวดร้าวลึกซึ้งกว่าสมัยสาวๆ เสียอีก ถ้าจะพูดให้โอเวอร์ก็เรียกได้ว่าหัวใจสลายโดยสิ้นเชิง"
ปลายเสียงของพิมาลาแผ่วเบา เมื่อเล่าถึงความทรงจำที่เจ็บปวดในครั้งนั้น แต่สิ่งที่เธอตั้งใจจะเล่าไม่ใช่ความขมขื่นในชีวิต แม่ลูกหนึ่งวัยสามสิบปลายๆ คนนี้ เล่าตอนสำคัญของเรื่องด้วยดวงตาที่แจ่มใสขึ้น
"ไม่รู้สิ..อะไรๆ มันดูแย่ไปหมด ฟ้าขมุกขมัวทั้งๆ ที่เป็นตอนเช้าแท้ๆ บ้านก็ดูสกปรกรกรุงรัง สิ่งแรกที่ฉันคิดได้ในเช้าวันนั้นก็คือ ต้องทำความสะอาดบ้าน แล้วฉันก็ลงมือตามใจคิด คว้าเครื่องดูดฝุ่นได้ก็ไถๆๆๆ กลับไปกลับมาทั่วห้อง และจมอยู่กับงานเต็มที่"
ไม่น่าเชื่อว่าดวงตาของเธอมีประกายของความสุขเห็นชัดเมื่อเล่าถึงตรงนี้
"ตอนนั้นล่ะค่ะ พอฉันเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ ฉันก็เห็นลูกชายที่เพิ่งหัดเดินของฉันยืนอยู่ใกล้ๆ ในมือแกมีเครื่องดูดฝุ่นของเล่นที่คงจะใช้ถูเลียนแบบฉันอยู่ ลูกจ้องฉันด้วยดวงตาใสแจ๋วอย่างไร้เดียงสา วินาทีนั้นแหละที่ฉันรู้สึกว่า ไม่อยากได้อะไรจากชีวิตอีกแล้ว นอกจากความสุขจากการใช้ชีวิตชั่วขณะนั้นกับลูกชายของฉัน"
รู้ตื่น รู้เบิกบาน
คนเราส่วนใหญ่เป็นเหมือนพิมาลา คือเหมาเอาว่า เราไม่มีความสุขตลอดเวลา เมื่อคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้ไม่มีความสุขเข้าจริงๆ ลองทบทวนดูอีกทีว่า มีใครที่ไหนที่จะมีความสุขทั้ง 24 ชั่วโมง ความสุขจะค่อยๆ ปะติดประต่อจากเศษเล็กเสี้ยวน้อยในแต่ละวันต่างหากเล่า ความลับของความสุขอยู่ตรงนี้ อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง ในเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของการดำเนินชีวิต ณ ขณะปัจจุบัน เหมือนความสุขที่เจ้าหนูวัยเตาะแตะ ได้จากการทำงานด้วยเครื่องดูดฝุ่นของเล่น
ศาสนาพุทธเรียกการตระหนักรู้ในปัจจุบันว่า "สติสัมปชัญญะ" คือการดำรงอยู่อย่างตระหนักรู้เท่าทันปัจจุบัน หรืออยู่อย่างมีชีวิตจิตใจ รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ และรู้สึกอย่างไร เป็นภาวะที่จิตไม่คิดกังวลถึงสิ่งใดเว้นแต่ขณะที่เรากำลังเป็นอยู่เท่านั้น "ชีวิตมีอยู่จริงในปัจจุบันขณะนี้เท่านั้น ปัจจุบันเป็นที่รวมทั้งอดีตและอนาคต ทำปัจจุบันให้ดีก็หมายถึงเราแก้อดีตได้ที่ผลของอดีต คือปัจจุบัน เราทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็ไม่ต้องกังวลใจ
เรามีกายที่เคลื่อนไหวแต่ใจนิ่งจากความขุ่นมัว ในเมื่อชีวิตมันมีอยู่จริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้จึงเป็นขณะที่เราควรจะดูแลมันให้มีความสุขที่สุด" แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ผู้ปฏิบัติธรรมที่มุ่งใช้แนวคิดทางศาสนาเพื่อพัฒนาบุคคลและชุมชน ให้ความหมายที่กระจ่างชัดของจิตที่เป็นสุข ซึ่งอาศัยหลักคิดจากพุทธศาสนา
เมื่อปัจจุบันเต็มเปี่ยมและจิตใจไม่ถูกรบกวนจากอะไรก็ตาม นอกเหนือจากนั้น การรับรู้ถึงการสัมผัสกับธรรมชาติ ตลอดจนผู้คนที่อยู่รอบตัว นั่นคือความสุข ถ้าจะมีกุญแจใดๆ ในการนำไปสู่ความสุข มันก็คือการใส่ใจและเต็มอิ่มต่อปัจจุบัน และสร้างสรรค์โอกาสเช่นนี้ในชีวิตให้มากขึ้นเรื่อยๆ คนมักเข้าใจความหมายของความสุขผิดไปอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังที่เกินจริง หรือการวิ่งหาความสุขจากสิ่งอื่นๆ ภายนอกจิตใจตัวเอง จึงเป็นเรื่องเศร้าเมื่อคิดว่าชีวิตคู่ที่ใกล้จะล้มเหลวคงจะมีความสุขขึ้น ถ้าได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่กลับไม่เคยเป็นสุขเลยเมื่อเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตัวเอง
ความสุขอยู่หนใด
นักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างสูงคนหนึ่ง ค้นพบว่าความสุขที่แท้จริงของเธอไม่ได้อยู่ที่การขึ้นสู่จุดสูงสุดของหน้าที่การงาน แต่กลับเป็นเรื่องเล็กน้อยจนน่าแปลกใจ "ตอนเย็นเมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน และยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้กลมในครัว เฝ้ามองลูกสาววัย 11 ขวบ กำลังอุ้มเจ้าหนูแฮมสเตอร์ไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับแปรงขนยาวนุ่มของมันอย่างทะนุถนอม ข้างๆ เธอคือ น้องชายวัย 8 ขวบ ที่มีดวงตาถอดแบบมาจากฉัน มันเหมือนกำลังดูภาพฉายจากภาพยนตร์มากกว่าจะเป็นความจริง เวลาเหมือนถูกทำให้นิ่งสนิท ฉันมองดูเด็กๆ และตระหนักว่าไม่มีสถานที่ใดในโลกจะมีความหมายมากกว่าที่นี่"
ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
สัญญาณของภาวะไร้สุขนั้นอาจเบาบางจนเกือบสังเกตุไม่เห็น แต่สัญญาณนั้นก็มีอยู่จริง ความรู้สึกไม่พึงพอใจต่อชีวิต อาจแสดงออกในรูปแบบของการทำให้ตัวเองยุ่งอยู่เสมอ เพื่อกลบเกลื่อนความเศร้านั้นไว้ หรือทำลายความเงียบด้วยการเปิดโทรทัศน์หรือวิทยุไว้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องการรับรู้อย่างแท้จริง เป็นแต่เพียงการเหนี่ยวรั้งตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ อาการอื่นๆ ที่สังเกตได้ ยังออกมาในรูปของความผิดปกติในการกิน เช่น อาจจะกินหรือดื่มมากเกินไปเพื่อขจัดความเครียด หรือแม้แต่การมีชีวิตอยู่อย่างซังกะตายกับสามีและลูกๆ
และส่วนที่ปรากฏทางความคิด อาจเกิดขึ้นในรูปของการมีมุมมองที่เย้ยหยันต่อโลก คือมองมันในแง่ร้ายทั้งหมด สิ่งเหล่านี้อาจเกิดจากความผิดหวังหรือสูญเสียในอดีต ซึ่งความปวดร้าวนั้นทำให้จมจ่อมอยู่กับมันจนลืมสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ความรู้สึกอบอุ่นอย่างเต็มเปี่ยมต่อการได้ยืนจ้องลูกๆ ที่รักในห้องครัว ดังกรณีของนักธุรกิจหญิงผู้เป็นแม่ คงเกิดขึ้นไม่ได้หากเธอเป็นแม่ที่มีปัญหาหรือมีความโกรธต่อบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ
น.พ.บัณฑิต ศรไพศาล จิตแพทย์ประจำศูนย์สุขภาพจิต กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และคอลัมนิสต์ตอบปัญหาสุขภาพจิตผู้มีชื่อเสียง อธิบายถึงสาเหตุและการสังเกตสัญญาณต่างๆ ของภาวะไร้สุขไว้ว่า "คนเราจะมีความสุขต่อเมื่อบรรลุความต้องการ คือมีความสมดุลระหว่างความต้องการกับความสามารถ เมื่อไหร่ที่ความต้องการมีมากกว่าความสามารถก็ไม่มีความสุข"
แต่ถ้าความต้องการไม่มากกว่าความสามารถ หมายความว่าสามารถไปถึงความต้องการได้ ก็จะได้ความสุข มันคล้ายกับการยกของ ถ้าเกินกำลังก็ไม่มีความสุข เพราะมันหนักเกินกว่าร่างกายและจิตใจจะรับไหว เหมือนยกของหนักมากมันก็จะกดดันเป็นธรรมดา ซึ่งจะเกิดปรากฏการณ์ที่แสดงออกทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์
อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ มีตั้งแต่ปวดหัว นอนไม่หลับ ใจสั่น ท้องผูก กินไม่ได้ น้ำหนักลด หรืออาจจะกินมากเกินไปก็ได้ รวมทั้งอาจจะมีอาการชา ตามมือตามเท้า ตาพร่า คือมันเกิดขึ้นได้กับทุกระบบ เพราะมันมาจากจิตใจซึ่งส่งผลต่อสมอง แต่ถ้าเป็นเฉพาะระบบใดระบบหนึ่งก็อาจเป็นโรคทางกาย แต่ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยทางกายอะไรแล้วแสดงอาการพร้อมกันหลายอย่าง ก็เป็นได้ว่าอาจมาจากจิตใจ ซึ่งแต่ละคนก็แสดงออกมาไม่เหมือนกัน
บางคนออกด้านอารมณ์ หงุดหงิด งุ่นง่าน เซ็ง โมโหง่าย หรือเศร้าซึมท้อแท้ แต่ถ้าเป็นด้านพฤติกรรมก็อาจจะมีอาการนอนไม่หลับ หรือกินอยู่ตลอดเวลา มันก็แล้วแต่ว่าจริตใครจะออกแบบไหน ลองถามตัวเองว่า ความพลาดหวังในอดีตหรือความปวดร้าวใดๆ ก็ตาม คุกคามเราอยู่กี่ปี สอง สาม หรือสิบปี ทำไมต้องปล่อยให้มันมีอิทธิพลมากมายถึงเพียงนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ใจเศร้าหมองจนพลาดโอกาสสำคัญๆ ที่งดงามในชีวิตปัจจุบันไปเท่านั้น มันยังส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายให้แปรปรวนได้อย่างน่ากลัว ให้มันจบลงเสียทีดีไหม
สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อเติมปัจจุบันให้เต็ม และสามารถรื่นรมย์กับชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น คือการแก้ปัญหาที่ส่งผลมาจากความเศร้าในอดีตเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบำบัด การออกกำลังกาย หรือวิธีใดๆ ก็ตาม ที่จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ในชีวิต สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ใจเป็นสุขได้ คือ การช่วยเหลือผู้ที่กำลังอยู่ในความทุกข์ หรือแม้แต่การให้เล็กๆ น้อยๆ ต่อผู้คนรอบข้างในชีวิตประจำวัน เพราะนอกจากจะทำให้ความเจ็บปวดเบาบางลงแล้ว คุณค่าความหมายจากการได้ให้ ยังเป็นความสุขที่ส่งต่อกันได้เหมือนการล้มของโดมิโน
ความลับ ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก
ความลับ ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า "ประเทศญี่ปุ่น" เป็นชาติที่มีอายุขัยยืนยาวมากที่สุดในโลก ซึ่งนี่ถือเป็นการครองแชมป์มากว่า 20 ปี แล้ว โดยมีอายุเฉลี่ยเกิน 100 ปี มากกว่า 20,000 คน เลยทีเดียว และเมื่อแยกย่อยลงไปในรายละเอียดต่างๆ จะพบว่าสุขภาพร่างกายของคนญี่ปุ่นมีคอเลสเตอรอลต่ำ ไม่ค่อยเป็นโรคอ้วนกับโรคหัวใจ
นี่เองที่ทำให้ใครต่อใครต่างอยากรู้เคล็ดลับว่าทำไม "คนญี่ปุ่นถึงมีสุขภาพที่ดีได้ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารญี่ปุ่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง ได้ทำสำรวจเกี่ยวกับอายุขัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเทียบวิเคราะห์ถึงเหตุผลและปัจจัยอันเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวของคนญี่ปุ่นว่า"
เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีคอเลสเตอรอลต่ำ?
เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีอัตราการตายจากโรคหัวใจต่ำ?
และเพราะอะไรสุขภาพของคนญี่ปุ่นถึงเป็นแบบนี้ได้?
กระทั่งพบ "ความลับ" ว่า "อาหารญี่ปุ่น" คือตัวช่วยเสริมสุขภาพคนญี่ปุ่นให้ไม่มีปัญหาจากโรคภัยที่กล่าวมาได้ทั้งหมด อาหารที่ว่า เช่น ปลาดิบ-ซุปมิโซะ-เต้าหู้–สาหร่ายคอมบุ (จากน้ำอุ่น) สาหร่ายโนริ (จากน้ำเย็น) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ ปราศจากไขมันอิ่มตัว มีไอโอดีนและแร่ธาตุสูงมาก อีกทั้งยังมีอนุมูลเล็กๆ ที่ช่วยเสริมสุขภาพให้ดี ช่วยให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นด้วย
และเมื่อเจาะจงข้อมูลลงไปในพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจนั่นคือ พบว่า คนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะโอกินาวา อัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ น้อยกว่าส่วนอื่นในพื้นที่ของประเทศญี่ป่นและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
นั่นเพราะ ชาวโอกานาวา มีการบริโภคน้ำตาล 25% เกลือ 20% และรับประทานผักเป็น 3 เท่า รับประทานปลามากกว่าเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีโอเมก้า 3 ที่สำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง เสริมสร้างระบบประสาท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรเอซิลกลีเซอรอลในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าองค์ประกอบของเกล็ดเลือด ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือด และโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ ที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย
"อาหารทะเล" จึงเป็นเสมือนยาอายุวัฒนะ หรืออาหารวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ซึ่งทำให้ชาวโอกินาวา มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า "ประเทศญี่ปุ่น" เป็นชาติที่มีอายุขัยยืนยาวมากที่สุดในโลก ซึ่งนี่ถือเป็นการครองแชมป์มากว่า 20 ปี แล้ว โดยมีอายุเฉลี่ยเกิน 100 ปี มากกว่า 20,000 คน เลยทีเดียว และเมื่อแยกย่อยลงไปในรายละเอียดต่างๆ จะพบว่าสุขภาพร่างกายของคนญี่ปุ่นมีคอเลสเตอรอลต่ำ ไม่ค่อยเป็นโรคอ้วนกับโรคหัวใจ
นี่เองที่ทำให้ใครต่อใครต่างอยากรู้เคล็ดลับว่าทำไม "คนญี่ปุ่นถึงมีสุขภาพที่ดีได้ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารญี่ปุ่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง ได้ทำสำรวจเกี่ยวกับอายุขัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเทียบวิเคราะห์ถึงเหตุผลและปัจจัยอันเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวของคนญี่ปุ่นว่า"
เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีคอเลสเตอรอลต่ำ?
เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีอัตราการตายจากโรคหัวใจต่ำ?
และเพราะอะไรสุขภาพของคนญี่ปุ่นถึงเป็นแบบนี้ได้?
กระทั่งพบ "ความลับ" ว่า "อาหารญี่ปุ่น" คือตัวช่วยเสริมสุขภาพคนญี่ปุ่นให้ไม่มีปัญหาจากโรคภัยที่กล่าวมาได้ทั้งหมด อาหารที่ว่า เช่น ปลาดิบ-ซุปมิโซะ-เต้าหู้–สาหร่ายคอมบุ (จากน้ำอุ่น) สาหร่ายโนริ (จากน้ำเย็น) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ ปราศจากไขมันอิ่มตัว มีไอโอดีนและแร่ธาตุสูงมาก อีกทั้งยังมีอนุมูลเล็กๆ ที่ช่วยเสริมสุขภาพให้ดี ช่วยให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นด้วย
และเมื่อเจาะจงข้อมูลลงไปในพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจนั่นคือ พบว่า คนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะโอกินาวา อัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ น้อยกว่าส่วนอื่นในพื้นที่ของประเทศญี่ป่นและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
นั่นเพราะ ชาวโอกานาวา มีการบริโภคน้ำตาล 25% เกลือ 20% และรับประทานผักเป็น 3 เท่า รับประทานปลามากกว่าเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีโอเมก้า 3 ที่สำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง เสริมสร้างระบบประสาท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรเอซิลกลีเซอรอลในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าองค์ประกอบของเกล็ดเลือด ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือด และโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ ที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย
"อาหารทะเล" จึงเป็นเสมือนยาอายุวัฒนะ หรืออาหารวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ซึ่งทำให้ชาวโอกินาวา มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
18 ก.ค. 2552
อันตรายที่พึงระวังจากอาหาร
อันตรายที่พึงระวังจากอาหาร (Lisa)
มันฝรั่งทอด คุกกี้ และขนมเค้กมีไขมันชนิดเลวซึ่งจะลดไขมันชนิดดีหรือการกินถั่วดิบก็อาจทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบ ฯลฯ
มันฝรั่งทอดและคุกกี้ รวมทั้งขนมเค้ก มีกรด Trans Fat สูง ซึ่งมันจะเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือด ลดไขมันชนิดดี (HDL) และมันจะไปสะสมในผนังหลอดเลือด ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด
กาแฟ การดื่มกาแฟมากเกินไปอาจทำให้ใจสั่น ว้าวุ่น อาเจียน หัวใจเต้นผิดปกติ และมีปัญหาเกิดขึ้นกับกระเพาะอาหาร หากใครดื่มกาแฟมากเกินไปเป็นประจำแล้วเลิกดื่มทันที อาจทำให้ปวดศีรษะ นอกจากนี้ ในชาและโกโก้ก็มีสารชนิดเดียวกับกาแฟ
ธัญพืช หากใครที่มีปัญหากับการย่อยโปรตีน Gluten ก็จะมีปัญหากับการย่อยธัญพืชซึ่งมีโปรตีนที่ว่านี้ คือ ร่างกายจะทำปฏิริยากับโปรตีน Gluten จนทำให้ท้องเสีย และหากไม่หลีกเลี่ยงการกินโปรตีนที่ว่านี้ ก็อาจก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน ต่อมธัยรอยด์อักเสบ เบาหวาน และโรคซึมเศร้า
ถั่วดิบ อาจมีพิษซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ได้ หากกินถั่วดิบมากเกินไปอาจทำให้เซลล์ตายได้ แต่ถ้าถั่วผ่านการหุงต้มให้สุกก็จะทำลายสารพิษที่ว่านี้ได้
น้ำผึ้ง ไม่ควรให้ทารกกินน้ำผึ้ง เพราะในการคั้นน้ำผึ้งอาจมีแบคทีเรียติดค้างซึ่งจะเป็นอันตรายต่อทารก ทำให้ลำไส้อุดตัน และอาจเข้าไปในระบบเลือด ส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่ทำงาน
ลูกอมแก้ไอ ยาอมแก้ไอมีน้ำมันหอมระเหย หากกินในปริมาณมากอาจทำให้รู้สึกคลื่นเหียน อาเจียน และมีปัญหากับไต หรือหากมีเมนธอลมากเกินไป จะมีผลกับกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ มันฝรั่งกรุบกรอบ การผลิตมันฝรั่งกรุบกรอบทำให้เกิดสาร Acrylamide ทั้งนี้ ยังมีการทดลองกันยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่ามันมีผลกับพันธุกรรมมากแค่ไหน แต่จากการทดลองกับสัตว์พบว่ามันกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อกินในปริมาณมาก
มันฝรั่งทอด คุกกี้ และขนมเค้กมีไขมันชนิดเลวซึ่งจะลดไขมันชนิดดีหรือการกินถั่วดิบก็อาจทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบ ฯลฯ
มันฝรั่งทอดและคุกกี้ รวมทั้งขนมเค้ก มีกรด Trans Fat สูง ซึ่งมันจะเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือด ลดไขมันชนิดดี (HDL) และมันจะไปสะสมในผนังหลอดเลือด ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด
กาแฟ การดื่มกาแฟมากเกินไปอาจทำให้ใจสั่น ว้าวุ่น อาเจียน หัวใจเต้นผิดปกติ และมีปัญหาเกิดขึ้นกับกระเพาะอาหาร หากใครดื่มกาแฟมากเกินไปเป็นประจำแล้วเลิกดื่มทันที อาจทำให้ปวดศีรษะ นอกจากนี้ ในชาและโกโก้ก็มีสารชนิดเดียวกับกาแฟ
ธัญพืช หากใครที่มีปัญหากับการย่อยโปรตีน Gluten ก็จะมีปัญหากับการย่อยธัญพืชซึ่งมีโปรตีนที่ว่านี้ คือ ร่างกายจะทำปฏิริยากับโปรตีน Gluten จนทำให้ท้องเสีย และหากไม่หลีกเลี่ยงการกินโปรตีนที่ว่านี้ ก็อาจก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน ต่อมธัยรอยด์อักเสบ เบาหวาน และโรคซึมเศร้า
ถั่วดิบ อาจมีพิษซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ได้ หากกินถั่วดิบมากเกินไปอาจทำให้เซลล์ตายได้ แต่ถ้าถั่วผ่านการหุงต้มให้สุกก็จะทำลายสารพิษที่ว่านี้ได้
น้ำผึ้ง ไม่ควรให้ทารกกินน้ำผึ้ง เพราะในการคั้นน้ำผึ้งอาจมีแบคทีเรียติดค้างซึ่งจะเป็นอันตรายต่อทารก ทำให้ลำไส้อุดตัน และอาจเข้าไปในระบบเลือด ส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่ทำงาน
ลูกอมแก้ไอ ยาอมแก้ไอมีน้ำมันหอมระเหย หากกินในปริมาณมากอาจทำให้รู้สึกคลื่นเหียน อาเจียน และมีปัญหากับไต หรือหากมีเมนธอลมากเกินไป จะมีผลกับกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ มันฝรั่งกรุบกรอบ การผลิตมันฝรั่งกรุบกรอบทำให้เกิดสาร Acrylamide ทั้งนี้ ยังมีการทดลองกันยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่ามันมีผลกับพันธุกรรมมากแค่ไหน แต่จากการทดลองกับสัตว์พบว่ามันกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อกินในปริมาณมาก
คลายเครียดง่ายๆ ด้วยโยคะ
Beat Stress With Yoga (Health plus)
การพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับจิตใจ หลังการตรากตรำทำงานมาตลอดวัน หรือเหน็ดเหนื่อยกับการดูแลลูกๆ คุณจำเป็นต้องผ่อนคลายและหาเวลาเป็นส่วนตัว ซึ่งโยคะจัดเป็นวิธีผ่อนคลายที่ใครๆ ก็ทำได้
โยคะเป็นกระบวนการบำบัดที่ล้ำลึก เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างพลังงานในร่างกายและจิตใจ ทำให้ร่างกายจิตใจ และอารมณ์กระฉับกระเฉง โยคะคล้ายกับการแพทย์แผนจีน ซึ่งเป็นการทำงานของชี่(พลังงาน)และเมอริเดียน(ทางเดินพลังงาน) ส่วนโยคะเป็นการทำงานของเส้นพลังงาน หรือที่เรียกว่า นาดิส (nadis) และพลังงานที่ไหลผ่านเส้นพลังงานที่เรียกว่า ปราณ (prana) การฝึกโยคะ ช่วยเสริมความกระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ด้วยการเรียนรู้วิธีเข้าถึงแหล่งเก็บพลังงานที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย
รู้จักความเครียด
ความเครียดมีบทบาทใหญ่หลวงต่อชีวิตประจำวัน เป็นที่ทราบกันดีว่าความเครียดเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงและมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแยกไม่ออกกับโรคต่างๆ เช่นโรคซึมเศร้า อ่อนเพลีย และความดันโลหิตสูง “เมื่อตกอยู่ภายใต้ความเครียด ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงไล่ตั้งแต่ อาการปวดตึงกล้ามเนื้อ อาหารไม่ย่อย มีผลให้อัตราการเต้นของหัวใจ ชีพจร และการหายใจเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นที่เรา ต้องจัดการกับความเครียดก่อนที่จะถูกความเครียดครอบงำและเพื่อทราบถึงผลเสียที่เกิดจากความเครียดได้แก่ ความอ่อนเพลีย อารมณ์ฉุนเฉียว ซึมเศร้า และขี้หลงขี้ลืม ทั้งหมดนี้บรรเทาได้ด้วยโยคะ” “ฉันคิดว่าการบริหารจิตใจและการหายใจของโยคะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความเครียดและความวิตกกังวล” สเตลลา เวลเลอร์ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะกล่าว
โยคะเพื่อบรรเทา
การผ่อนคลายและเทคนิคการหายใจง่ายๆ ช่วยลดความเครียดอย่างได้ผล การศึกษาพบว่าคนที่เล่นโยคะเป็นประจำจะมีวิตกกังวลน้อยลง ความดันโลหิตลดลง การทำงานของหัวใจมีประสิทธิภาพดีขึ้น การฝึกเป็นประจำช่วยให้คุณเข้าถึงต้นตอของความเครียดและระงับมันได้ “กุญแจสำคัญของการบรรเทาความเครียดคือการหายใจ และฮาธาโยคะ (hatha yoga) ซึ่งมุ่งเน้นที่การลดความเครียด”
ทิม ไนย์เลอร์ แห่งสถาบัน the yoga Therapy Centre ในลอนดอนกล่าวว่า ท่าฮาธาจะเน้นที่ท่วงท่า การหายใจ พลังงาน และการผ่อนคลาย “การควบคุมการหายใจเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง เพราะทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่มีใครรู้ว่าคุณกำลังควบคุมการหายใจ การหายใจเป็นตัวบ่งชี้ความเครียดหรือความวิตกกังวลที่คุณกำลังเผชิญอยู่ อัตราการหายใจจะถี่ และตื้นเวลาที่มีความเครียด” ทิมบอก “คุณสามารถเรียนรู้วิธีควบคุมการหายใจ และควบคุมความเครียดได้ด้วยการหายใจลึกๆ อย่างมีสติ นี่เป็นสิ่งที่คนฝึกโยคะต้องเรียนรู้”
พิชิตโรคที่เกี่ยวกับความเครียด
ความเครียดเล็กน้อยเป็นสัญญาณของความเครียด และก่อให้เกิดการสูญเสียพลังงาน รู้สึกไร้ค่า และไม่มีสมาธิ คุนดาลินีโยคะ (kundalinyoga) ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าอย่างได้ผล โดยช่วยปลุกพลังงานคุนดาลินี ซึ่งเป็นแหล่งรวมพลังงานที่อยู่ที่ฐานของกระดูกสันหลัง “ท่าโยคะดังกล่าวส่งผลต่อจิตใจและสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ได้แก่ จิตใจสำนึก ความคิดด้านลบ และลักษณะพฤติกรรม” สิริ แดตต้า ครูฝึกโยคะ กล่าว “ช่วยสะสางเรื่องราวต่างๆ ที่ติดค้างอยู่ในใจ ตลอดจนปัญหาที่รบกวนจิตใจ และดึงพลังงานไปใช้ในการเยียวยาร่างกายและจิตใจ” สิริ แดตต้า ครูฝึกโยคะ กล่าว
แฟนพันธุ์แท้โยคะอย่าง ศีลา อาร์มสตอง ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาหลายปี ทานยาต้านซึมเศร้าก่อนที่เธอจะได้รับคำแนะนำให้ฝึกโยคะท่าดังกล่าว และพบว่ามันช่วยเธอได้จริงๆ “ฉันเริ่มเข้าชั้นเรียนโยคะ ครูฝึกประเมินดุแล้วและสั่งให้ฉันฝึกท่าอาสนะ (asanas) รวมทั้งท่าต่างๆ ฉันฝึกทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน เธอประเมินฉันทุกเดือนเพื่อดูผลลัพธ์และแนะท่าใหม่ๆ ซึ่งก็ช่วยให้จิตใจของฉันมั่นคงและมีสมาธิมากขึ้น”
รับมือกับความอ่อนล้า
ไล่เรียงตั้งแต่อาการเหน็ดเหนื่อยที่เราต้องเผชิญในแต่ละวัน ไปจนถึงโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง ซึ่งมีผลให้ร่างกายอ่อนแอลงอย่างมาก เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายและจิตใจจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มศักยภาพ โยคะอาจเป็นสิ่งที่สุดท้ายที่คุณอยากทำ แต่การฝึกโยคะเป็นประจำช่วยให้ระบบประสาทและการเผาผลาญอาหารทำหน้าที่ได้ปกติ และดึงพลังงานที่ซ่อนอยู่ออกมา เทคนิคการหายใจง่ายๆ จะช่วยให้คุณกระปรี้กระเปร่าได้มากกว่าการหันไปหาเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือช็อกโกแลต
ลองฝึกการหายใจแบบโยคะง่ายๆ ต่อไปนี้ หากคุณต้องการเรียกพลังงานกลับคืนมา เริ่มจากใช้นิ้วโป้งซ้ายปิดรูจมูกซ้าย หายใจเข้า ลึกๆ ยาวๆ ผ่านรูจมูกขวา ในทางโยคะ การหายใจผ่านรูจมูกขวาช่วย กระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้กระปรี้กระเปร่า
จัดการกับความดันโลหิตสูง
ความเครียดทำให้ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง และหากไม่ได้รับการรักษา ก็จะทำให้เป็นโรคหัวใจ หัวใจวาย และภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน “การหายใจตามแบบโยคะ การผ่อนคลาย และการนั่งสมาธิช่วยให้ความดันโลหิตลดลง ถึงกับทำให้บางคนลดปริมาณยาที่ทานลงได้” สเตลาบอก
เวลาเกิดความเครียด ให้ลองฝึกตามวิธีต่อไปนี้ นั่งในท่าสบายหลับตา ยกมือทั้งสองข้างให้เสมอกับระดับไหล่ ตั้งฝ่ามือขึ้น หายใจเข้าช้าๆ หายใจออกยาวๆ ทำเสียงครางช้าๆ หายใจยาวจนสุด ประมาณ 10 นาที สังเกตดูว่าเสียงที่เปล่งออกมาช่วยให้จิตใจของคุณสงบนิ่ง
การพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับจิตใจ หลังการตรากตรำทำงานมาตลอดวัน หรือเหน็ดเหนื่อยกับการดูแลลูกๆ คุณจำเป็นต้องผ่อนคลายและหาเวลาเป็นส่วนตัว ซึ่งโยคะจัดเป็นวิธีผ่อนคลายที่ใครๆ ก็ทำได้
โยคะเป็นกระบวนการบำบัดที่ล้ำลึก เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างพลังงานในร่างกายและจิตใจ ทำให้ร่างกายจิตใจ และอารมณ์กระฉับกระเฉง โยคะคล้ายกับการแพทย์แผนจีน ซึ่งเป็นการทำงานของชี่(พลังงาน)และเมอริเดียน(ทางเดินพลังงาน) ส่วนโยคะเป็นการทำงานของเส้นพลังงาน หรือที่เรียกว่า นาดิส (nadis) และพลังงานที่ไหลผ่านเส้นพลังงานที่เรียกว่า ปราณ (prana) การฝึกโยคะ ช่วยเสริมความกระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ด้วยการเรียนรู้วิธีเข้าถึงแหล่งเก็บพลังงานที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย
รู้จักความเครียด
ความเครียดมีบทบาทใหญ่หลวงต่อชีวิตประจำวัน เป็นที่ทราบกันดีว่าความเครียดเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงและมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแยกไม่ออกกับโรคต่างๆ เช่นโรคซึมเศร้า อ่อนเพลีย และความดันโลหิตสูง “เมื่อตกอยู่ภายใต้ความเครียด ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงไล่ตั้งแต่ อาการปวดตึงกล้ามเนื้อ อาหารไม่ย่อย มีผลให้อัตราการเต้นของหัวใจ ชีพจร และการหายใจเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นที่เรา ต้องจัดการกับความเครียดก่อนที่จะถูกความเครียดครอบงำและเพื่อทราบถึงผลเสียที่เกิดจากความเครียดได้แก่ ความอ่อนเพลีย อารมณ์ฉุนเฉียว ซึมเศร้า และขี้หลงขี้ลืม ทั้งหมดนี้บรรเทาได้ด้วยโยคะ” “ฉันคิดว่าการบริหารจิตใจและการหายใจของโยคะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความเครียดและความวิตกกังวล” สเตลลา เวลเลอร์ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะกล่าว
โยคะเพื่อบรรเทา
การผ่อนคลายและเทคนิคการหายใจง่ายๆ ช่วยลดความเครียดอย่างได้ผล การศึกษาพบว่าคนที่เล่นโยคะเป็นประจำจะมีวิตกกังวลน้อยลง ความดันโลหิตลดลง การทำงานของหัวใจมีประสิทธิภาพดีขึ้น การฝึกเป็นประจำช่วยให้คุณเข้าถึงต้นตอของความเครียดและระงับมันได้ “กุญแจสำคัญของการบรรเทาความเครียดคือการหายใจ และฮาธาโยคะ (hatha yoga) ซึ่งมุ่งเน้นที่การลดความเครียด”
ทิม ไนย์เลอร์ แห่งสถาบัน the yoga Therapy Centre ในลอนดอนกล่าวว่า ท่าฮาธาจะเน้นที่ท่วงท่า การหายใจ พลังงาน และการผ่อนคลาย “การควบคุมการหายใจเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง เพราะทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่มีใครรู้ว่าคุณกำลังควบคุมการหายใจ การหายใจเป็นตัวบ่งชี้ความเครียดหรือความวิตกกังวลที่คุณกำลังเผชิญอยู่ อัตราการหายใจจะถี่ และตื้นเวลาที่มีความเครียด” ทิมบอก “คุณสามารถเรียนรู้วิธีควบคุมการหายใจ และควบคุมความเครียดได้ด้วยการหายใจลึกๆ อย่างมีสติ นี่เป็นสิ่งที่คนฝึกโยคะต้องเรียนรู้”
พิชิตโรคที่เกี่ยวกับความเครียด
ความเครียดเล็กน้อยเป็นสัญญาณของความเครียด และก่อให้เกิดการสูญเสียพลังงาน รู้สึกไร้ค่า และไม่มีสมาธิ คุนดาลินีโยคะ (kundalinyoga) ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าอย่างได้ผล โดยช่วยปลุกพลังงานคุนดาลินี ซึ่งเป็นแหล่งรวมพลังงานที่อยู่ที่ฐานของกระดูกสันหลัง “ท่าโยคะดังกล่าวส่งผลต่อจิตใจและสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ได้แก่ จิตใจสำนึก ความคิดด้านลบ และลักษณะพฤติกรรม” สิริ แดตต้า ครูฝึกโยคะ กล่าว “ช่วยสะสางเรื่องราวต่างๆ ที่ติดค้างอยู่ในใจ ตลอดจนปัญหาที่รบกวนจิตใจ และดึงพลังงานไปใช้ในการเยียวยาร่างกายและจิตใจ” สิริ แดตต้า ครูฝึกโยคะ กล่าว
แฟนพันธุ์แท้โยคะอย่าง ศีลา อาร์มสตอง ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาหลายปี ทานยาต้านซึมเศร้าก่อนที่เธอจะได้รับคำแนะนำให้ฝึกโยคะท่าดังกล่าว และพบว่ามันช่วยเธอได้จริงๆ “ฉันเริ่มเข้าชั้นเรียนโยคะ ครูฝึกประเมินดุแล้วและสั่งให้ฉันฝึกท่าอาสนะ (asanas) รวมทั้งท่าต่างๆ ฉันฝึกทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน เธอประเมินฉันทุกเดือนเพื่อดูผลลัพธ์และแนะท่าใหม่ๆ ซึ่งก็ช่วยให้จิตใจของฉันมั่นคงและมีสมาธิมากขึ้น”
รับมือกับความอ่อนล้า
ไล่เรียงตั้งแต่อาการเหน็ดเหนื่อยที่เราต้องเผชิญในแต่ละวัน ไปจนถึงโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง ซึ่งมีผลให้ร่างกายอ่อนแอลงอย่างมาก เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายและจิตใจจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มศักยภาพ โยคะอาจเป็นสิ่งที่สุดท้ายที่คุณอยากทำ แต่การฝึกโยคะเป็นประจำช่วยให้ระบบประสาทและการเผาผลาญอาหารทำหน้าที่ได้ปกติ และดึงพลังงานที่ซ่อนอยู่ออกมา เทคนิคการหายใจง่ายๆ จะช่วยให้คุณกระปรี้กระเปร่าได้มากกว่าการหันไปหาเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือช็อกโกแลต
ลองฝึกการหายใจแบบโยคะง่ายๆ ต่อไปนี้ หากคุณต้องการเรียกพลังงานกลับคืนมา เริ่มจากใช้นิ้วโป้งซ้ายปิดรูจมูกซ้าย หายใจเข้า ลึกๆ ยาวๆ ผ่านรูจมูกขวา ในทางโยคะ การหายใจผ่านรูจมูกขวาช่วย กระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้กระปรี้กระเปร่า
จัดการกับความดันโลหิตสูง
ความเครียดทำให้ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง และหากไม่ได้รับการรักษา ก็จะทำให้เป็นโรคหัวใจ หัวใจวาย และภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน “การหายใจตามแบบโยคะ การผ่อนคลาย และการนั่งสมาธิช่วยให้ความดันโลหิตลดลง ถึงกับทำให้บางคนลดปริมาณยาที่ทานลงได้” สเตลาบอก
เวลาเกิดความเครียด ให้ลองฝึกตามวิธีต่อไปนี้ นั่งในท่าสบายหลับตา ยกมือทั้งสองข้างให้เสมอกับระดับไหล่ ตั้งฝ่ามือขึ้น หายใจเข้าช้าๆ หายใจออกยาวๆ ทำเสียงครางช้าๆ หายใจยาวจนสุด ประมาณ 10 นาที สังเกตดูว่าเสียงที่เปล่งออกมาช่วยให้จิตใจของคุณสงบนิ่ง
8 วิธี เพิ่มอายุยืนยาวขึ้น 8 ปี
8 วิธี เพิ่มอายุยืนยาวขึ้น 8 ปี (นิตยสารสุขภาพดี)
คนเราอยากมีอายุยืนยาวด้วยกันทั้งนั้น ผมเองก็อยากอยู่กับครอบครัวและคนที่ผมรักไปนานๆ แล้วทำยังไงถึงจะมีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพที่ดีผมมีวิธีมาบอกครับ
1. อายุยืนยาวขึ้น 1 ปี ด้วยการกินดาร์กช็อกโกแลต
การวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา บอกว่าถ้าเรากินดาร์กช็อกโกแลตบ่อยๆ หรืออย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง อาจจะช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้อีก 1 ปีเลย เพราะว่าในดาร์กช็อกโกแลต มีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยทำให้เลือดไม่ข้นหนืดจนเกินไป เลือดเลยไหลได้สะดวก ไม่ไปติดหรือกระแทกหลอดเลือดมาก จึงไม่เกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด เส้นเลือดก็ไม่อุดตัน
2. อายุยืนยาวขึ้น 2 ปี ด้วยเพศสัมพันธ์ที่ดี
มีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ แล้วดีครับ ช่วยเพิ่มอายุได้ถึง 2 ปีเลยทีเดียว มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บอกว่าเป็นเพราะมันจะมีสารที่หลั่งออกมาหลังจากที่เราถึงจุดสุดยอด ที่ทำให้คลายเครียดได้ดีมาก และจะทำให้เรารู้สึกสบายตัว ร่างกายและหัวใจเราก็ดีขึ้น ฮอร์โมนคอร์ติโซนก็จะหลั่งออกมาน้อย ผมเคยอ่านงานวิจัยอีกอันที่เขาศึกษากับคนออสเตรเลีย 2,338 คน บอกว่าการที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์หรือช่วยตัวเองสัปดาห์ละ 10 ครั้ง สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 33 เปอร์เซ็นต์
3. อายุยืนยาวขึ้น 3 ปี ด้วยการกินถั่ว
อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน มหาวิทยาลัยโลม่าลินดาที่แคลิฟอร์เนีย วิจัยพบว่าในถั่วจะมีไขมันโอเมก้า3 สารต้านอนุมูลอิสระ ใยอาหารเยอะไขมันอิ่มตัวน้อย แคลอรีน้อยทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะกับหัวใจ แต่ต้องเลือกแบบไม่มีเกลือนะครับ
4. อายุยืนยาวขึ้น 4 ปี ด้วยการดื่มไวน์
นักวิทยาศาสตร์ชาวดัชช์ ให้ดื่มไวน์วันละครึ่งแก้วจะทำให้ชีวิตเรายืนยาวได้ถึง 4 ปี เพราะในไวน์จะมีสารโพลิฟิโนลิคคอมพาวน์ส (polyphenolic compounds) ซึ่งสารนี้จะทำให้เลือดเราไม่มีการเติบโตของไขมัน พอเยื่อไขมันไม่สามารถเติบโตได้ เส้นเลือดเราจะสะอาดใสอยู่ตลอดเวลา ไม่มีตะกอนตกค้างหรือมีไขมันมาเกาะผนังหลอดเลือด
5. อายุยืนยาวขึ้น 5 ปี ด้วยการเล่นกอล์ฟ
อาจจะมีหลายคนที่เล่นกอล์ฟกันอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าทำไมเล่นกอล์ฟแล้วทำให้อายุเรายืนยาวขึ้นได้ นั่นเพราะการเล่นกอล์ฟทำให้เราเดินครับ เล่นกอล์ฟ 18 หลุม จะทำให้เราต้องเดินถึง 6-10 กม. เลยครับ แล้วการเดินทำให้ร่างกายเราเผาผลาญแคลอรีได้ดี เป็นการออกกำลังกายแบบ Low intensity คือการออกกำลังกายแบบไม่หนัก แต่หัวใจเต้นเร็วและใช้ออกซิเจนเยอะมาก ซึ่งจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง แล้วการตีกอล์ฟทำให้เราไม่เบื่อที่จะออกกำลังกายด้วย
6. อายุยืนยาวขึ้น 6 ปี ด้วยการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
กินทุกๆ มื้อเลยนะครับ ให้เรื่องการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นชีวิตประจำวัน ไม่ใช่วันนี้พิเศษ ฉันจะไปกินอาหารเพื่อสุขภาพ นานๆ กินทีแบบนั้นไม่ดีแน่ๆ แล้วมีการวิจัยจากฮอลแลนด์บอกว่า กินปลา เนื้อไม่ติดมัน น้ำมันมะกอก กระเทียม คาร์โบไฮเดรตที่ดีอย่างข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต เป็นประจำจะทำให้ไขมันในเลือดน้อยลง สุขภาพร่างกายดีขึ้น โรคมะเร็งกับเบาหวานก็จะเกิดได้ยากขึ้น แล้วถ้าไม่รู้ว่ามีอาหารอะไรอีกที่ดีต่อสุขภาพ ก็ดูจากสุขภาพดีนี้ก็ได้หาง่าย ไม่แพงด้วย
7. อายุยืนยาวขึ้น 7 ปี ด้วยการควบคุมน้ำหนัก
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ศึกษาพบว่า ถ้าคุณสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์มาตรฐานได้โดยตลอด คุณอาจจะเพิ่มชีวิตได้ถึง 7 ปีเลย หรือหากตอนนี้ ใครกำลังน้ำหนักตัวเกินอยู่ก็รีบลดเลยครับ เพราะปล่อยให้น้ำหนักมากๆ ไม่ดี กระดูกและไขข้อต้องรับน้ำหนักเยอะมากก็จะมีปัญหาได้ แล้วก็เสี่ยงกับการเกิดโรคหลายโรคด้วย แต่ที่ต้องระวังด้วยคืออย่าดูแค่ตัวเลขของน้ำหนักเท่านั้น ให้ดูไขมันด้วย เพราะคนผอมหลายคนเหมือนกันที่น้ำหนักน้อยแต่ไขมันเยอะ นั่นก็สุขภาพไม่ดีได้ง่ายเหมือนกัน
8. อายุยืนยาวขึ้น 8 ปี ด้วยการหัวเราะบ่อยๆ
การที่เราหัวเราะ ฮอร์โมนคอร์ติโซน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพจะหลั่งน้อยลง ทำให้เรามีความสุข ผ่อนคลายไม่เครียด เพราะสารเคมีที่ไม่ดีในร่างกายจะไม่หลั่งออกมาเลย แล้วจะมีสารเคมีดี เช่น เอ็นโดรฟิน อะดรีนาลีน หลั่งออกมาแทน ก็พยายามดูหนังตลก อยู่กับเพื่อนให้เยอะๆ นะครับ จะได้หัวเราะ แค่คุณหัวเราะวันละ 15 นาที อาจจะทำให้คุณมีอายุยืนยาวขึ้นอีก 8 ปีเลยนะครับ
รู้วิธีแล้วก็ลองเอาไปทำกันดูนะครับ ผมเองก็เริ่มทำแล้วเหมือนกัน
คนเราอยากมีอายุยืนยาวด้วยกันทั้งนั้น ผมเองก็อยากอยู่กับครอบครัวและคนที่ผมรักไปนานๆ แล้วทำยังไงถึงจะมีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพที่ดีผมมีวิธีมาบอกครับ
1. อายุยืนยาวขึ้น 1 ปี ด้วยการกินดาร์กช็อกโกแลต
การวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา บอกว่าถ้าเรากินดาร์กช็อกโกแลตบ่อยๆ หรืออย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง อาจจะช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้อีก 1 ปีเลย เพราะว่าในดาร์กช็อกโกแลต มีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยทำให้เลือดไม่ข้นหนืดจนเกินไป เลือดเลยไหลได้สะดวก ไม่ไปติดหรือกระแทกหลอดเลือดมาก จึงไม่เกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด เส้นเลือดก็ไม่อุดตัน
2. อายุยืนยาวขึ้น 2 ปี ด้วยเพศสัมพันธ์ที่ดี
มีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ แล้วดีครับ ช่วยเพิ่มอายุได้ถึง 2 ปีเลยทีเดียว มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บอกว่าเป็นเพราะมันจะมีสารที่หลั่งออกมาหลังจากที่เราถึงจุดสุดยอด ที่ทำให้คลายเครียดได้ดีมาก และจะทำให้เรารู้สึกสบายตัว ร่างกายและหัวใจเราก็ดีขึ้น ฮอร์โมนคอร์ติโซนก็จะหลั่งออกมาน้อย ผมเคยอ่านงานวิจัยอีกอันที่เขาศึกษากับคนออสเตรเลีย 2,338 คน บอกว่าการที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์หรือช่วยตัวเองสัปดาห์ละ 10 ครั้ง สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 33 เปอร์เซ็นต์
3. อายุยืนยาวขึ้น 3 ปี ด้วยการกินถั่ว
อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน มหาวิทยาลัยโลม่าลินดาที่แคลิฟอร์เนีย วิจัยพบว่าในถั่วจะมีไขมันโอเมก้า3 สารต้านอนุมูลอิสระ ใยอาหารเยอะไขมันอิ่มตัวน้อย แคลอรีน้อยทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะกับหัวใจ แต่ต้องเลือกแบบไม่มีเกลือนะครับ
4. อายุยืนยาวขึ้น 4 ปี ด้วยการดื่มไวน์
นักวิทยาศาสตร์ชาวดัชช์ ให้ดื่มไวน์วันละครึ่งแก้วจะทำให้ชีวิตเรายืนยาวได้ถึง 4 ปี เพราะในไวน์จะมีสารโพลิฟิโนลิคคอมพาวน์ส (polyphenolic compounds) ซึ่งสารนี้จะทำให้เลือดเราไม่มีการเติบโตของไขมัน พอเยื่อไขมันไม่สามารถเติบโตได้ เส้นเลือดเราจะสะอาดใสอยู่ตลอดเวลา ไม่มีตะกอนตกค้างหรือมีไขมันมาเกาะผนังหลอดเลือด
5. อายุยืนยาวขึ้น 5 ปี ด้วยการเล่นกอล์ฟ
อาจจะมีหลายคนที่เล่นกอล์ฟกันอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าทำไมเล่นกอล์ฟแล้วทำให้อายุเรายืนยาวขึ้นได้ นั่นเพราะการเล่นกอล์ฟทำให้เราเดินครับ เล่นกอล์ฟ 18 หลุม จะทำให้เราต้องเดินถึง 6-10 กม. เลยครับ แล้วการเดินทำให้ร่างกายเราเผาผลาญแคลอรีได้ดี เป็นการออกกำลังกายแบบ Low intensity คือการออกกำลังกายแบบไม่หนัก แต่หัวใจเต้นเร็วและใช้ออกซิเจนเยอะมาก ซึ่งจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง แล้วการตีกอล์ฟทำให้เราไม่เบื่อที่จะออกกำลังกายด้วย
6. อายุยืนยาวขึ้น 6 ปี ด้วยการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
กินทุกๆ มื้อเลยนะครับ ให้เรื่องการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นชีวิตประจำวัน ไม่ใช่วันนี้พิเศษ ฉันจะไปกินอาหารเพื่อสุขภาพ นานๆ กินทีแบบนั้นไม่ดีแน่ๆ แล้วมีการวิจัยจากฮอลแลนด์บอกว่า กินปลา เนื้อไม่ติดมัน น้ำมันมะกอก กระเทียม คาร์โบไฮเดรตที่ดีอย่างข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต เป็นประจำจะทำให้ไขมันในเลือดน้อยลง สุขภาพร่างกายดีขึ้น โรคมะเร็งกับเบาหวานก็จะเกิดได้ยากขึ้น แล้วถ้าไม่รู้ว่ามีอาหารอะไรอีกที่ดีต่อสุขภาพ ก็ดูจากสุขภาพดีนี้ก็ได้หาง่าย ไม่แพงด้วย
7. อายุยืนยาวขึ้น 7 ปี ด้วยการควบคุมน้ำหนัก
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ศึกษาพบว่า ถ้าคุณสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์มาตรฐานได้โดยตลอด คุณอาจจะเพิ่มชีวิตได้ถึง 7 ปีเลย หรือหากตอนนี้ ใครกำลังน้ำหนักตัวเกินอยู่ก็รีบลดเลยครับ เพราะปล่อยให้น้ำหนักมากๆ ไม่ดี กระดูกและไขข้อต้องรับน้ำหนักเยอะมากก็จะมีปัญหาได้ แล้วก็เสี่ยงกับการเกิดโรคหลายโรคด้วย แต่ที่ต้องระวังด้วยคืออย่าดูแค่ตัวเลขของน้ำหนักเท่านั้น ให้ดูไขมันด้วย เพราะคนผอมหลายคนเหมือนกันที่น้ำหนักน้อยแต่ไขมันเยอะ นั่นก็สุขภาพไม่ดีได้ง่ายเหมือนกัน
8. อายุยืนยาวขึ้น 8 ปี ด้วยการหัวเราะบ่อยๆ
การที่เราหัวเราะ ฮอร์โมนคอร์ติโซน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพจะหลั่งน้อยลง ทำให้เรามีความสุข ผ่อนคลายไม่เครียด เพราะสารเคมีที่ไม่ดีในร่างกายจะไม่หลั่งออกมาเลย แล้วจะมีสารเคมีดี เช่น เอ็นโดรฟิน อะดรีนาลีน หลั่งออกมาแทน ก็พยายามดูหนังตลก อยู่กับเพื่อนให้เยอะๆ นะครับ จะได้หัวเราะ แค่คุณหัวเราะวันละ 15 นาที อาจจะทำให้คุณมีอายุยืนยาวขึ้นอีก 8 ปีเลยนะครับ
รู้วิธีแล้วก็ลองเอาไปทำกันดูนะครับ ผมเองก็เริ่มทำแล้วเหมือนกัน
8 ความลับของสาวผอมเพรียว
8 ความลับของสาวผอมเพรียว (นิตยสารลิซ่า)ทำตัวให้เหมือนกับว่าคุณรูปร่างผอมเพรียว แล้วคุณก็จะผอมได้เช่นกัน
เราทุกคนคงต่างก็มีเพื่อนรูปร่างผอมบางกันอย่างน้อยก็คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่เคยอ้วนขึ้นเลยสักที นั่นเพราะผลจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า คนที่มีรูปร่างผอมบางมักไม่ได้คิดถึงเรื่องอาหารแบบเดียวกับคนอื่นๆ พวกเธอจะผ่อนคลายกับการกิน ขณะที่คนซึ่งน้ำหนักเกินส่วนใหญ่มักจะหมกมุ่นกับเรื่องการกินมากกว่า ลองมาแอบดูว่าคนผอมๆ ทำหรือไม่ทำอะไร แล้วคุณจะเลียนแบบพวกเธอได้ยังไงบ้าง
1. พวกเธอเลือกอาหารที่ทำให้พึงพอใจมากกว่าอิ่มจนแน่นท้อง
ในอัตราส่วนความอิ่มจาก 1 ถึง 10 ผู้หญิงรูปร่างผอมจะหยุดกินเมื่อถึงระดับ 6 หรือ 7 ขณะที่คนส่วนมากมักกินต่อไปจนถึงระดับ 8 หรือ 10 มันอาจเพราะคุณสำคัญผิดระหว่างความอิ่มกับความพึงพอใจ หรือคุณอาจเคยชินกับการกินทุกอย่างตรงหน้าจนหมดเกลี้ยงไม่ว่าคุณจะต้องการมันจริงๆ หรือไม่ก็ตาม
วิธีเลียนแบบ เพื่อกินแบบเดียวกับผู้มีรูปร่างผอม วางช้อนลง และประเมินความอิ่มจากอัตราส่วน 1 ถึง 10 ทำแบบเดียวกันอีกครั้ง เมื่อเหลือสักห้าคำ เป้าหมายก็คือเพิ่มความรู้ตัวถึงความพึงพอใจของตัวเองในระหว่างการกิน (มันยังทำให้คุณกินช้าลงซึ่งให้โอกาสความอิ่มส่งสัญญาณเข้ามา)
2 . พวกเธอรู้ว่าความหิวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
คนส่วนใหญ่ที่ดิ้นรนกับเรื่องน้ำหนักตัวมักมองความหิวเป็นสิ่งที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนั้น ถ้าคุณกลัวความหิว คุณอาจกินมากเกินไปอยู่เสมอ แต่คนผอมๆ จะทนได้มากกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงมัน
วิธีเลียนแบบ เลือกวันที่ยุ่งๆ เพื่อชะลอเวลาอาหารกลางวันออกไปอย่างจงใจสักหนึ่งหรือสองชั่วโมง หรือลองพยายามงดของว่างมื้อบ่ายสักหนึ่งวัน คุณจะเห็นได้ว่าตัวเองก็ยังสบายดีอยู่ จากนั้น ครั้งต่อไปที่คุณได้ยินเสียงท้องร้อง คุณจะหยุดตัวเองไม่ให้ตรงดิ่งไปยังตู้เย็นในทันทีได้
3. พวกเธอไม่ใช้อาหารเพื่อเยียวยาอารมณ์เศร้า
ไม่ใช่ว่าผู้หญิงรูปร่างผอมบางมีภูมิต้านทานต่อการกินตามอารมณ์ แต่พวกเธอมักจะรู้ตัว เวลาที่ทำอย่างนั้นและหยุดมันได้
วิธีเลียนแบบ ถ้าคุณหิวจริงๆ กินของว่างที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ถั่วหนึ่งกำมือ เพื่อหยุดตัวเองเอาไว้ ก่อนรออาหารมื้อต่อไป แต่ถ้าคุณหงุดหงิด เหงา หรือเหนื่อย ลองหาทางออกที่ปราศจากแคลอรี่ เช่น ออกไปวิ่งหรือกระโดดโลดเต้นไปมารอบๆ อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ความโกรธหายไป เหงาก็โทรหาเพื่อน หรือไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าหรือถ้าเหนื่อยก็ไปนอนเสียดีกว่า
4. พวกเธอกินผลไม้มากกว่า
งานวิจัยเมื่อปี 2006 ใน Journal of the American Dieletic Association ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงรูปร่างผอมบาง มักกินผลไม้มากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละวัน กินเส้นใยอาหารมากกว่าและกินไขมันน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนอ้วน
วิธีเลียนแบบ ลองเริ่มสำรวจการกินของคุณเพื่อหาทางเพิ่มผลไม้ (ไม่ใช่น้ำผลไม้นะ) เข้าไป ตั้งเป้ากินให้ได้สองหรือสามส่วนต่อวัน เช่น เพิ่มผลไม้ลงไปในอาหารแต่ละมื้อ หรือกินผลไม้เป็นของหวาน
5. พวกเธอสร้างความเคยชิน
การกินอาหารหลากหลายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหลากหลายมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินอาหารที่มีรสชาติแตกต่างกันมากเกินไปทำให้คุณยิ่งกินมากขึ้น คนผอมมักจะมีรูปแบบของการกินที่วางแผนมาแล้วอย่างดี มีของแปลกๆ เพิ่มเข้ามา 2-3 อย่าง แต่ส่วนใหญ่อาหารของพวกเธอจะคาดเดาได้
วิธีเลียนแบบ ลองกินอาหารหลักๆ ซ้ำกันในแต่ละมื้อ เช่น กินซีเรียลตอนเช้า กินสลัดตอนกลางวัน กินปลาตอนเย็น เป็นต้น มันโอ.เค. ที่จะเพิ่มทูน่าหรือไก่ย่างเข้าไปกับสลัดผักในบางวัน แต่การกินกับอาหารหลักๆ ที่เดาได้ คุณจะจำกัดโอกาสที่จะกินมากเกินไปได้
6. พวกเธอรู้จักการควบคุมตัวเอง
งานวิจัยที่มหาวิทยาลัย Tufts พบว่า ปัจจัยที่ทำนายได้ถึงการมีน้ำหนักขึ้นของผู้หญิงในวัย 50 และ 60 คือระดับของความยับยั้งชั่งใจ ผู้หญิงที่มีความยับยั้งชั่งใจสูงจะมีดัชนีมวลกายต่ำกว่า
วิธีเลียนแบบ เตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่คุณมักจะขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างมาก เช่น ท่ามกลางบรรยากาศการเฉลิมฉลองหรือเวลาอยู่กับเพื่อน ถ้าคุณชอบกินตอนงานเลี้ยง บอกตัวเองว่าคุณจะกินของว่างแค่หนึ่งชิ้นในรอบที่สี่ ซึ่งมันถูกส่งผ่านมา ถ้าคุณกินมื้อค่ำนอกบ้านลองสั่งอาหารมาแบ่งกันกับเพื่อน หรือถ้าคุณเครียด ก็ให้แน่ใจว่าคุณมีของว่างที่เคี้ยวได้ (อย่างเช่น ผลไม้หรือแครอตแท่ง) เอาไว้ใกล้มือ
7. พวกเธอชอบเคลื่อนไหว
โดยเฉลี่ยผู้หญิงรูปร่างผอมจะยืนมากกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งในแต่ละวัน ที่สามารถช่วยเผาผลาญได้ 33 ปอนด์ต่อปี นี่เป็นผลจากการศึกษาของคลินิกเมโย ในเมืองโรเชลเตอร์ สหรัฐฯ
วิธีเลียนแบบ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนเรามักประเมินความแอ็คทีฟของตัวเองเกินจริง คนส่วนใหญ่มักใช้เวลา 16-20 ชั่วโมงในแต่ละวันไปกับการนั่ง ใส่เครื่องนับก้าวเพื่อดูว่าคุณเข้าใกล้จำนวน 10,000 ก้าวแค่ไหน และในแต่ละวันคุณควรออกกำลัง 30 นาที รวมกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่น การเดินขึ้นบันได
8. พวกเธอนอนหลับสนิท
ผู้หญิงที่ผอมบางมักนอนมากกว่าคนน้ำหนักเกิน 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ งานวิจัยของโรงเรียนแพทย์อีสเทิร์นเวอร์จิเนียบอกเช่นนั้น นักวิจัยเชื่อว่าการนอนน้อยทำให้ระดับของฮอร์โมนที่ช่วยกดความอยากอาหาร (Lepfin) ต่ำลง และระดับของฮอร์โมนที่เพิ่มความอยากอาหาร (Ghrelin) สูงขึ้น
วิธีเลียนแบบ สองชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็คือประมาณ 17 นาที/ต่อวัน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายกว่ามาก แม้คุณจะงานยุ่งเพียงใดก็ตาม เริ่มต้นตรงนั้นและค่อยๆ เพิ่มเวลานอนให้ได้วันละ 8 ชั่วโมงในแต่ละคืน ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใหญ่ส่วนมาก
เราทุกคนคงต่างก็มีเพื่อนรูปร่างผอมบางกันอย่างน้อยก็คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่เคยอ้วนขึ้นเลยสักที นั่นเพราะผลจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า คนที่มีรูปร่างผอมบางมักไม่ได้คิดถึงเรื่องอาหารแบบเดียวกับคนอื่นๆ พวกเธอจะผ่อนคลายกับการกิน ขณะที่คนซึ่งน้ำหนักเกินส่วนใหญ่มักจะหมกมุ่นกับเรื่องการกินมากกว่า ลองมาแอบดูว่าคนผอมๆ ทำหรือไม่ทำอะไร แล้วคุณจะเลียนแบบพวกเธอได้ยังไงบ้าง
1. พวกเธอเลือกอาหารที่ทำให้พึงพอใจมากกว่าอิ่มจนแน่นท้อง
ในอัตราส่วนความอิ่มจาก 1 ถึง 10 ผู้หญิงรูปร่างผอมจะหยุดกินเมื่อถึงระดับ 6 หรือ 7 ขณะที่คนส่วนมากมักกินต่อไปจนถึงระดับ 8 หรือ 10 มันอาจเพราะคุณสำคัญผิดระหว่างความอิ่มกับความพึงพอใจ หรือคุณอาจเคยชินกับการกินทุกอย่างตรงหน้าจนหมดเกลี้ยงไม่ว่าคุณจะต้องการมันจริงๆ หรือไม่ก็ตาม
วิธีเลียนแบบ เพื่อกินแบบเดียวกับผู้มีรูปร่างผอม วางช้อนลง และประเมินความอิ่มจากอัตราส่วน 1 ถึง 10 ทำแบบเดียวกันอีกครั้ง เมื่อเหลือสักห้าคำ เป้าหมายก็คือเพิ่มความรู้ตัวถึงความพึงพอใจของตัวเองในระหว่างการกิน (มันยังทำให้คุณกินช้าลงซึ่งให้โอกาสความอิ่มส่งสัญญาณเข้ามา)
2 . พวกเธอรู้ว่าความหิวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
คนส่วนใหญ่ที่ดิ้นรนกับเรื่องน้ำหนักตัวมักมองความหิวเป็นสิ่งที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนั้น ถ้าคุณกลัวความหิว คุณอาจกินมากเกินไปอยู่เสมอ แต่คนผอมๆ จะทนได้มากกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงมัน
วิธีเลียนแบบ เลือกวันที่ยุ่งๆ เพื่อชะลอเวลาอาหารกลางวันออกไปอย่างจงใจสักหนึ่งหรือสองชั่วโมง หรือลองพยายามงดของว่างมื้อบ่ายสักหนึ่งวัน คุณจะเห็นได้ว่าตัวเองก็ยังสบายดีอยู่ จากนั้น ครั้งต่อไปที่คุณได้ยินเสียงท้องร้อง คุณจะหยุดตัวเองไม่ให้ตรงดิ่งไปยังตู้เย็นในทันทีได้
3. พวกเธอไม่ใช้อาหารเพื่อเยียวยาอารมณ์เศร้า
ไม่ใช่ว่าผู้หญิงรูปร่างผอมบางมีภูมิต้านทานต่อการกินตามอารมณ์ แต่พวกเธอมักจะรู้ตัว เวลาที่ทำอย่างนั้นและหยุดมันได้
วิธีเลียนแบบ ถ้าคุณหิวจริงๆ กินของว่างที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ถั่วหนึ่งกำมือ เพื่อหยุดตัวเองเอาไว้ ก่อนรออาหารมื้อต่อไป แต่ถ้าคุณหงุดหงิด เหงา หรือเหนื่อย ลองหาทางออกที่ปราศจากแคลอรี่ เช่น ออกไปวิ่งหรือกระโดดโลดเต้นไปมารอบๆ อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ความโกรธหายไป เหงาก็โทรหาเพื่อน หรือไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าหรือถ้าเหนื่อยก็ไปนอนเสียดีกว่า
4. พวกเธอกินผลไม้มากกว่า
งานวิจัยเมื่อปี 2006 ใน Journal of the American Dieletic Association ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงรูปร่างผอมบาง มักกินผลไม้มากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละวัน กินเส้นใยอาหารมากกว่าและกินไขมันน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนอ้วน
วิธีเลียนแบบ ลองเริ่มสำรวจการกินของคุณเพื่อหาทางเพิ่มผลไม้ (ไม่ใช่น้ำผลไม้นะ) เข้าไป ตั้งเป้ากินให้ได้สองหรือสามส่วนต่อวัน เช่น เพิ่มผลไม้ลงไปในอาหารแต่ละมื้อ หรือกินผลไม้เป็นของหวาน
5. พวกเธอสร้างความเคยชิน
การกินอาหารหลากหลายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหลากหลายมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินอาหารที่มีรสชาติแตกต่างกันมากเกินไปทำให้คุณยิ่งกินมากขึ้น คนผอมมักจะมีรูปแบบของการกินที่วางแผนมาแล้วอย่างดี มีของแปลกๆ เพิ่มเข้ามา 2-3 อย่าง แต่ส่วนใหญ่อาหารของพวกเธอจะคาดเดาได้
วิธีเลียนแบบ ลองกินอาหารหลักๆ ซ้ำกันในแต่ละมื้อ เช่น กินซีเรียลตอนเช้า กินสลัดตอนกลางวัน กินปลาตอนเย็น เป็นต้น มันโอ.เค. ที่จะเพิ่มทูน่าหรือไก่ย่างเข้าไปกับสลัดผักในบางวัน แต่การกินกับอาหารหลักๆ ที่เดาได้ คุณจะจำกัดโอกาสที่จะกินมากเกินไปได้
6. พวกเธอรู้จักการควบคุมตัวเอง
งานวิจัยที่มหาวิทยาลัย Tufts พบว่า ปัจจัยที่ทำนายได้ถึงการมีน้ำหนักขึ้นของผู้หญิงในวัย 50 และ 60 คือระดับของความยับยั้งชั่งใจ ผู้หญิงที่มีความยับยั้งชั่งใจสูงจะมีดัชนีมวลกายต่ำกว่า
วิธีเลียนแบบ เตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่คุณมักจะขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างมาก เช่น ท่ามกลางบรรยากาศการเฉลิมฉลองหรือเวลาอยู่กับเพื่อน ถ้าคุณชอบกินตอนงานเลี้ยง บอกตัวเองว่าคุณจะกินของว่างแค่หนึ่งชิ้นในรอบที่สี่ ซึ่งมันถูกส่งผ่านมา ถ้าคุณกินมื้อค่ำนอกบ้านลองสั่งอาหารมาแบ่งกันกับเพื่อน หรือถ้าคุณเครียด ก็ให้แน่ใจว่าคุณมีของว่างที่เคี้ยวได้ (อย่างเช่น ผลไม้หรือแครอตแท่ง) เอาไว้ใกล้มือ
7. พวกเธอชอบเคลื่อนไหว
โดยเฉลี่ยผู้หญิงรูปร่างผอมจะยืนมากกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งในแต่ละวัน ที่สามารถช่วยเผาผลาญได้ 33 ปอนด์ต่อปี นี่เป็นผลจากการศึกษาของคลินิกเมโย ในเมืองโรเชลเตอร์ สหรัฐฯ
วิธีเลียนแบบ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนเรามักประเมินความแอ็คทีฟของตัวเองเกินจริง คนส่วนใหญ่มักใช้เวลา 16-20 ชั่วโมงในแต่ละวันไปกับการนั่ง ใส่เครื่องนับก้าวเพื่อดูว่าคุณเข้าใกล้จำนวน 10,000 ก้าวแค่ไหน และในแต่ละวันคุณควรออกกำลัง 30 นาที รวมกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่น การเดินขึ้นบันได
8. พวกเธอนอนหลับสนิท
ผู้หญิงที่ผอมบางมักนอนมากกว่าคนน้ำหนักเกิน 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ งานวิจัยของโรงเรียนแพทย์อีสเทิร์นเวอร์จิเนียบอกเช่นนั้น นักวิจัยเชื่อว่าการนอนน้อยทำให้ระดับของฮอร์โมนที่ช่วยกดความอยากอาหาร (Lepfin) ต่ำลง และระดับของฮอร์โมนที่เพิ่มความอยากอาหาร (Ghrelin) สูงขึ้น
วิธีเลียนแบบ สองชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็คือประมาณ 17 นาที/ต่อวัน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายกว่ามาก แม้คุณจะงานยุ่งเพียงใดก็ตาม เริ่มต้นตรงนั้นและค่อยๆ เพิ่มเวลานอนให้ได้วันละ 8 ชั่วโมงในแต่ละคืน ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใหญ่ส่วนมาก
ทีเด็ด..มะเขือเทศสีแดงสด
ทีเด็ด..มะเขือเทศสีแดงสด (Momypedia)
สงสัยเป็นเพราะบ้านเกิดอยู่ไกลถึงอเมริกาใต้นู่น เจ้าหล่อนหุ่นอวบอ้วนกลมนี้จึง ได้ชื่อว่า "มะเขือ...เทศ" แต่ถึงจะมาไกลแค่ไหนเราก็คุ้นเคยกับมะเขือเทศกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ในฐานะผักที่อวดสีสันและรสชาติในอาหารหลากหลายชนิด มาคราวนี้เธอเลยขอประกาศตัวให้รู้กันทั่วว่า "ฉันเนี่ย..ผลไม้นะจ๊ะ" ขอบอก
แม้หุ่นจะไม่ยั่วยวนชวนให้เป็นนางเอก แต่สีผิวแดงสุกปลั่งและคุณประโยชน์ซึ่งอัดแน่นอยู่ในลูกกลมๆ ของมะเขือเทศ ก็ทำให้หล่อนกลายเป็นนางเอกในใจของใครหลายๆ คนได้เหมือนกัน ไอ้เรื่องมีวิตามินเอ บี ซี อยู่ในตัวใครเขาก็รู้กันอยู่แล้วเราไม่ขอพูดถึง แต่ที่จะบอกกันคราวนี้เป็นเรื่องของสารพิเศษ 2 ชนิดในตัวของมะเขือเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความงามของคุณผู้หญิง และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของคุณผู้ชายค่ะ
เริ่มกันที่เบต้าแคโรทีน.....
สารตัวนี้นอกจากจะช่วยต้านมะเร็งแล้ว ยังช่วยขัดขวางการทำงานของอนุมูลอิสระ ตัวการสำคัญที่สร้างริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพราะเจ้าอนุมูลอิสระนี้สามารถเข้าไปทำลายขดคอลลาเจนและหลอดเลือดบริเวณผิวพรรณของสาวๆ ทำให้ผิวหน้าเนียนสวยมีอันต้องหมดสวย แต่ปัญหาเหล่านั้นจะไม่มากวนใจคุณ ถ้าหมั่นบริโภคมะเขือเทศ เพราะนอกจากจะป้องกันการเกิดริ้วรอยตกกระ ผิวหน้าเหี่ยวย่นและสิวแล้ว ยังลดการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งด้วยนะคะ คุณผู้ชายคนใดสนใจใช้บริการนี้ก็เชิญได้ค่ะ
ไลโคฟิน...
มาถึงตัวต่อไปก็คือ เจ้าสารสีแดงที่มีอยู่ในมะเขือเทศ ที่เรียกกันว่า ไลโคฟิน สารตัวนี้มีฤทธิ์ต้านการเกิดมะเร็งได้มากกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 2 เท่า ที่ฮาวายและนอร์เวย์ไม่ค่อยมีคนเป็นมะเร็งกระเพาะและมะเร็งปอด ก็เพราะมะเขือเทศเป็นอาหารยอดฮิตในใจเขาล่ะ แต่ที่น่าสนใจสำหรับคุณผู้ชายก็คือ ที่อเมริกาค้นพบว่า สารตัวนี้ช่วยลดการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ค่ะ
บอกแล้วไงคะว่าพิเศษจริงๆ อย่างนี้จะไม่ให้เป็นนางเอกในใจใครหลายคนได้ไง
สงสัยเป็นเพราะบ้านเกิดอยู่ไกลถึงอเมริกาใต้นู่น เจ้าหล่อนหุ่นอวบอ้วนกลมนี้จึง ได้ชื่อว่า "มะเขือ...เทศ" แต่ถึงจะมาไกลแค่ไหนเราก็คุ้นเคยกับมะเขือเทศกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ในฐานะผักที่อวดสีสันและรสชาติในอาหารหลากหลายชนิด มาคราวนี้เธอเลยขอประกาศตัวให้รู้กันทั่วว่า "ฉันเนี่ย..ผลไม้นะจ๊ะ" ขอบอก
แม้หุ่นจะไม่ยั่วยวนชวนให้เป็นนางเอก แต่สีผิวแดงสุกปลั่งและคุณประโยชน์ซึ่งอัดแน่นอยู่ในลูกกลมๆ ของมะเขือเทศ ก็ทำให้หล่อนกลายเป็นนางเอกในใจของใครหลายๆ คนได้เหมือนกัน ไอ้เรื่องมีวิตามินเอ บี ซี อยู่ในตัวใครเขาก็รู้กันอยู่แล้วเราไม่ขอพูดถึง แต่ที่จะบอกกันคราวนี้เป็นเรื่องของสารพิเศษ 2 ชนิดในตัวของมะเขือเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความงามของคุณผู้หญิง และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของคุณผู้ชายค่ะ
เริ่มกันที่เบต้าแคโรทีน.....
สารตัวนี้นอกจากจะช่วยต้านมะเร็งแล้ว ยังช่วยขัดขวางการทำงานของอนุมูลอิสระ ตัวการสำคัญที่สร้างริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพราะเจ้าอนุมูลอิสระนี้สามารถเข้าไปทำลายขดคอลลาเจนและหลอดเลือดบริเวณผิวพรรณของสาวๆ ทำให้ผิวหน้าเนียนสวยมีอันต้องหมดสวย แต่ปัญหาเหล่านั้นจะไม่มากวนใจคุณ ถ้าหมั่นบริโภคมะเขือเทศ เพราะนอกจากจะป้องกันการเกิดริ้วรอยตกกระ ผิวหน้าเหี่ยวย่นและสิวแล้ว ยังลดการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งด้วยนะคะ คุณผู้ชายคนใดสนใจใช้บริการนี้ก็เชิญได้ค่ะ
ไลโคฟิน...
มาถึงตัวต่อไปก็คือ เจ้าสารสีแดงที่มีอยู่ในมะเขือเทศ ที่เรียกกันว่า ไลโคฟิน สารตัวนี้มีฤทธิ์ต้านการเกิดมะเร็งได้มากกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 2 เท่า ที่ฮาวายและนอร์เวย์ไม่ค่อยมีคนเป็นมะเร็งกระเพาะและมะเร็งปอด ก็เพราะมะเขือเทศเป็นอาหารยอดฮิตในใจเขาล่ะ แต่ที่น่าสนใจสำหรับคุณผู้ชายก็คือ ที่อเมริกาค้นพบว่า สารตัวนี้ช่วยลดการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ค่ะ
บอกแล้วไงคะว่าพิเศษจริงๆ อย่างนี้จะไม่ให้เป็นนางเอกในใจใครหลายคนได้ไง
ส้ม...แสนรัก
ส้ม...แสนรัก (Momypedia)
คุณรู้จัก "ส้ม" กันดีแล้วหรือยัง ถ้ายังตามมาเลยค่ะ
พูดถึง "ส้ม" หลายคนบอกว่า...ฉันรู้จักดี เพราะส้มเป็นผลไม้แสนฮิต มีให้เลือกหลายชนิด ที่สำคัญส้มไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายด้วย
ส้มเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ที่ให้ทั้งรสเปรี้ยวและหวาน จึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือ ให้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น
ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย
ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน
มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น
ส้ม...ลักษณะเด่นที่แตกต่าง
ส้มในบ้านเรามีหลายชนิด ทั้งส้มให้ความเปรี้ยวและส้มให้ความหวาน แต่ละชนิดก็มีลักษณะเด่นและการนำไปใช้แตกต่างกันไป อาทิเช่น
ส้มซันคิสต์ มีรสชาติอร่อยเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำทั้งน้ำและเปลือกมาทำขนม ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ เค้ก หรือแยม
ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวานฉ่ำ เหมาะสำหรับกินสดๆ หรือคั้นดื่ม เพราะเปลือกบางทำให้คั้นได้ง่าย ส้มจุก มีรสชาติและสีใกล้เคียงกับส้มเช้ง คือ หวานอ่อนๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่ต้องการลดน้ำหนักค่ะ
ส้มโอ เป็นส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาว เช่น ยำส้มโอ ใส่ในข้าวยำน้ำบูดู ใส่ในสลัด หรือทำอาหารหวาน เช่น ส้มโอลอยแก้ว ส่วนเปลือกของส้มโอที่มีสีขาวนุ่ม รสชาติขมๆ อยู่ติดกับเปลือก ยังสามารถนำมาเชื่อมได้อีกค่ะ
ส้มจี๊ด คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมกินเพราะเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมกินโดยเฉพาะนำมาคั้นทำน้ำส้ม หรือนำมาอบแห้งค่ะ
ส้มจีน เป็นส้มที่กินสด หรือนิยมนำมาไหว้เจ้าหรือไหว้บรรพบุรุษ เพราะคำว่าส้มในภาษาจีนจะฟังเหมือนคำว่าทอง และสีก็เหมือนทองด้วย จึงถือเป็นผลไม้มงคลสำหรับชาวจีนค่ะ
เลมอน เป็นส้มที่มีรสชาติคล้ายมะนาว แต่จะมีรสหวานนิดๆ ส่วนใหญ่เป็นส้มที่ชาวต่างชาตินิยมนำมาทำอาหารแทนมะนาว เพราะไม่มีมะนาว หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่มในฤดูร้อน เพราะต่างประเทศไม่มีมะนาวนั่นเองค่ะ
มะนาว เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่ให้ความเปรี้ยวมากที่สุด จึงนำมาปรุงอาหารได้สารพัด เช่น ต้มยำ ยำต่างๆ น้ำพริก รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด ฯลฯ
มะกรูด เป็นหนึ่งในตระกูลส้มชนิดเดียวที่ไม่ได้นำน้ำหรือความเปรี้ยวมาปรุงอาหาร เพราะคนส่วนใหญ่จะนำกลิ่นหอมจากเปลือกมะกรูดมาใช้มากกว่า เช่น ใส่ในแกงมัสมั่น แกงเทโพ หรือทำหน้าหมี่กรอบ ส่วนน้ำมะกรูดนำมาทำเป็นยาสระผมค่ะ
ส้ม...กินอย่างไรให้เหมาะ
ส้มไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะส้มยังมีประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กของคุณอีกด้วย
สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำส้มคั้น ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าต้องให้หลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมกับเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ที่สำคัญการให้น้ำส้มกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตามควรผสมน้ำในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากส้มจะมีรสชาติเข้มข้นการให้น้ำส้มลูกโดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ค่ะ
พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบ แล้วค่อยให้น้ำส้มอย่างเดียว เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ติดหวานตั้งแต่ตัวน้อยๆ ค่ะ
สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน ถ้าคิดจะกินส้ม ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง จึงควรกินเป็นผลเพราะจะมีกากใยดีกว่าเป็นน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มหลายผล
ส้ม...การเลือกซื้อ
การเลือกซื้อส้มที่มีรสหวาน รสชาติอร่อยนั้น ควรเลือกที่มีผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เช่นเดียวกับมะนาวที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบางก็จะให้น้ำเยอะ ถ้าเป็นส้มเขียวหวานก็จะหวานมาก ยกเว้นมะกรูดค่ะ เพราะธรรมชาติของมะกรูดผิวจะขรุขระไม่เสมอกันอยู่แล้ว
ทราบคุณประโยชน์ที่แตกต่างของส้มแต่ละชนิด รวมทั้งการเลือกซื้อเพื่อให้ได้ส้มที่คุณภาพดีกันแล้ว ผลไม้ตั้งโต๊ะของครอบครัวมื้อต่อไปต้องไม่พลาดส้มแน่นอน
คุณรู้จัก "ส้ม" กันดีแล้วหรือยัง ถ้ายังตามมาเลยค่ะ
พูดถึง "ส้ม" หลายคนบอกว่า...ฉันรู้จักดี เพราะส้มเป็นผลไม้แสนฮิต มีให้เลือกหลายชนิด ที่สำคัญส้มไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายด้วย
ส้มเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ที่ให้ทั้งรสเปรี้ยวและหวาน จึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือ ให้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น
ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย
ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน
มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น
ส้ม...ลักษณะเด่นที่แตกต่าง
ส้มในบ้านเรามีหลายชนิด ทั้งส้มให้ความเปรี้ยวและส้มให้ความหวาน แต่ละชนิดก็มีลักษณะเด่นและการนำไปใช้แตกต่างกันไป อาทิเช่น
ส้มซันคิสต์ มีรสชาติอร่อยเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำทั้งน้ำและเปลือกมาทำขนม ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ เค้ก หรือแยม
ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวานฉ่ำ เหมาะสำหรับกินสดๆ หรือคั้นดื่ม เพราะเปลือกบางทำให้คั้นได้ง่าย ส้มจุก มีรสชาติและสีใกล้เคียงกับส้มเช้ง คือ หวานอ่อนๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่ต้องการลดน้ำหนักค่ะ
ส้มโอ เป็นส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาว เช่น ยำส้มโอ ใส่ในข้าวยำน้ำบูดู ใส่ในสลัด หรือทำอาหารหวาน เช่น ส้มโอลอยแก้ว ส่วนเปลือกของส้มโอที่มีสีขาวนุ่ม รสชาติขมๆ อยู่ติดกับเปลือก ยังสามารถนำมาเชื่อมได้อีกค่ะ
ส้มจี๊ด คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมกินเพราะเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมกินโดยเฉพาะนำมาคั้นทำน้ำส้ม หรือนำมาอบแห้งค่ะ
ส้มจีน เป็นส้มที่กินสด หรือนิยมนำมาไหว้เจ้าหรือไหว้บรรพบุรุษ เพราะคำว่าส้มในภาษาจีนจะฟังเหมือนคำว่าทอง และสีก็เหมือนทองด้วย จึงถือเป็นผลไม้มงคลสำหรับชาวจีนค่ะ
เลมอน เป็นส้มที่มีรสชาติคล้ายมะนาว แต่จะมีรสหวานนิดๆ ส่วนใหญ่เป็นส้มที่ชาวต่างชาตินิยมนำมาทำอาหารแทนมะนาว เพราะไม่มีมะนาว หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่มในฤดูร้อน เพราะต่างประเทศไม่มีมะนาวนั่นเองค่ะ
มะนาว เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่ให้ความเปรี้ยวมากที่สุด จึงนำมาปรุงอาหารได้สารพัด เช่น ต้มยำ ยำต่างๆ น้ำพริก รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด ฯลฯ
มะกรูด เป็นหนึ่งในตระกูลส้มชนิดเดียวที่ไม่ได้นำน้ำหรือความเปรี้ยวมาปรุงอาหาร เพราะคนส่วนใหญ่จะนำกลิ่นหอมจากเปลือกมะกรูดมาใช้มากกว่า เช่น ใส่ในแกงมัสมั่น แกงเทโพ หรือทำหน้าหมี่กรอบ ส่วนน้ำมะกรูดนำมาทำเป็นยาสระผมค่ะ
ส้ม...กินอย่างไรให้เหมาะ
ส้มไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะส้มยังมีประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กของคุณอีกด้วย
สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำส้มคั้น ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าต้องให้หลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมกับเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ที่สำคัญการให้น้ำส้มกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตามควรผสมน้ำในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากส้มจะมีรสชาติเข้มข้นการให้น้ำส้มลูกโดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ค่ะ
พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบ แล้วค่อยให้น้ำส้มอย่างเดียว เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ติดหวานตั้งแต่ตัวน้อยๆ ค่ะ
สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน ถ้าคิดจะกินส้ม ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง จึงควรกินเป็นผลเพราะจะมีกากใยดีกว่าเป็นน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มหลายผล
ส้ม...การเลือกซื้อ
การเลือกซื้อส้มที่มีรสหวาน รสชาติอร่อยนั้น ควรเลือกที่มีผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เช่นเดียวกับมะนาวที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบางก็จะให้น้ำเยอะ ถ้าเป็นส้มเขียวหวานก็จะหวานมาก ยกเว้นมะกรูดค่ะ เพราะธรรมชาติของมะกรูดผิวจะขรุขระไม่เสมอกันอยู่แล้ว
ทราบคุณประโยชน์ที่แตกต่างของส้มแต่ละชนิด รวมทั้งการเลือกซื้อเพื่อให้ได้ส้มที่คุณภาพดีกันแล้ว ผลไม้ตั้งโต๊ะของครอบครัวมื้อต่อไปต้องไม่พลาดส้มแน่นอน
ตากแดดวันละ 30 นาที ป้องกันกระดูกพรุน
ตากแดดวันละ 30 นาที ป้องกันกระดูกพรุน (ไอเอ็นเอ็น)
เผยผลวิจัยผู้อาศัยอยู่อาศัยในเขตเมืองขาดวิตามินดีจำนวนมาก แนะหมั่นตากแดด ออกกำลังกายกลางแจ้งวันละ 30 นาที ช่วยสร้างวิตามินดีให้ร่างกายป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ในอนาคต
รศ.นพ.ศุภศิลป์ สุนทราภา อาจารย์ประจำภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงผลการวิจัยเรื่องความชุกของภาวะขาดวิตามินดีในบุรุษสุงอายุที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง จ.ขอนแก่น ประเทศไทย ซึ่งได้รับทุนการวิจัยจากสำนักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองมีภาวะขาดวิตามินดีเป็นจำนวนมาก โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นขาดแคลนวิตามินดี 65 % กลุ่มคนวัยทอง 60% และกลุ่มสตรีที่หมดประจำเดือนมีมากถึง 80% ซึ่งส่งผลทำให้กลุ่มคนดังกล่าวเกิดความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้ในอนาคต
ทั้งนี้วิตามินดีเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ โดยจะไปช่วยยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid) ซึ่งเป็นฮอร์โมนอันตรายที่จะไปสลายแคลเซียมออกจากกระดูก นอกจากนี้แล้ววิตามินดียังช่วยสร้างสารออสธีโอเคลซิน (osteocalcin) ช่วยดึงแคลเซียมเข้ามาในกระดูก และช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เป็นการป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ทางหนึ่ง อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงการหกล้มของผู้สูงวัยได้ด้วย
รศ.นพ.ศุภศิลป์ กล่าวอีกว่า ร่ายกายของมนุษย์จำเป็นต้องได้รับวิตามินดี 400-800 ยูนิตต่อวัน การเพิ่มวิตามินดีให้กับร่างกายนั้นสามารถทำได้โดยการทานน้ำมันตับปลา เนื้อปลา และวิตามินดีแบบเม็ด หรือการสร้างวิตามินด้วยตัวเองซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดที่สุด นั่นคือ การเปิดรับแสงแดดผ่านทางผิวหนังซึ่งแสงแดดมีคุณสมบัติในการสร้างวิตามินให้กับร่างกาย เช่น การออกกำลังกายกลางแจ้ง การเดินตากแดด เป็นต้น สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสม คือตั้งแต่ 8.00-10.00 น. และ 15.00-17.00 น. อันเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดไม่แรงและไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังมากเกินไป ซึ่งเวลาเพียง 30 นาทีที่ผิวหนังเปิดรับแสงแดดเข้าสู่ร่างกายจะสามารถสร้างวิตามินดีให้กับร่างกายได้ถึง 200 ยูนิตเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองทำให้สุขภาพแย่ลง ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองซึ่งอยู่แต่ในบ้านอยู่แต่ที่ทำงานในร่มไม่ถูกแสงแดดจะขาดวิตามินดีมากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบทที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านโดนแดดตามไร่ นา ทำให้ร่างกายได้รับแสงแดดไปช่วยสร้างวิตามินดีได้มากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง
"ดังนั้นผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองที่มีโอกาสถูกแดดน้อย จะต้องหมั่นให้ร่างกายได้รับแสงแดดบ่อยๆ ต้องออกกำลังกายกลางแจ้ง เดินถูกแสงแดดบ้างตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะการถูกแสงแดดนานๆ จะช่วยสร้างวิตามินดีได้มาก และไม่ต้องกลัวว่าการที่วิตามินดีสะสมในร่างกายในปริมาณมากจะเป็นอันตราย เพราะร่างกายมีกระบวนการปกป้องและควบคุมด้วยตนเอง โดยร่างกายจะค่อยๆ นำวิตามินดีที่สะสมออกมาใช้และบางส่วนจะถูกแปลงให้เป็นวิตามินดีที่ไม่มีผลกระทบต่อร่างกายแต่อย่างใด" รศ.นพ.ศุภศิลป์ กล่าว
เผยผลวิจัยผู้อาศัยอยู่อาศัยในเขตเมืองขาดวิตามินดีจำนวนมาก แนะหมั่นตากแดด ออกกำลังกายกลางแจ้งวันละ 30 นาที ช่วยสร้างวิตามินดีให้ร่างกายป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ในอนาคต
รศ.นพ.ศุภศิลป์ สุนทราภา อาจารย์ประจำภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงผลการวิจัยเรื่องความชุกของภาวะขาดวิตามินดีในบุรุษสุงอายุที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง จ.ขอนแก่น ประเทศไทย ซึ่งได้รับทุนการวิจัยจากสำนักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองมีภาวะขาดวิตามินดีเป็นจำนวนมาก โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นขาดแคลนวิตามินดี 65 % กลุ่มคนวัยทอง 60% และกลุ่มสตรีที่หมดประจำเดือนมีมากถึง 80% ซึ่งส่งผลทำให้กลุ่มคนดังกล่าวเกิดความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้ในอนาคต
ทั้งนี้วิตามินดีเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ โดยจะไปช่วยยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid) ซึ่งเป็นฮอร์โมนอันตรายที่จะไปสลายแคลเซียมออกจากกระดูก นอกจากนี้แล้ววิตามินดียังช่วยสร้างสารออสธีโอเคลซิน (osteocalcin) ช่วยดึงแคลเซียมเข้ามาในกระดูก และช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เป็นการป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ทางหนึ่ง อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงการหกล้มของผู้สูงวัยได้ด้วย
รศ.นพ.ศุภศิลป์ กล่าวอีกว่า ร่ายกายของมนุษย์จำเป็นต้องได้รับวิตามินดี 400-800 ยูนิตต่อวัน การเพิ่มวิตามินดีให้กับร่างกายนั้นสามารถทำได้โดยการทานน้ำมันตับปลา เนื้อปลา และวิตามินดีแบบเม็ด หรือการสร้างวิตามินด้วยตัวเองซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดที่สุด นั่นคือ การเปิดรับแสงแดดผ่านทางผิวหนังซึ่งแสงแดดมีคุณสมบัติในการสร้างวิตามินให้กับร่างกาย เช่น การออกกำลังกายกลางแจ้ง การเดินตากแดด เป็นต้น สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสม คือตั้งแต่ 8.00-10.00 น. และ 15.00-17.00 น. อันเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดไม่แรงและไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังมากเกินไป ซึ่งเวลาเพียง 30 นาทีที่ผิวหนังเปิดรับแสงแดดเข้าสู่ร่างกายจะสามารถสร้างวิตามินดีให้กับร่างกายได้ถึง 200 ยูนิตเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองทำให้สุขภาพแย่ลง ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองซึ่งอยู่แต่ในบ้านอยู่แต่ที่ทำงานในร่มไม่ถูกแสงแดดจะขาดวิตามินดีมากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบทที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านโดนแดดตามไร่ นา ทำให้ร่างกายได้รับแสงแดดไปช่วยสร้างวิตามินดีได้มากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง
"ดังนั้นผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองที่มีโอกาสถูกแดดน้อย จะต้องหมั่นให้ร่างกายได้รับแสงแดดบ่อยๆ ต้องออกกำลังกายกลางแจ้ง เดินถูกแสงแดดบ้างตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะการถูกแสงแดดนานๆ จะช่วยสร้างวิตามินดีได้มาก และไม่ต้องกลัวว่าการที่วิตามินดีสะสมในร่างกายในปริมาณมากจะเป็นอันตราย เพราะร่างกายมีกระบวนการปกป้องและควบคุมด้วยตนเอง โดยร่างกายจะค่อยๆ นำวิตามินดีที่สะสมออกมาใช้และบางส่วนจะถูกแปลงให้เป็นวิตามินดีที่ไม่มีผลกระทบต่อร่างกายแต่อย่างใด" รศ.นพ.ศุภศิลป์ กล่าว
สารก่อสิวและยารักษา
สารก่อสิวและยารักษา (มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค)
สารก่อสิว (Comedogenic agents) พบได้จากส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น
1. เครื่องสำอางที่มีไขมันและน้ำมันชนิดหนัก (heavy oils) เป็นองค์ประกอบ สามารถก่อให้เกิดสิวได้ง่าย ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง ตัวอย่างเช่น น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันมะกอก, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันถั่ว, Cocoa butter, Lanolin (จากขนแกะ), Myristyl myristate, Isopropyl myristate, Isopropyl palmitate เป็นต้น
2. ผลิตภัณฑ์สเปรย์สำหรับเส้นผม มีองค์ประกอบที่สำคัญที่ก่อสิว คือ ไอโซโพรพิวแอลกอฮอล โพลีเมอร์ ในกลุ่ม PVA/PVP ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เส้นผมอยู่ทรงได้ดี สารชนิดนี้หากหายใจเข้าไปสะสมในปอด ก่อให้เกิดปัญหาโรคปอดได้ง่าย
3. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว สารก่อสิวที่สำคัญได้แก่ สารให้ฟองมาก Sodium lauryl sulfate (SLS), Ammonium lauryl sulfate (ALS) และสารปรับแต่งความเป็นกรด-ด่าง (พีเอช) เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NoaH), Triethanolamine (TEA)
4. สารกันเสียในผลิตภัณฑ์ทุกชนิด เช่น โพรพิวเมททิว พาราเบน (Propylmethyl Parabens) และอนุพันธ์ของสารพาราเบนอีกหลายชนิด
5. สีสังเคราะห์ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เตรียมมาจาก coal tar จะมีส่วนผสมของโลหะหนัก นอกจากเป็นสารก่อสิวแล้วยังเป็นสารก่อมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
6. แสงแดดและฝุ่นละออง รังสีดวงอาทิตย์มีผลต่อผู้ที่ผิวแพ้ง่าย ก่อให้เกิดสิวได้ ฝุ่นละอองและควันเสียจากท่อไอเสียของรถยนต์ทำให้สิวเพิ่มความรุนแรงได้
7. ยารักษาโรคบางชนิดกระตุ้นการเกิดสิว เช่น ยาสเตียรอยด์
ยารักษาสิว
ซาลิไซลิคแอซิด (Salicylic acid) และ เรตินเอ (Retin-A) ครีมหรือโลชั่น จะช่วยให้หัวสิวนุ่มลงและหลุดลอก
ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย เบนโซอิว เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide), อีริโทรไมซิน ขี้ผึ้งหรือเจล, ครินดาไมซินด์โลชั่น
ซัลเฟอร์ (Sulfur) และ รีซอร์ซินอล (Resorcinol) ทำหน้าที่ทั้งต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยให้หัวสิวนุ่มลงและหลุดลอกง่าย
ยารักษาสิวบางชนิดอาจมีส่วนผสมของตัวยาหลายชนิดผสมกัน ระยะเวลาการรักษาและเห็นผล อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือนแล้ว แต่ความรุนแรงของสิวยาบางชนิดได้ผลดี แต่อาจทำให้ผิวหน้าแพ้ง่ายเมื่อโดนแสงแดด เช่น เรตินเอ จึงควรใช้ร่วมกับครีมกันแดด และควรทาก่อนนอนเท่านั้นจะปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาเหล่านี้
ข้อสังเกต
เครื่องสำอางที่มีฉลากคำว่า "Oil free" หรือปราศจากน้ำมัน ความจริงยังคงมีน้ำมันเป็นองค์ประกอบตามปกติ แต่เป็นน้ำมันชนิดพิเศษที่ให้ความรู้สึกไม่เหนอะหนะเท่านั้นเอง และ เครื่องสำอางธรรมชาติจากสมุนไพร ก็ยังคงมีส่วนผสมของสารต่างๆ ที่อาจเป็นสารก่อสิวได้มากมาย ตามที่ยกตัวอย่างข้างต้น ผู้บริโภคจึงควรพิจารณาจากฉลาก และค่อยๆ ศึกษา หรือทำความคุ้นเคยกับชื่อเคมีเหล่านี้
สารก่อสิว (Comedogenic agents) พบได้จากส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น
1. เครื่องสำอางที่มีไขมันและน้ำมันชนิดหนัก (heavy oils) เป็นองค์ประกอบ สามารถก่อให้เกิดสิวได้ง่าย ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง ตัวอย่างเช่น น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันมะกอก, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันถั่ว, Cocoa butter, Lanolin (จากขนแกะ), Myristyl myristate, Isopropyl myristate, Isopropyl palmitate เป็นต้น
2. ผลิตภัณฑ์สเปรย์สำหรับเส้นผม มีองค์ประกอบที่สำคัญที่ก่อสิว คือ ไอโซโพรพิวแอลกอฮอล โพลีเมอร์ ในกลุ่ม PVA/PVP ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เส้นผมอยู่ทรงได้ดี สารชนิดนี้หากหายใจเข้าไปสะสมในปอด ก่อให้เกิดปัญหาโรคปอดได้ง่าย
3. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว สารก่อสิวที่สำคัญได้แก่ สารให้ฟองมาก Sodium lauryl sulfate (SLS), Ammonium lauryl sulfate (ALS) และสารปรับแต่งความเป็นกรด-ด่าง (พีเอช) เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NoaH), Triethanolamine (TEA)
4. สารกันเสียในผลิตภัณฑ์ทุกชนิด เช่น โพรพิวเมททิว พาราเบน (Propylmethyl Parabens) และอนุพันธ์ของสารพาราเบนอีกหลายชนิด
5. สีสังเคราะห์ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เตรียมมาจาก coal tar จะมีส่วนผสมของโลหะหนัก นอกจากเป็นสารก่อสิวแล้วยังเป็นสารก่อมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
6. แสงแดดและฝุ่นละออง รังสีดวงอาทิตย์มีผลต่อผู้ที่ผิวแพ้ง่าย ก่อให้เกิดสิวได้ ฝุ่นละอองและควันเสียจากท่อไอเสียของรถยนต์ทำให้สิวเพิ่มความรุนแรงได้
7. ยารักษาโรคบางชนิดกระตุ้นการเกิดสิว เช่น ยาสเตียรอยด์
ยารักษาสิว
ซาลิไซลิคแอซิด (Salicylic acid) และ เรตินเอ (Retin-A) ครีมหรือโลชั่น จะช่วยให้หัวสิวนุ่มลงและหลุดลอก
ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย เบนโซอิว เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide), อีริโทรไมซิน ขี้ผึ้งหรือเจล, ครินดาไมซินด์โลชั่น
ซัลเฟอร์ (Sulfur) และ รีซอร์ซินอล (Resorcinol) ทำหน้าที่ทั้งต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยให้หัวสิวนุ่มลงและหลุดลอกง่าย
ยารักษาสิวบางชนิดอาจมีส่วนผสมของตัวยาหลายชนิดผสมกัน ระยะเวลาการรักษาและเห็นผล อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือนแล้ว แต่ความรุนแรงของสิวยาบางชนิดได้ผลดี แต่อาจทำให้ผิวหน้าแพ้ง่ายเมื่อโดนแสงแดด เช่น เรตินเอ จึงควรใช้ร่วมกับครีมกันแดด และควรทาก่อนนอนเท่านั้นจะปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาเหล่านี้
ข้อสังเกต
เครื่องสำอางที่มีฉลากคำว่า "Oil free" หรือปราศจากน้ำมัน ความจริงยังคงมีน้ำมันเป็นองค์ประกอบตามปกติ แต่เป็นน้ำมันชนิดพิเศษที่ให้ความรู้สึกไม่เหนอะหนะเท่านั้นเอง และ เครื่องสำอางธรรมชาติจากสมุนไพร ก็ยังคงมีส่วนผสมของสารต่างๆ ที่อาจเป็นสารก่อสิวได้มากมาย ตามที่ยกตัวอย่างข้างต้น ผู้บริโภคจึงควรพิจารณาจากฉลาก และค่อยๆ ศึกษา หรือทำความคุ้นเคยกับชื่อเคมีเหล่านี้
ยิ่งกิน ยิ่งผอม
ยิ่งกิน ยิ่งผอม (woman plus)
ขัดใจจริงๆ เลยค่ะ เวลาเจอคู่มือเรียกความผอมสำหรับสาวกลัวอ้วน ไม่ว่าจะอยู่ในหนังสือเล่มไหน ก็เอาแต่บอกให้เราจำกัดปริมาณอาหาร ด้วยการนับปริมาณแคลอรีของอาหารที่เราทานเข้าไป แล้วเอาไปหักลบกลบหนี้กับปริมาณแคลอรีที่ใช้ไปในกิจกรรมต่างๆ อย่างกับเรามีเครื่องวัดแคลอรีแบบพกพายังไงยังงั้น แล้วอีกอย่างใครจะจำได้ว่าวันนี้เรากินอะไรไปบ้าง (อุ๊บส์)
เพราะในชีวิตจริง การกะปริมาณแคลอรีถือเป็นเรื่องที่ยากเอาการทีเดียว WP จึงสรรหาวิธีง่ายๆ ในการเลือกรับประทานอาหาร จะได้ไม่ต้องนั่งนับปริมาณแคลอรีให้ปวดหัวอีกต่อไปก่อนเข้าโปรแกรมศักดิ์สิทธิ์นี้ เราอยากให้คุณชั่งน้ำหนักไว้ก่อนในตอนเช้า แล้วหลังจากนี้ 2 สัปดาห์ลองกลับมาชั่งอีกครั้ง รับรองว่าจะพบกับความเปลี่ยนแปลง แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเราราวกับเป็นกฎเหล็กเลย
1. กะปริมาณอาหารให้น้อยลงมื้อละ 20% ของที่เคยทาน เช่น ปกติทานข้าว 1 จาน ให้ลดลง 1 ใน 4 ทำเช่นนี้ทุกมื้อ อย่าไปคิดว่าคุณกำลังอดอาหาร เพราะการคิดแบบนี้จะทำให้มื้อต่อไปคุณรู้สึกหิวกว่าปกติ แต่แค่เตือนตัวเองไม่ให้กินซะจนอิ่มแปล้เท่านั้น
2. เลิกคิดถึงปริมาณแคลอรีของอาหารทุกชนิดที่คุณทาน ไม่ต้องห่วงว่าอาหารที่ทานเข้าไปจะมีปริมาณกี่แคลอรี ให้นึกไว้เสมอว่าการทานอาหารเป็นกิจกรรมที่มีความสุข หากคุณต้องทานอาหารด้วยความเครียด จะทำให้ขาดสติในการควบคุม และสุดท้ายจะหมดความอดทนในการควบคุมอาหารไปซะงั้น
3. อาหารบางอย่าง เช่น ของหวานจำพวกไอศกรีม ขนมขบเคี้ยว ข้อดีของขนมหวานๆ พวกนี้คือ ยิ่งกินยิ่งอร่อย ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน ทานเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม แต่ข้อเสียคือ แค่กินไปนิดเดียว แต่ปริมาณแคลอรีทะลักสุดๆ แล้วรสชาติหวานหอมของมันก็จะทำให้เราปลอบใจตัวเองว่า กินไปนิดเดียวไม่อ้วนเท่าไหร่หรอก
4. ดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้วก่อนมื้ออาหาร หรือในระหว่างมื้อเมื่อรู้สึกหิว
5. ในอาหารแต่ละมื้อให้ทานผักสด หรือผลไม้มากๆ เข้าไว้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของมื้ออาหารยิ่งดี และถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการทานผักสด ให้ทานกับน้ำสลัดแล้วค่อยๆ ลดปริมาณน้ำสลัดลงจนคุ้นเคยกับรสชาติของผักสด หรือแรกๆ อาจทานผักลวกหรือผักนึ่งก็ได้และก่อนที่จะลงมือ ควรทานผักก่อนอาหารอย่างอื่นนะจ๊ะ
6. หากมีอาหารมากมายวางอยู่ตรงหน้าให้คุณเลือกรับประทาน (อย่างเช่นในมื้อบุฟเฟ่ต์) ให้ฝึกจนเป็นนิสัยว่า ควรเลือกอาหารจำพวกต้มหรือนึ่ง มากกว่าอาหารจำพวกผัดหรือทอด
7. ของหวาน ทานได้แต่แค่พอให้รู้สึกถึงรสชาติ เพราะถ้าคุณอดของหวานอาจมีข้ออ้างในใจได้ว่า ทำให้ฉันไม่สดชื่นเพราะร่างกายขาดน้ำตาล ทั้งที่จริงแล้วนี่เป็นเพียงข้ออ้างในใจ จึงแนะนำให้ทานขนมหวานได้พอรู้รสเท่านั้น
8. เครื่องดื่มประจำตัวของคุณต้องเป็นน้ำเปล่าเท่านั้น เพราะไม่มีน้ำตาล แถมยังช่วยให้การเผาผลาญพลังงานระดับเซลล์ทำงานได้ดีขึ้น
9. หยุดทันทีที่อิ่ม จงอย่าเสียดายของเป็นอันขาด ถ้าคุณยังอยากทานต่อ ให้นึกเทียบค่าอาหารที่เหลือกับค่ายารักษาตัวเมื่อป่วยด้วยโรคที่มากับความอ้วน อันไหนน่าเสียดายมากกว่ากัน
10. ลองแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ สัก 6 มื้อ ห่างกันมื้อละ 2-3 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้คุณหิวจนเกินควรจนฟาดเรียบในมื้อเดียว เพราะนั่นคือการทานมากเกินความจำเป็น ที่สำคัญห้ามทานจุบจิบระหว่างมื้อเด็ดขาด
11. ออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที อาทิตย์ละ 3 ครั้ง หรือถ้าใครสามารถกว่านั้นก็ตามสบายเลยจ้ะ เพียงแต่อย่าหักโหมจนเกินไป เพราะร่างกายอาจปรับตัวไม่ทัน
ขัดใจจริงๆ เลยค่ะ เวลาเจอคู่มือเรียกความผอมสำหรับสาวกลัวอ้วน ไม่ว่าจะอยู่ในหนังสือเล่มไหน ก็เอาแต่บอกให้เราจำกัดปริมาณอาหาร ด้วยการนับปริมาณแคลอรีของอาหารที่เราทานเข้าไป แล้วเอาไปหักลบกลบหนี้กับปริมาณแคลอรีที่ใช้ไปในกิจกรรมต่างๆ อย่างกับเรามีเครื่องวัดแคลอรีแบบพกพายังไงยังงั้น แล้วอีกอย่างใครจะจำได้ว่าวันนี้เรากินอะไรไปบ้าง (อุ๊บส์)
เพราะในชีวิตจริง การกะปริมาณแคลอรีถือเป็นเรื่องที่ยากเอาการทีเดียว WP จึงสรรหาวิธีง่ายๆ ในการเลือกรับประทานอาหาร จะได้ไม่ต้องนั่งนับปริมาณแคลอรีให้ปวดหัวอีกต่อไปก่อนเข้าโปรแกรมศักดิ์สิทธิ์นี้ เราอยากให้คุณชั่งน้ำหนักไว้ก่อนในตอนเช้า แล้วหลังจากนี้ 2 สัปดาห์ลองกลับมาชั่งอีกครั้ง รับรองว่าจะพบกับความเปลี่ยนแปลง แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเราราวกับเป็นกฎเหล็กเลย
1. กะปริมาณอาหารให้น้อยลงมื้อละ 20% ของที่เคยทาน เช่น ปกติทานข้าว 1 จาน ให้ลดลง 1 ใน 4 ทำเช่นนี้ทุกมื้อ อย่าไปคิดว่าคุณกำลังอดอาหาร เพราะการคิดแบบนี้จะทำให้มื้อต่อไปคุณรู้สึกหิวกว่าปกติ แต่แค่เตือนตัวเองไม่ให้กินซะจนอิ่มแปล้เท่านั้น
2. เลิกคิดถึงปริมาณแคลอรีของอาหารทุกชนิดที่คุณทาน ไม่ต้องห่วงว่าอาหารที่ทานเข้าไปจะมีปริมาณกี่แคลอรี ให้นึกไว้เสมอว่าการทานอาหารเป็นกิจกรรมที่มีความสุข หากคุณต้องทานอาหารด้วยความเครียด จะทำให้ขาดสติในการควบคุม และสุดท้ายจะหมดความอดทนในการควบคุมอาหารไปซะงั้น
3. อาหารบางอย่าง เช่น ของหวานจำพวกไอศกรีม ขนมขบเคี้ยว ข้อดีของขนมหวานๆ พวกนี้คือ ยิ่งกินยิ่งอร่อย ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน ทานเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม แต่ข้อเสียคือ แค่กินไปนิดเดียว แต่ปริมาณแคลอรีทะลักสุดๆ แล้วรสชาติหวานหอมของมันก็จะทำให้เราปลอบใจตัวเองว่า กินไปนิดเดียวไม่อ้วนเท่าไหร่หรอก
4. ดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้วก่อนมื้ออาหาร หรือในระหว่างมื้อเมื่อรู้สึกหิว
5. ในอาหารแต่ละมื้อให้ทานผักสด หรือผลไม้มากๆ เข้าไว้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของมื้ออาหารยิ่งดี และถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการทานผักสด ให้ทานกับน้ำสลัดแล้วค่อยๆ ลดปริมาณน้ำสลัดลงจนคุ้นเคยกับรสชาติของผักสด หรือแรกๆ อาจทานผักลวกหรือผักนึ่งก็ได้และก่อนที่จะลงมือ ควรทานผักก่อนอาหารอย่างอื่นนะจ๊ะ
6. หากมีอาหารมากมายวางอยู่ตรงหน้าให้คุณเลือกรับประทาน (อย่างเช่นในมื้อบุฟเฟ่ต์) ให้ฝึกจนเป็นนิสัยว่า ควรเลือกอาหารจำพวกต้มหรือนึ่ง มากกว่าอาหารจำพวกผัดหรือทอด
7. ของหวาน ทานได้แต่แค่พอให้รู้สึกถึงรสชาติ เพราะถ้าคุณอดของหวานอาจมีข้ออ้างในใจได้ว่า ทำให้ฉันไม่สดชื่นเพราะร่างกายขาดน้ำตาล ทั้งที่จริงแล้วนี่เป็นเพียงข้ออ้างในใจ จึงแนะนำให้ทานขนมหวานได้พอรู้รสเท่านั้น
8. เครื่องดื่มประจำตัวของคุณต้องเป็นน้ำเปล่าเท่านั้น เพราะไม่มีน้ำตาล แถมยังช่วยให้การเผาผลาญพลังงานระดับเซลล์ทำงานได้ดีขึ้น
9. หยุดทันทีที่อิ่ม จงอย่าเสียดายของเป็นอันขาด ถ้าคุณยังอยากทานต่อ ให้นึกเทียบค่าอาหารที่เหลือกับค่ายารักษาตัวเมื่อป่วยด้วยโรคที่มากับความอ้วน อันไหนน่าเสียดายมากกว่ากัน
10. ลองแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ สัก 6 มื้อ ห่างกันมื้อละ 2-3 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้คุณหิวจนเกินควรจนฟาดเรียบในมื้อเดียว เพราะนั่นคือการทานมากเกินความจำเป็น ที่สำคัญห้ามทานจุบจิบระหว่างมื้อเด็ดขาด
11. ออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที อาทิตย์ละ 3 ครั้ง หรือถ้าใครสามารถกว่านั้นก็ตามสบายเลยจ้ะ เพียงแต่อย่าหักโหมจนเกินไป เพราะร่างกายอาจปรับตัวไม่ทัน
เหงื่อบอกโรค
เหงื่อบอกโรค (247 magazine)
เหงื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรคบางชนิดได้ โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ
1. โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก
- เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น
- ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือคอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง
2. โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย
- โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด
- ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ หากร่างกาย ได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา
อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน
เหงื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรคบางชนิดได้ โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ
1. โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก
- เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น
- ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือคอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง
2. โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย
- โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด
- ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ หากร่างกาย ได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา
อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน
Sex กับ ราศี
ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน) ในเรื่องของเซ็กซ์แล้ว ชาวเมษจะเปรียบเสมือนเสือที่ออกล่าเหยื่อเป็นอาหาร คือจะเสาะแสวงหาเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกใจ สำหรับความสัมพันธ์ทางเพศแล้ว ชาวเมษจะเป็นคนเปิดเผยและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้คนรักพอใจ เขา(หรือเธอ)ยกให้คุณจนหมดใจ ขอเพียงแค่คุณมีความจริงใจและรักอย่างแท้จริง เพราะถ้าคุณไม่สามารถทำให้เขาเชื่อใจได้ เขาจะระแวงและคอยกันท่า หรือหึงหวงคุณเสมอ
อะไรที่ชาวราศีเมษต้องการ ชาวเมษไม่ต้องการของขวัญแบบที่ดูหวานๆ เช่น พวกดอกไม้ ของขวัญรูปหัวใจต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขา(หรือเธอ) ให้ความสำคัญเท่าใดนัก สิ่งที่เขาต้องการคือเวลาและกิจกรรมที่ทำร่วมกันมากกว่า ต้องการความเข้าใจและการกระทำที่ดีทั้งกายและใจ กิจกรรมที่น่าตื่นเต้นโลดโผน และการแสดงออกถึงความรัก การสัมผัสและถ่ายทอดความรัก เช่น การหอมแก้ม การกอด การจูบบ้าง คือสิ่งที่ชาวเมษต้องการมากกว่าสิ่งใดๆ
ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม) ชาวพฤษภเป็นอีกหนึ่งราศีที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจ มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างง่ายดาย เขา(หรือเธอ)จะใช้สิ่งเหล่านี้แหละเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง สำหรับเขาการแสดงออกในความรักจะแสดงออกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เป็นคนที่สร้างอารมณ์และความรู้สึกที่ดีในการอยู่ร่วมกัน เป็นคนที่มีความโรแมนติก เพราะเขารู้สึกว่าเซ็กซ์มาจากความรู้สึกข้างในที่เต็มไปด้วยความรัก ซึ่งเป็นสิ่งสวยงามในชีวิตเขา
อะไรที่ชาวราศีพฤษภต้องการ ชาวพฤษภต้องการใครสักคนที่หนักแน่นและมั่นคง ที่จะทำให้ชีวิตของเขามีความสุขได้ ต้องการคนที่ให้ทั้งความรัก การดูแล และสิ่งของที่มีความหมายดีๆ ที่จะติดตรึงอยู่ในใจของชาววัวตลอดไป การดูแลให้ความอบอุ่นและความเชื่อมั่น คือวิธีที่เหมาะที่สุดที่จะปฏิบัติให้กับชาวพฤษภ และก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ ชาวพฤษภเป็นคนที่พึ่งพาอาศัยได้และเป็นคนที่คอยดูแลเอาใจใส่สม่ำเสมอ หากใครต้องการเป็นคนที่โชคดีที่จะใช้ชีวิตในโลกอันสวยงามร่วมกับเขาได้ จะต้องใจเย็นและใช้เวลาในการค่อยๆบ่มเพาะความรัก ความรู้สึกในการพิชิตใจชาวพฤษภ
ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 21 มิถุนายน) ชาวเมถุนไม่ค่อยมีอารมณ์ในเรื่องเซ็กซ์มากมายนัก แต่จะมีความรู้สึกในเรื่องนี้เมื่ออยู่ในบรรยากาศดีๆ และเหมาะสมเท่านั้น เซ็กซ์เปรียบเสมือนกีฬาอย่างหนึ่งของชาวเมถุน เขาจะค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอในแบบที่ถูกใจ ชาวเมถุนให้ความสำคัญกับการสัมผัสและเสียง และต้องการหาสิ่งที่ดีที่สมบูรณ์แบบให้กับชีวิตรักของเขา
อะไรที่ชาวราศีเมถุนต้องการ ใครสักคนที่สามารถตามเขาทัน เข้าใจเขา รู้ใจและพร้อมจะผจญภัยกับเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและเป็นเพื่อนที่ดีของเขาได้ และสำหรับคนรักนั้นก็เช่นกัน แต่อาจจะไม่ต้องฉลาดเฉลียวมากมายนัก แต่ขอให้เป็นคนที่สามารถทำให้เขาสบายใจได้ในยามที่เขาทุกข์ใจ
ราศีกรกฎ (22 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม) สำหรับชาวกรกฎ เรื่องเซ็กซ์เปรียบเสมือนกิจกรรมในยามพักผ่อน เขาเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดีในเรื่องนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความพอใจในแต่ละครั้ง นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ยอมรับอารมณ์ของคู่รักได้เสมอ ในยามที่มีอารมณ์ ความต้องการที่ไม่ตรงกัน ชาวราศีกรกฎถือเป็นคู่รักที่ดีและไม่เคยบกพร่องในเรื่องนี้แต่อย่างใด
อะไรที่ชาวราศีกรกฎต้องการ ชาวกรกฎต้องการคนที่ใจเย็น สบายๆ ทำอะไรไม่รีบร้อน และมีความมั่นคงทางอารมณ์ ซึ่งจะทำให้คบกันได้นาน เขาต้องการคนที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความคิดเห็นได้ เพราะเขาคิดว่าความเข้าใจและความสม่ำเสมอ คือหัวใจสำคัญที่สุดในการคบหากัน
ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม) ราศีสิงห์นั้นตรงกับธาตุไฟ จึงมีอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนแรง และมีพละกำลังเหลือเฟือ เขาจึงจะแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึกต่อคนรักเสมอๆ แต่การถ่ายทอดความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ ของชาวสิงห์นั้น จะเป็นแบบสวยงาม ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่จะเร่าร้อนมากมายเหมือนความรักของหนุ่มสาวทั่วไป เพราะชาวสิงห์จะมีมาด มีฟอร์มของความเป็นผู้นำอยู่ ดังนั้นเวลาจะทำอะไรจึงมีมาดนี้อยู่ด้วย เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ชาวสิงห์เป็นคนที่มั่นคงในรัก ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และจริงใจต่อคุณเสมอ
อะไรที่ชาวราศีสิงห์ต้องการ สิ่งที่ชาวสิงห์ต้องการก็คือ การได้รับการยอมรับนับถือ คำชื่นชม ซึ่งจะทำให้เขามั่นใจในตัวเองมากและเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารักอย่างดีด้วยความเต็มใจ ชาวสิงห์ต้องการทำทุกอย่างเพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด ดังนั้นคนรอบตัวของเขาจะต้องเข้าใจในความมุ่งมั่นของเขา และจงอย่ากวนใจเขา ในยามที่เขากำลังตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ และสำหรับคนรักของชาวสิงห์ จงจำไว้ว่าเขาจะต้องเป็นที่หนึ่งในใจคุณเสมอ และอย่านอกใจหรือทรยศเป็นอันขาด
ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน) เซ็กซ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับชาวกันย์ ชาวกันย์จะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อให้เซ็กซ์เป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นที่ประทับใจของตัวเองและคนรักมากที่สุด แต่ชาวราศีกันย์ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์หรือความรู้สึกในเรื่องนี้บ่อยนัก หรือบางครั้งก็อาจจะรู้สึกอาย ดังนั้นชาวกันย์จึงต้องการการกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดขึ้น และหลังจากนั้น ชาวกันย์ก็จะสานต่อได้อย่างดี ชาวราศีกันย์เป็นคนไม่เจ้าชู้ และมั่นใจได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลหูไกลตา
อะไรที่ชาวราศีกันย์ต้องการ ด้วยความที่ชาวกันย์เป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่สุขภาพร่างกายตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องการคนที่จะมาเป็นเพื่อนในการออกกำลังกาย ดูแลเรื่องสุขภาพ อาหารและของใช้อื่นๆ ร่วมกัน ชาวกันย์ต้องการคนรักที่มั่นคง เชื่อใจได้และให้เวลาในการเป็นส่วนตัวบ้าง และคนคนนั้นต้องเป็นคนใจเย็น อารมณ์ดี และสามารถปรึกษาพูดคุยกันได้เสมอ
ราศีตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม) เซ็กซ์เป็นเพียงแค่อารมณ์หนึ่ง ชาวตุลย์หากถูกใจใครเป็นพิเศษ คนๆ นั้นก็จะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับชาวตุลย์ได้ไม่ยากนัก ชาวตุลย์เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย และหากใครที่กล้าพอที่จะเข้ามาคบ ก็พร้อมจะพิจารณาเสมอ และยิ่งถ้าเป็นคนที่พร้อมจะให้ทุกอย่างได้ ก็พร้อมที่จะลองคบและมีความสัมพันธ์กันแบบลึกซึ้ง แต่ระวัง เพราะคุณอาจจะเป็นของเล่นของเขาได้ และเมื่อเขาเบื่อหรือเจอคนใหม่ที่น่าสนใจกว่า เขาก็อาจจะโยนของเก่าอย่างคุณทิ้งก็ได้
อะไรที่ชาวราศีตุลย์ต้องการ คนที่พร้อมจะหยิบยื่นสิ่งต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือการกระทำ และคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่มั่นคงและไว้ใจได้ แต่ชาวราศีตุลย์กลับไม่ต้องการให้ใครมาผูกมัด หรือตั้งกฎเกณฑ์มากๆ และอีกอย่างที่เขาต้องการคือ คนที่สามารถพูดคุยและเป็นที่ปรึกษาได้ หากใครทำได้อย่างนี้ ชาวตุลย์ก็พร้อมที่จะญาติดีด้วย และมอบความรู้สึกดีๆ ให้ รวมๆ แล้วดูเหมือนชาวตุลย์เอาแต่จะได้ แต่แท้จริงแล้วแค่เป็นคนที่คิดพิจารณามาก เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองเท่านั้นเอง ถ้าคบไปแล้วชาวตุลย์ก็ถือว่าเป็นคนที่ใช้ได้ น่าคบหาคนหนึ่งทีเดียว
ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน) ชาวพิจิกถือเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กซ์มากทีเดียว เพราะชาวพิจิกจะเป็นคนที่เร่าร้อน มีอารมณ์ทางเพศสูง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วชาวพิจิกมักจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นเรื่องนี้ก่อนเสมอ ชาวพิจิกถึงแม้จะดูเป็นคนมีเสน่ห์และเจ้าชู้ แต่ภายในใจของเขา เป็นคนที่รักใครรักจริง เทิดทูนและให้เกียรติคนรักของเขา
อะไรที่ชาวราศีพิจิกต้องการ ชาวพิจิกไม่พิสมัยความท้าทายหรืออุปสรรคที่ดูจะเสี่ยงและไม่แน่นอนว่าจะดี หรือไม่ ชอบอะไรที่ดูแน่นอนและความสมบูรณ์แบบมากกว่า ต้องการและแสวงหาคนรู้ใจที่มีความหนักแน่นและเข้าใจในตัวเขาได้ดีทุกเรื่อง และพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องการคนรักที่มีความอบอุ่น อ่อนโยนและมีความโรแมนติก ซึ่งจะทำให้ความรักของเขาหวานชื่นอยู่เสมอ
ราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม) ชาวธนูเป็นคนธาตุไฟ มีความเร่าร้อนอยู่ในตัว ถ้าไม่พูดถึงเรื่องความรักที่ลึกซึ้งแล้ว ชาวธนูก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กซ์อยู่มากพอดู เขาไม่อายในเรื่องนี้ ถ้าไม่จริงจังและมีเงื่อนไขกับมันมากนัก เขาพร้อมเสมอ ชอบการพบปะสังสรรค์กับผู้คน เขาเป็นคนที่บริหารเสน่ห์ได้ดี และสำหรับคนรักของเขาจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กซ์ด้วยเพื่อที่ว่าทั้งเขาและคุณจะไปด้วยกันได้ดี
อะไรที่ชาวราศีธนูต้องการ เพื่อนรู้ใจที่พร้อมจะไปกับเขาได้ทุกสถานการณ์ และไม่ทำให้เขาหนักใจหรือมีเรื่องเดือดร้อนถึงตัวเขา สำหรับคนรักของชาวธนูจะต้องเข้าใจและยอมรับในนิสัยที่รักอิสระเสรีของเขา ต้องไม่เป็นคนคิดมากหรืออ่อนไหวกับอะไรง่ายๆ ชอบคนที่ซื่อสัตย์ เปิดเผย หากคุณเป็นอย่างที่เขาต้องการหรือมีนิสัยที่คล้ายกัน คุณก็จะเป็นทั้งเพื่อนและคนรักของเขาด้วยในเวลาเดียวกัน
ราศีมังกร (22 ธันวาคม - 19 มกราคม) ภายใต้ความเยือกเย็นสุขุมที่ปกคลุมอยู่ภายนอก น้อยคนที่จะได้รู้ถึงความรู้สึกภายในที่เร่าร้อน ซึ่งรอคอยผู้ที่มาสัมผัสและเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริง ชาวมังกรเป็นคนธาตุดิน เป็นคนไม่หวือหวา โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง อีกทั้งเขามองว่าเป็นเรื่องที่ต้องสำรวม จะแสดงออกต่อเมื่อถึงเวลาเท่านั้น ถ้ายอมเผยความรู้สึกในเรื่องนี้กับใครแล้ว แสดงว่าเขามั่นใจว่าคนคนนั้นคือคนที่เขาจะใช้ชีวิตรักไปด้วยอีกนาน
อะไรที่ชาวราศีมังกรต้องการ ชอบการแข่งขัน ความท้าทายและอุปสรรคที่ต้องฟันฝ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ชาวมังกรจึงเหมาะกับคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความสง่าสูงศักดิ์ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับชาวมังกรได้เสมอ ต้องมีความเก่งพอๆกัน และสิ่งที่ชาวมังกรต้องการอีกสิ่งคือ คนรักที่เข้าใจในธรรมชาติของเขาผู้ซึ่งไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ต้องปรามเขาได้ และไม่เป็นคนอ่อนไหวจนเกินไป
ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์) ด้วยความเป็นคนธาตุลมที่ต้องการความเข้าใจ ความสุขใจ เรื่องบนเตียงจะเกิดขึ้นเพื่อต้องการความสุขทางใจมากกว่าความสุขทางกาย แคร์ความรู้สึกของคนรักมาก แม้ชาวกุมภ์เป็นคนที่มีเพื่อนมาก แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องส่วนตัวเขาจะให้เวลากับมันอย่างดี เพราะกลัวว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับคนรัก ชาวกุมภ์กับเรื่องเซ็กซ์ไม่มีอะไรหวือหวา จะเป็นไปตามธรรมชาติ
อะไรที่ชาวราศีกุมภ์ต้องการ ชาวกุมภ์เป็นคนที่มีความคิดและมีมุมมองกว้างขวาง มักเชื่อมั่นในความคิดและสิ่งที่ตัดสินใจลงไป ดังนั้นคนรักจึงควรเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของเขาได้ดีที่สุด ต้องการคนที่สามารถพูดคุย ให้คำปรึกษากับเขาได้และพร้อมที่จะเป็นกำลังใจเพื่อให้เขาก้าวไปสู่สิ่งที่ ดียิ่งขึ้นไป นอกจากนี้เขาเป็นคนที่ไม่ดูแลตัวเองเอาเสียเลย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องดูแลเอาใจใส่เขาให้มากๆ และคุณต้องเป็นคนรักครอบครัวด้วย นั่นคือสิ่งเขาต้องการ เพราะจะช่วยประคับประคองให้ชีวิตคู่ยั่งยืน
ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม) เซ็กซ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ ซึ่งไม่แน่นอน บางครั้งอาจมีมากบางครั้งอาจมีน้อย ซึ่งถ้าหากคุณควบคุมอารมณ์ของคนราศีนี้ได้ ก็สามารถคุมเรื่องเซ็กซ์ของเขาได้เช่นกัน เขาเป็นคู่รักที่ดีเสมอในเรื่องนี้ ไม่เคยทำให้คุณต้องผิดหวัง มีแต่จะยิ่งหลงใหลในตัวเขามากขึ้น
อะไรที่ชาวราศีมีนต้องการ คนที่สามารถมาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตได้ ถ้าเขาหมดหวัง อีกคนจะช่วยเป็นกำลังใจให้ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการจากคนที่เขารัก ทำให้เขาอุ่นใจได้เสมอแม้เมื่อเจอปัญหา คุณจะต้องไม่ดูถูกความฝันของเขา แต่จะต้องคอยดึงเขาออกจากฝันนั้นบ้าง เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นหลงอยู่ในความฝันจนลืมนึกถึงความเป็นจริง
อะไรที่ชาวราศีเมษต้องการ ชาวเมษไม่ต้องการของขวัญแบบที่ดูหวานๆ เช่น พวกดอกไม้ ของขวัญรูปหัวใจต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขา(หรือเธอ) ให้ความสำคัญเท่าใดนัก สิ่งที่เขาต้องการคือเวลาและกิจกรรมที่ทำร่วมกันมากกว่า ต้องการความเข้าใจและการกระทำที่ดีทั้งกายและใจ กิจกรรมที่น่าตื่นเต้นโลดโผน และการแสดงออกถึงความรัก การสัมผัสและถ่ายทอดความรัก เช่น การหอมแก้ม การกอด การจูบบ้าง คือสิ่งที่ชาวเมษต้องการมากกว่าสิ่งใดๆ
ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม) ชาวพฤษภเป็นอีกหนึ่งราศีที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจ มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างง่ายดาย เขา(หรือเธอ)จะใช้สิ่งเหล่านี้แหละเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง สำหรับเขาการแสดงออกในความรักจะแสดงออกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เป็นคนที่สร้างอารมณ์และความรู้สึกที่ดีในการอยู่ร่วมกัน เป็นคนที่มีความโรแมนติก เพราะเขารู้สึกว่าเซ็กซ์มาจากความรู้สึกข้างในที่เต็มไปด้วยความรัก ซึ่งเป็นสิ่งสวยงามในชีวิตเขา
อะไรที่ชาวราศีพฤษภต้องการ ชาวพฤษภต้องการใครสักคนที่หนักแน่นและมั่นคง ที่จะทำให้ชีวิตของเขามีความสุขได้ ต้องการคนที่ให้ทั้งความรัก การดูแล และสิ่งของที่มีความหมายดีๆ ที่จะติดตรึงอยู่ในใจของชาววัวตลอดไป การดูแลให้ความอบอุ่นและความเชื่อมั่น คือวิธีที่เหมาะที่สุดที่จะปฏิบัติให้กับชาวพฤษภ และก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ ชาวพฤษภเป็นคนที่พึ่งพาอาศัยได้และเป็นคนที่คอยดูแลเอาใจใส่สม่ำเสมอ หากใครต้องการเป็นคนที่โชคดีที่จะใช้ชีวิตในโลกอันสวยงามร่วมกับเขาได้ จะต้องใจเย็นและใช้เวลาในการค่อยๆบ่มเพาะความรัก ความรู้สึกในการพิชิตใจชาวพฤษภ
ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 21 มิถุนายน) ชาวเมถุนไม่ค่อยมีอารมณ์ในเรื่องเซ็กซ์มากมายนัก แต่จะมีความรู้สึกในเรื่องนี้เมื่ออยู่ในบรรยากาศดีๆ และเหมาะสมเท่านั้น เซ็กซ์เปรียบเสมือนกีฬาอย่างหนึ่งของชาวเมถุน เขาจะค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอในแบบที่ถูกใจ ชาวเมถุนให้ความสำคัญกับการสัมผัสและเสียง และต้องการหาสิ่งที่ดีที่สมบูรณ์แบบให้กับชีวิตรักของเขา
อะไรที่ชาวราศีเมถุนต้องการ ใครสักคนที่สามารถตามเขาทัน เข้าใจเขา รู้ใจและพร้อมจะผจญภัยกับเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและเป็นเพื่อนที่ดีของเขาได้ และสำหรับคนรักนั้นก็เช่นกัน แต่อาจจะไม่ต้องฉลาดเฉลียวมากมายนัก แต่ขอให้เป็นคนที่สามารถทำให้เขาสบายใจได้ในยามที่เขาทุกข์ใจ
ราศีกรกฎ (22 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม) สำหรับชาวกรกฎ เรื่องเซ็กซ์เปรียบเสมือนกิจกรรมในยามพักผ่อน เขาเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดีในเรื่องนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความพอใจในแต่ละครั้ง นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ยอมรับอารมณ์ของคู่รักได้เสมอ ในยามที่มีอารมณ์ ความต้องการที่ไม่ตรงกัน ชาวราศีกรกฎถือเป็นคู่รักที่ดีและไม่เคยบกพร่องในเรื่องนี้แต่อย่างใด
อะไรที่ชาวราศีกรกฎต้องการ ชาวกรกฎต้องการคนที่ใจเย็น สบายๆ ทำอะไรไม่รีบร้อน และมีความมั่นคงทางอารมณ์ ซึ่งจะทำให้คบกันได้นาน เขาต้องการคนที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความคิดเห็นได้ เพราะเขาคิดว่าความเข้าใจและความสม่ำเสมอ คือหัวใจสำคัญที่สุดในการคบหากัน
ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม) ราศีสิงห์นั้นตรงกับธาตุไฟ จึงมีอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนแรง และมีพละกำลังเหลือเฟือ เขาจึงจะแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึกต่อคนรักเสมอๆ แต่การถ่ายทอดความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ ของชาวสิงห์นั้น จะเป็นแบบสวยงาม ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่จะเร่าร้อนมากมายเหมือนความรักของหนุ่มสาวทั่วไป เพราะชาวสิงห์จะมีมาด มีฟอร์มของความเป็นผู้นำอยู่ ดังนั้นเวลาจะทำอะไรจึงมีมาดนี้อยู่ด้วย เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ชาวสิงห์เป็นคนที่มั่นคงในรัก ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และจริงใจต่อคุณเสมอ
อะไรที่ชาวราศีสิงห์ต้องการ สิ่งที่ชาวสิงห์ต้องการก็คือ การได้รับการยอมรับนับถือ คำชื่นชม ซึ่งจะทำให้เขามั่นใจในตัวเองมากและเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารักอย่างดีด้วยความเต็มใจ ชาวสิงห์ต้องการทำทุกอย่างเพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด ดังนั้นคนรอบตัวของเขาจะต้องเข้าใจในความมุ่งมั่นของเขา และจงอย่ากวนใจเขา ในยามที่เขากำลังตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ และสำหรับคนรักของชาวสิงห์ จงจำไว้ว่าเขาจะต้องเป็นที่หนึ่งในใจคุณเสมอ และอย่านอกใจหรือทรยศเป็นอันขาด
ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน) เซ็กซ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับชาวกันย์ ชาวกันย์จะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อให้เซ็กซ์เป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นที่ประทับใจของตัวเองและคนรักมากที่สุด แต่ชาวราศีกันย์ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์หรือความรู้สึกในเรื่องนี้บ่อยนัก หรือบางครั้งก็อาจจะรู้สึกอาย ดังนั้นชาวกันย์จึงต้องการการกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดขึ้น และหลังจากนั้น ชาวกันย์ก็จะสานต่อได้อย่างดี ชาวราศีกันย์เป็นคนไม่เจ้าชู้ และมั่นใจได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลหูไกลตา
อะไรที่ชาวราศีกันย์ต้องการ ด้วยความที่ชาวกันย์เป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่สุขภาพร่างกายตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องการคนที่จะมาเป็นเพื่อนในการออกกำลังกาย ดูแลเรื่องสุขภาพ อาหารและของใช้อื่นๆ ร่วมกัน ชาวกันย์ต้องการคนรักที่มั่นคง เชื่อใจได้และให้เวลาในการเป็นส่วนตัวบ้าง และคนคนนั้นต้องเป็นคนใจเย็น อารมณ์ดี และสามารถปรึกษาพูดคุยกันได้เสมอ
ราศีตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม) เซ็กซ์เป็นเพียงแค่อารมณ์หนึ่ง ชาวตุลย์หากถูกใจใครเป็นพิเศษ คนๆ นั้นก็จะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับชาวตุลย์ได้ไม่ยากนัก ชาวตุลย์เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย และหากใครที่กล้าพอที่จะเข้ามาคบ ก็พร้อมจะพิจารณาเสมอ และยิ่งถ้าเป็นคนที่พร้อมจะให้ทุกอย่างได้ ก็พร้อมที่จะลองคบและมีความสัมพันธ์กันแบบลึกซึ้ง แต่ระวัง เพราะคุณอาจจะเป็นของเล่นของเขาได้ และเมื่อเขาเบื่อหรือเจอคนใหม่ที่น่าสนใจกว่า เขาก็อาจจะโยนของเก่าอย่างคุณทิ้งก็ได้
อะไรที่ชาวราศีตุลย์ต้องการ คนที่พร้อมจะหยิบยื่นสิ่งต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือการกระทำ และคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่มั่นคงและไว้ใจได้ แต่ชาวราศีตุลย์กลับไม่ต้องการให้ใครมาผูกมัด หรือตั้งกฎเกณฑ์มากๆ และอีกอย่างที่เขาต้องการคือ คนที่สามารถพูดคุยและเป็นที่ปรึกษาได้ หากใครทำได้อย่างนี้ ชาวตุลย์ก็พร้อมที่จะญาติดีด้วย และมอบความรู้สึกดีๆ ให้ รวมๆ แล้วดูเหมือนชาวตุลย์เอาแต่จะได้ แต่แท้จริงแล้วแค่เป็นคนที่คิดพิจารณามาก เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองเท่านั้นเอง ถ้าคบไปแล้วชาวตุลย์ก็ถือว่าเป็นคนที่ใช้ได้ น่าคบหาคนหนึ่งทีเดียว
ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน) ชาวพิจิกถือเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กซ์มากทีเดียว เพราะชาวพิจิกจะเป็นคนที่เร่าร้อน มีอารมณ์ทางเพศสูง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วชาวพิจิกมักจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นเรื่องนี้ก่อนเสมอ ชาวพิจิกถึงแม้จะดูเป็นคนมีเสน่ห์และเจ้าชู้ แต่ภายในใจของเขา เป็นคนที่รักใครรักจริง เทิดทูนและให้เกียรติคนรักของเขา
อะไรที่ชาวราศีพิจิกต้องการ ชาวพิจิกไม่พิสมัยความท้าทายหรืออุปสรรคที่ดูจะเสี่ยงและไม่แน่นอนว่าจะดี หรือไม่ ชอบอะไรที่ดูแน่นอนและความสมบูรณ์แบบมากกว่า ต้องการและแสวงหาคนรู้ใจที่มีความหนักแน่นและเข้าใจในตัวเขาได้ดีทุกเรื่อง และพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องการคนรักที่มีความอบอุ่น อ่อนโยนและมีความโรแมนติก ซึ่งจะทำให้ความรักของเขาหวานชื่นอยู่เสมอ
ราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม) ชาวธนูเป็นคนธาตุไฟ มีความเร่าร้อนอยู่ในตัว ถ้าไม่พูดถึงเรื่องความรักที่ลึกซึ้งแล้ว ชาวธนูก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กซ์อยู่มากพอดู เขาไม่อายในเรื่องนี้ ถ้าไม่จริงจังและมีเงื่อนไขกับมันมากนัก เขาพร้อมเสมอ ชอบการพบปะสังสรรค์กับผู้คน เขาเป็นคนที่บริหารเสน่ห์ได้ดี และสำหรับคนรักของเขาจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเซ็กซ์ด้วยเพื่อที่ว่าทั้งเขาและคุณจะไปด้วยกันได้ดี
อะไรที่ชาวราศีธนูต้องการ เพื่อนรู้ใจที่พร้อมจะไปกับเขาได้ทุกสถานการณ์ และไม่ทำให้เขาหนักใจหรือมีเรื่องเดือดร้อนถึงตัวเขา สำหรับคนรักของชาวธนูจะต้องเข้าใจและยอมรับในนิสัยที่รักอิสระเสรีของเขา ต้องไม่เป็นคนคิดมากหรืออ่อนไหวกับอะไรง่ายๆ ชอบคนที่ซื่อสัตย์ เปิดเผย หากคุณเป็นอย่างที่เขาต้องการหรือมีนิสัยที่คล้ายกัน คุณก็จะเป็นทั้งเพื่อนและคนรักของเขาด้วยในเวลาเดียวกัน
ราศีมังกร (22 ธันวาคม - 19 มกราคม) ภายใต้ความเยือกเย็นสุขุมที่ปกคลุมอยู่ภายนอก น้อยคนที่จะได้รู้ถึงความรู้สึกภายในที่เร่าร้อน ซึ่งรอคอยผู้ที่มาสัมผัสและเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริง ชาวมังกรเป็นคนธาตุดิน เป็นคนไม่หวือหวา โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง อีกทั้งเขามองว่าเป็นเรื่องที่ต้องสำรวม จะแสดงออกต่อเมื่อถึงเวลาเท่านั้น ถ้ายอมเผยความรู้สึกในเรื่องนี้กับใครแล้ว แสดงว่าเขามั่นใจว่าคนคนนั้นคือคนที่เขาจะใช้ชีวิตรักไปด้วยอีกนาน
อะไรที่ชาวราศีมังกรต้องการ ชอบการแข่งขัน ความท้าทายและอุปสรรคที่ต้องฟันฝ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ชาวมังกรจึงเหมาะกับคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความสง่าสูงศักดิ์ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับชาวมังกรได้เสมอ ต้องมีความเก่งพอๆกัน และสิ่งที่ชาวมังกรต้องการอีกสิ่งคือ คนรักที่เข้าใจในธรรมชาติของเขาผู้ซึ่งไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ต้องปรามเขาได้ และไม่เป็นคนอ่อนไหวจนเกินไป
ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์) ด้วยความเป็นคนธาตุลมที่ต้องการความเข้าใจ ความสุขใจ เรื่องบนเตียงจะเกิดขึ้นเพื่อต้องการความสุขทางใจมากกว่าความสุขทางกาย แคร์ความรู้สึกของคนรักมาก แม้ชาวกุมภ์เป็นคนที่มีเพื่อนมาก แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องส่วนตัวเขาจะให้เวลากับมันอย่างดี เพราะกลัวว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับคนรัก ชาวกุมภ์กับเรื่องเซ็กซ์ไม่มีอะไรหวือหวา จะเป็นไปตามธรรมชาติ
อะไรที่ชาวราศีกุมภ์ต้องการ ชาวกุมภ์เป็นคนที่มีความคิดและมีมุมมองกว้างขวาง มักเชื่อมั่นในความคิดและสิ่งที่ตัดสินใจลงไป ดังนั้นคนรักจึงควรเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของเขาได้ดีที่สุด ต้องการคนที่สามารถพูดคุย ให้คำปรึกษากับเขาได้และพร้อมที่จะเป็นกำลังใจเพื่อให้เขาก้าวไปสู่สิ่งที่ ดียิ่งขึ้นไป นอกจากนี้เขาเป็นคนที่ไม่ดูแลตัวเองเอาเสียเลย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องดูแลเอาใจใส่เขาให้มากๆ และคุณต้องเป็นคนรักครอบครัวด้วย นั่นคือสิ่งเขาต้องการ เพราะจะช่วยประคับประคองให้ชีวิตคู่ยั่งยืน
ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม) เซ็กซ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ ซึ่งไม่แน่นอน บางครั้งอาจมีมากบางครั้งอาจมีน้อย ซึ่งถ้าหากคุณควบคุมอารมณ์ของคนราศีนี้ได้ ก็สามารถคุมเรื่องเซ็กซ์ของเขาได้เช่นกัน เขาเป็นคู่รักที่ดีเสมอในเรื่องนี้ ไม่เคยทำให้คุณต้องผิดหวัง มีแต่จะยิ่งหลงใหลในตัวเขามากขึ้น
อะไรที่ชาวราศีมีนต้องการ คนที่สามารถมาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตได้ ถ้าเขาหมดหวัง อีกคนจะช่วยเป็นกำลังใจให้ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการจากคนที่เขารัก ทำให้เขาอุ่นใจได้เสมอแม้เมื่อเจอปัญหา คุณจะต้องไม่ดูถูกความฝันของเขา แต่จะต้องคอยดึงเขาออกจากฝันนั้นบ้าง เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นหลงอยู่ในความฝันจนลืมนึกถึงความเป็นจริง
ความเครียดจากการทำงาน...อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
ความเครียดจากการทำงาน...อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม (นิตยสารลิซ่า)
การทำแต่งานโดยไม่มีเวลาพักผ่อนอาจทำให้ป่วยจิตได้โดยไม่รู้ตัว ต้องกล้าที่จะจัดสรรชีวิตและการทำงานให้ลงตัว ด้วยการแบ่งเบางานในบ้านกับสุดที่รัก
การไม่เป็นที่ยอมรับในที่ทำงาน งานและสภาพแวดล้อมทำให้เครียด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้คนต้องทนทุกข์ภายใต้บรรยากาศแย่ๆ ในที่ทำงานและป่วยทางจิตกันมากขึ้น
อะไรทำให้เครียด บนโต๊ะทำงานมีแฟ้มเอกสารกองสุมเป็นพะเนิน รายการที่ต้องทำก็มากขึ้น บอสก็เร่งงาน สักวันสมองของคุณคงระเบิด เพราะเวลาว่างหดน้อยลงจนแทบไม่มีเวลาคลายเครียดและพักผ่อนจากงาน และหากมากเข้าก็จะกลายเป็นทำงานมากเกินไปเข้าข่าย Burn Out ทั้งนี้ จากรายงานในประเทศเยอรมนีพบว่า ผู้คนมีปัญหาด้านจิตใจเพิ่มขึ้นก็เนื่องมาจากความเครียดจากงานซึ่งหากปล่อยให้เครียดกับงานไปนานวันเข้าอาจทำให้ป่วยเป็นโรคหัวใจได้ โดยเฉพาะผู้หญิงต้องทนทุกข์กับเงื่อนไขในการทำงานมาก คือ มีรายได้น้อยกว่าผู้ชายและส่วนมากก็มีภาระที่นอกเหนือจากการงาน เช่น ต้องดูแลลูกและครอบครัว และยังต้องรับผิดชอบงานนอกบ้านอีก หรือผู้หญิงที่ลาออกจากงานไปเลี้ยงลูกก็ยากที่จะกลับมาทำงานได้อีก
เครียด...เพราะกลัวตกงาน เมื่อกลัวการตกงานก็จะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมกับผู้ร่วมงาน ไม่ค่อยช่วยเหลือกันและกัน ส่งผลให้ทีมงานลดประสิทธิภาพลง อาการที่บอกว่า...คุณทำงานมากเกินไป สำหรับผู้ที่ทำงานมากเกินไปจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจจะมีสัญญาณเตือน เช่น ตื่นช่วงตีสี่ตีห้าและคิดถึงแต่เรื่องงาน ซึ่งแสดงว่าร่างกายและจิตใจขาดความสงบ ซึ่งปกติคนเราเมื่อมีความเครียดก็ต้องมีการผ่อนคลาย แต่ถ้ามีแต่ความเครียดตลอดก็จะทำให้เหนื่อยเพลีย บางคนก็จะมีอาการปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดมือหรือบางคนก็เป็นหวัดไม่หาย ซึ่งแสดงว่ากล้ามเนื้อก็ไม่ได้รับการผ่อนคลายด้วย
ผู้หญิงต่างจากผู้ชาย เมื่อผู้หญิงเครียดจากการงานก็จะออกมาทางด้านอารมณ์ เช่น ร้องไห้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งปกติผู้หญิงจะจัดการได้ ในขณะเดียวกันเมื่อผู้ชายเครียดก็จะหันเข้าหาแอลกอฮอล์หรือขับรถเร็ว แต่ทั้งหญิงและชายก็จะมีความจำแย่ จะเริ่มสังเกตว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพและมีงานเก่าคั่งค้างมากขึ้นโดยที่ไม่มีใครสังเกตุ นำเอกสารกลับบ้านเพื่อไปตรวจเช็คอีกรอบ อ่านทุกบรรทัดและอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ผู้หญิงทุ่มเทกับงาน ผู้หญิงที่มีภาระมากมายก็จะตัดรายการผ่อนคลายออกไปจากชีวิต เช่น กีฬาและงานอดิเรก และทุ่มเทเวลาและสมาธิให้กับงานในหน้าที่ซึ่งต้องใช้พลังทั้งหมดสำหรับงานนอกบ้าน ดูแลลูกๆ และทำงานบ้าน แล้วก็จะรู้สึกผิดในใจ เพราะคิดว่าทำทุกอย่างไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ
อันตรายจาก Burn Out สังเกตว่าเข้าขั้น Burn Out ก็คือ ไปเที่ยวพักร้อนหนึ่งอาทิตย์ จิตใจก็ยังครุ่นคิดแต่เรื่องงานไม่หยุดหย่อน หากไม่รู้จักผ่อนคลายก็จะนำไปสู่โรคซึมเศร้า เช่น ฉันทิ้งงานมาได้ยังไง ฉันไม่น่ามีลูกเลยเพราะฉันทำหน้าที่ได้ไม่ดี เมื่อมองตัวเองในแง่ลบ วิจารณ์ตัวเองมากเข้าอยากเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิต และในที่สุดก็ไม่อยากลุกจากที่นอนในตอนเช้า กรณีนี้ควรไปพบจิตแพทย์ โลกแห่งความเป็นจริง ผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้านควรคิดวิเคราะห์ว่าเมื่อไหร่ และทำไมกิจวัตรประจำวันจึงไม่ราบรื่น และทำอย่างไรจึงจะไม่เครียด เช่น อาจต้องมีวิธีการบริหารเวลาอย่างทันสมัย และหาวิธีผ่อนคลายจิตใจหลากหลายวิธี
กล้าเปลี่ยนแปลง หากผู้หญิงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เราก็สามารถที่จะจัดการกับชีวิตประจำวันให้มีความสมดุล คือเมื่อมีความเครียดก็มีวิธีผ่อนคลาย เช่น มีเวลาออกกำลังกาย ต้องกล้าที่จะตกลงกับสามีในการแบ่งงานในบ้าน เช่น ให้เขาทำอาหารในวันหยุดสุดสัปดาห์ และแบ่งงานในบ้านให้ช่วยกันทำเพื่อที่ผู้หญิงจะได้มีเวลาออกกำลังกายและได้พักผ่อนเป็นประจำ
การทำแต่งานโดยไม่มีเวลาพักผ่อนอาจทำให้ป่วยจิตได้โดยไม่รู้ตัว ต้องกล้าที่จะจัดสรรชีวิตและการทำงานให้ลงตัว ด้วยการแบ่งเบางานในบ้านกับสุดที่รัก
การไม่เป็นที่ยอมรับในที่ทำงาน งานและสภาพแวดล้อมทำให้เครียด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้คนต้องทนทุกข์ภายใต้บรรยากาศแย่ๆ ในที่ทำงานและป่วยทางจิตกันมากขึ้น
อะไรทำให้เครียด บนโต๊ะทำงานมีแฟ้มเอกสารกองสุมเป็นพะเนิน รายการที่ต้องทำก็มากขึ้น บอสก็เร่งงาน สักวันสมองของคุณคงระเบิด เพราะเวลาว่างหดน้อยลงจนแทบไม่มีเวลาคลายเครียดและพักผ่อนจากงาน และหากมากเข้าก็จะกลายเป็นทำงานมากเกินไปเข้าข่าย Burn Out ทั้งนี้ จากรายงานในประเทศเยอรมนีพบว่า ผู้คนมีปัญหาด้านจิตใจเพิ่มขึ้นก็เนื่องมาจากความเครียดจากงานซึ่งหากปล่อยให้เครียดกับงานไปนานวันเข้าอาจทำให้ป่วยเป็นโรคหัวใจได้ โดยเฉพาะผู้หญิงต้องทนทุกข์กับเงื่อนไขในการทำงานมาก คือ มีรายได้น้อยกว่าผู้ชายและส่วนมากก็มีภาระที่นอกเหนือจากการงาน เช่น ต้องดูแลลูกและครอบครัว และยังต้องรับผิดชอบงานนอกบ้านอีก หรือผู้หญิงที่ลาออกจากงานไปเลี้ยงลูกก็ยากที่จะกลับมาทำงานได้อีก
เครียด...เพราะกลัวตกงาน เมื่อกลัวการตกงานก็จะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมกับผู้ร่วมงาน ไม่ค่อยช่วยเหลือกันและกัน ส่งผลให้ทีมงานลดประสิทธิภาพลง อาการที่บอกว่า...คุณทำงานมากเกินไป สำหรับผู้ที่ทำงานมากเกินไปจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจจะมีสัญญาณเตือน เช่น ตื่นช่วงตีสี่ตีห้าและคิดถึงแต่เรื่องงาน ซึ่งแสดงว่าร่างกายและจิตใจขาดความสงบ ซึ่งปกติคนเราเมื่อมีความเครียดก็ต้องมีการผ่อนคลาย แต่ถ้ามีแต่ความเครียดตลอดก็จะทำให้เหนื่อยเพลีย บางคนก็จะมีอาการปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดมือหรือบางคนก็เป็นหวัดไม่หาย ซึ่งแสดงว่ากล้ามเนื้อก็ไม่ได้รับการผ่อนคลายด้วย
ผู้หญิงต่างจากผู้ชาย เมื่อผู้หญิงเครียดจากการงานก็จะออกมาทางด้านอารมณ์ เช่น ร้องไห้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งปกติผู้หญิงจะจัดการได้ ในขณะเดียวกันเมื่อผู้ชายเครียดก็จะหันเข้าหาแอลกอฮอล์หรือขับรถเร็ว แต่ทั้งหญิงและชายก็จะมีความจำแย่ จะเริ่มสังเกตว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพและมีงานเก่าคั่งค้างมากขึ้นโดยที่ไม่มีใครสังเกตุ นำเอกสารกลับบ้านเพื่อไปตรวจเช็คอีกรอบ อ่านทุกบรรทัดและอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ผู้หญิงทุ่มเทกับงาน ผู้หญิงที่มีภาระมากมายก็จะตัดรายการผ่อนคลายออกไปจากชีวิต เช่น กีฬาและงานอดิเรก และทุ่มเทเวลาและสมาธิให้กับงานในหน้าที่ซึ่งต้องใช้พลังทั้งหมดสำหรับงานนอกบ้าน ดูแลลูกๆ และทำงานบ้าน แล้วก็จะรู้สึกผิดในใจ เพราะคิดว่าทำทุกอย่างไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ
อันตรายจาก Burn Out สังเกตว่าเข้าขั้น Burn Out ก็คือ ไปเที่ยวพักร้อนหนึ่งอาทิตย์ จิตใจก็ยังครุ่นคิดแต่เรื่องงานไม่หยุดหย่อน หากไม่รู้จักผ่อนคลายก็จะนำไปสู่โรคซึมเศร้า เช่น ฉันทิ้งงานมาได้ยังไง ฉันไม่น่ามีลูกเลยเพราะฉันทำหน้าที่ได้ไม่ดี เมื่อมองตัวเองในแง่ลบ วิจารณ์ตัวเองมากเข้าอยากเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิต และในที่สุดก็ไม่อยากลุกจากที่นอนในตอนเช้า กรณีนี้ควรไปพบจิตแพทย์ โลกแห่งความเป็นจริง ผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้านควรคิดวิเคราะห์ว่าเมื่อไหร่ และทำไมกิจวัตรประจำวันจึงไม่ราบรื่น และทำอย่างไรจึงจะไม่เครียด เช่น อาจต้องมีวิธีการบริหารเวลาอย่างทันสมัย และหาวิธีผ่อนคลายจิตใจหลากหลายวิธี
กล้าเปลี่ยนแปลง หากผู้หญิงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เราก็สามารถที่จะจัดการกับชีวิตประจำวันให้มีความสมดุล คือเมื่อมีความเครียดก็มีวิธีผ่อนคลาย เช่น มีเวลาออกกำลังกาย ต้องกล้าที่จะตกลงกับสามีในการแบ่งงานในบ้าน เช่น ให้เขาทำอาหารในวันหยุดสุดสัปดาห์ และแบ่งงานในบ้านให้ช่วยกันทำเพื่อที่ผู้หญิงจะได้มีเวลาออกกำลังกายและได้พักผ่อนเป็นประจำ
ปลูกต้นไม้ตามวันเกิด
ปลูกต้นไม้ตามวันเกิด (เดลินิวส์)
การปลูกต้นไม้ นอกจากจะสร้างความร่มรื่นแล้ว หากปลูกให้เข้ากับวันเกิดก็จะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตด้วย สำหรับใครที่กำลังมองหาต้นไม้มาปลูก วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการเลือกซื้อต้นไม้ให้ถูกโฉลกกับวันเกิดมาฝาก...
คนที่เกิดวันอาทิตย์ เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ทะเยอทะยานสูง อารมณ์ร้อน โกรธง่ายหายเร็ว สุภาพอ่อนโยน คล่องแคล่ว ชอบพบปะผู้คน พูดจาดีมีหลักการ ควรปลูกต้นไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้ม เช่น โป๊ยเซียน โกศล จำปา ราชพฤกษ์ กุหลาบ
คนที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนมีเสน่ห์ ละเอียดรอบคอบ พิถีพิถัน เป็นคนเจ้าสำราญ มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีน้ำใจ ควรปลูกต้นไม้ที่มีดอกสีขาวหรือเหลือง เช่น วาสนา โกศล มะลิ ราตรี มะม่วง กวนอิม โป๊ยเซียน จำปี พลูด่าง แก้ว มะละกอ ชะพลู บัวบก
คนที่เกิดวันอังคาร เป็นคนจิตใจกล้าหาญ ใจนักเลง มีบุคลิกเหมือนคนก้าวร้าวเพราะพูดจาไม่อ่อนหวาน แต่พูดในทางผลประโยชน์ได้ดี อารมณ์ร้อน มีความอดทนสูง ควรปลูกต้นไม้ที่มีดอกสีแดง หรือชมพู เช่น กุหลาบ อัญชัน โป๊ยเซียน ชบา พญายอ
คนที่เกิดวันพุธ เป็นคนดื้อรัน ไม่ฟังใคร ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ชอบเชื่อคนอื่น ควรปลูกต้นไม้ที่มีดอกสีเหลือง เช่น กวนอิม วาสนา พลูด่าง โป๊ยเซียน มะละกอ กล้วย ราชพฤกษ์ กุหลาบ โกศล ชบา
คนที่เกิดวันพฤหัสบดี เป็นคนฉลาดหลักแหลม มีความละเอียดลึกซึ้ง ทำงานประณีต เชื่อในความคิดของตัวเองสูง โกรธง่ายหายเร็ว ควรปลูกต้นไม้ที่มีดอกสีขาว เช่น มะลิ จำปี พุด กุหลาบ แก้ว
คนที่เกิดวันศุกร์ เป็นคนขี้น้อยใจ จิตใจดี ชอบพูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน รักเพื่อนฝูง มีน้ำใจ ไม่ทะเยอทะยาน ควรปลูกต้นไม่ที่มีดอกสีแดงและชมพู กุหลาบ อัญชัน ชบา โกศล โป๊ยเซียน
คนที่เกิดวันเสาร์ เป็นคนกล้าแกร่งห้าวหาญ ใจกล้า สุขุมรอบคอบ เป็นคนใจโลเลไม่เด็ดเดี่ยวหนักแน่น ควรปลูกต้นไม้อย่าง วาสนา กวนอิม ชมพู่ จำปี มะละกอ ฝรั่ง ราชพฤกษ์ คูน มะม่วง
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะหาต้นไม้มาปลูกลองเลือกปลูกให้ตรงกับวันเกิดกันดูได้ เพื่อความเป็นสิริมงคล
การปลูกต้นไม้ นอกจากจะสร้างความร่มรื่นแล้ว หากปลูกให้เข้ากับวันเกิดก็จะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตด้วย สำหรับใครที่กำลังมองหาต้นไม้มาปลูก วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการเลือกซื้อต้นไม้ให้ถูกโฉลกกับวันเกิดมาฝาก...
คนที่เกิดวันอาทิตย์ เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ทะเยอทะยานสูง อารมณ์ร้อน โกรธง่ายหายเร็ว สุภาพอ่อนโยน คล่องแคล่ว ชอบพบปะผู้คน พูดจาดีมีหลักการ ควรปลูกต้นไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้ม เช่น โป๊ยเซียน โกศล จำปา ราชพฤกษ์ กุหลาบ
คนที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนมีเสน่ห์ ละเอียดรอบคอบ พิถีพิถัน เป็นคนเจ้าสำราญ มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีน้ำใจ ควรปลูกต้นไม้ที่มีดอกสีขาวหรือเหลือง เช่น วาสนา โกศล มะลิ ราตรี มะม่วง กวนอิม โป๊ยเซียน จำปี พลูด่าง แก้ว มะละกอ ชะพลู บัวบก
คนที่เกิดวันอังคาร เป็นคนจิตใจกล้าหาญ ใจนักเลง มีบุคลิกเหมือนคนก้าวร้าวเพราะพูดจาไม่อ่อนหวาน แต่พูดในทางผลประโยชน์ได้ดี อารมณ์ร้อน มีความอดทนสูง ควรปลูกต้นไม้ที่มีดอกสีแดง หรือชมพู เช่น กุหลาบ อัญชัน โป๊ยเซียน ชบา พญายอ
คนที่เกิดวันพุธ เป็นคนดื้อรัน ไม่ฟังใคร ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ชอบเชื่อคนอื่น ควรปลูกต้นไม้ที่มีดอกสีเหลือง เช่น กวนอิม วาสนา พลูด่าง โป๊ยเซียน มะละกอ กล้วย ราชพฤกษ์ กุหลาบ โกศล ชบา
คนที่เกิดวันพฤหัสบดี เป็นคนฉลาดหลักแหลม มีความละเอียดลึกซึ้ง ทำงานประณีต เชื่อในความคิดของตัวเองสูง โกรธง่ายหายเร็ว ควรปลูกต้นไม้ที่มีดอกสีขาว เช่น มะลิ จำปี พุด กุหลาบ แก้ว
คนที่เกิดวันศุกร์ เป็นคนขี้น้อยใจ จิตใจดี ชอบพูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน รักเพื่อนฝูง มีน้ำใจ ไม่ทะเยอทะยาน ควรปลูกต้นไม่ที่มีดอกสีแดงและชมพู กุหลาบ อัญชัน ชบา โกศล โป๊ยเซียน
คนที่เกิดวันเสาร์ เป็นคนกล้าแกร่งห้าวหาญ ใจกล้า สุขุมรอบคอบ เป็นคนใจโลเลไม่เด็ดเดี่ยวหนักแน่น ควรปลูกต้นไม้อย่าง วาสนา กวนอิม ชมพู่ จำปี มะละกอ ฝรั่ง ราชพฤกษ์ คูน มะม่วง
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะหาต้นไม้มาปลูกลองเลือกปลูกให้ตรงกับวันเกิดกันดูได้ เพื่อความเป็นสิริมงคล
กระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยด้วยเสียงดนตรี
กระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยด้วยเสียงดนตรี (Mother & Care)
ว่ากันว่าเด็กที่ได้ฟังเพลงคลาสสิกตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จะทำให้คลอดออกมาแล้วเป็นเด็กอารมณ์ดี เลี้ยงง่าย แต่ที่จริงแล้วเพลงและเสียงดนตรีสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเด็กในทุกช่วงวัยทั้งตอนอยู่ในท้องแม่หรือเมื่อคลอดออกมาแล้ว คุณแม่จึงควรเลือกดนตรีที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูกน้อยด้วย
เสียงดนตรีตามวัย
เสียงดนตรีที่ลูกน้อยควรได้รับฟังในแต่ละช่วงวัยนั้น ควรเป็นไปตามอายุที่โตขึ้นของลูกน้อย เพราะยิ่งลูกโตขึ้น การรับรู้และระบบประสาทของลูกน้อยก็จะสามารถฟังเพลงที่ซับซ้อนและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเพลงเหล่านั้นได้มากยิ่งขึ้น
วัย 1-3 เดือน ลูกจะชอบฟังเพลงสบายๆ ช้าๆ หรือเพลงกล่อมเด็ก ซึ่งการฟังเพลงกล่อมจากแม่หรือเสียงที่มีความนุ่มนวล อ่อนโยน จะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ในวัยนี้ลูกจะเริ่มมองหาที่มาของเสียงที่ได้ยิน แสดงความชอบใจและเริ่มเปล่งเสียงตอบสนองในลำคอได้
วัย 4-5 เดือน ลูกเรียนรู้จังหวะได้มากขึ้น ตอบสนองต่อจังหวะและทำนอง เมื่อได้ยินจังหวะที่ชื่นชอบจะยิ้ม ดีมือชอบใจ หรืออาจส่ายหัวตามจังหวะเพลง คุณแม่จึงควรเลือกเพลงหรือดนตรีที่มีจังหวะสนุกสนานให้ลูกฟัง
วัย 6-12 เดือน ในวัยนี้ลูกมีพัฒนาการทางภาษามากขึ้นและเริ่มออกเสียงเป็นพยางค์ได้บ้างแล้ว คุณแม่อาจเลือกเพลงที่เป็นคำคล้องจองง่ายๆ ให้ลูกฟัง ซึ่งการให้ลูกฟังเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ ง่ายๆ ลูกจะพยายามส่งเสียงเลียนแบบเสียงที่ได้ยิน และแสดงท่าทางต่างๆ ตามเพลง เช่น ผงกศีรษะ โน้มตัวไปมา
วัย 1-3 ขวบ การให้ลูกฟังเพลงหรือดนตรีที่มีความซับซ้อนจะช่วยกระตุ้นคลื่นสมองของลูกให้เกิดการจัดเรียงตัวและความคิดสร้างสรรค์ คุณแม่ควรให้ลูกฟังเพลงที่มีทั้งท่วงทำนองและเนื้อร้องที่หลากหลาย ให้ลูกร้องเพลงและเคาะจังหวะตามไปด้วย จะช่วยเพิ่มทักษะทั้งด้านภาษา การทรงตัวของลูกน้อยนอกเหนือจากการฟังด้วย
เสริมพัฒนาการด้วยเสียงดนตรี
คุณแม่ควรให้ลูกน้อยได้รับฟังดนตรีหลากหลายประเภท แล้วสังเกตว่าลูกชอบฟังดนตรีแบบไหนมากที่สุด
ร้องหรือฮัมเพลงให้ลูกฟัง เพราะเด็กจะชอบฟังเสียงของพ่อแม่หรือเสียงของมนุษย์ และเมื่อลูกเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายได้บ้างแล้ว ให้พยายามกระตุ้นให้ลูกเคลื่อนไหวตามจังหวะ เช่น โยกตัว ปรบมือ หรือผงกศีรษะ ซึ่งการมีกิจกรรมร่วมไปกับการฟังดนตรีจะยิ่งดีต่อพัฒนาการของเด็กมากขึ้น
เด็กจะชอบฟังเพลงซ้ำๆ คุณแม่อาจร้องเพลงนั้นให้ฟังบ่อยๆ หรือจะเปลี่ยนเนื้อเพลงไปบ้าง เพื่อให้ลูกรู้สึกแปลกใหม่อยู่เสมอ
เลือกเพลงที่มีจังหวะช้าๆ เปิดเพลงให้ลูกฟังในช่วงก่อนนอนหรืองีบหลับ เสียงเพลงจะช่วยทำให้ลูกรู้สึกสงบและหลับสบาย
อย่าเปิดเพลงเสียงดังเกินไปเพราะประสาทการรับเสียงของลูกจะถูกทำลาย
ว่ากันว่าเด็กที่ได้ฟังเพลงคลาสสิกตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จะทำให้คลอดออกมาแล้วเป็นเด็กอารมณ์ดี เลี้ยงง่าย แต่ที่จริงแล้วเพลงและเสียงดนตรีสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเด็กในทุกช่วงวัยทั้งตอนอยู่ในท้องแม่หรือเมื่อคลอดออกมาแล้ว คุณแม่จึงควรเลือกดนตรีที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูกน้อยด้วย
เสียงดนตรีตามวัย
เสียงดนตรีที่ลูกน้อยควรได้รับฟังในแต่ละช่วงวัยนั้น ควรเป็นไปตามอายุที่โตขึ้นของลูกน้อย เพราะยิ่งลูกโตขึ้น การรับรู้และระบบประสาทของลูกน้อยก็จะสามารถฟังเพลงที่ซับซ้อนและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเพลงเหล่านั้นได้มากยิ่งขึ้น
วัย 1-3 เดือน ลูกจะชอบฟังเพลงสบายๆ ช้าๆ หรือเพลงกล่อมเด็ก ซึ่งการฟังเพลงกล่อมจากแม่หรือเสียงที่มีความนุ่มนวล อ่อนโยน จะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ในวัยนี้ลูกจะเริ่มมองหาที่มาของเสียงที่ได้ยิน แสดงความชอบใจและเริ่มเปล่งเสียงตอบสนองในลำคอได้
วัย 4-5 เดือน ลูกเรียนรู้จังหวะได้มากขึ้น ตอบสนองต่อจังหวะและทำนอง เมื่อได้ยินจังหวะที่ชื่นชอบจะยิ้ม ดีมือชอบใจ หรืออาจส่ายหัวตามจังหวะเพลง คุณแม่จึงควรเลือกเพลงหรือดนตรีที่มีจังหวะสนุกสนานให้ลูกฟัง
วัย 6-12 เดือน ในวัยนี้ลูกมีพัฒนาการทางภาษามากขึ้นและเริ่มออกเสียงเป็นพยางค์ได้บ้างแล้ว คุณแม่อาจเลือกเพลงที่เป็นคำคล้องจองง่ายๆ ให้ลูกฟัง ซึ่งการให้ลูกฟังเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ ง่ายๆ ลูกจะพยายามส่งเสียงเลียนแบบเสียงที่ได้ยิน และแสดงท่าทางต่างๆ ตามเพลง เช่น ผงกศีรษะ โน้มตัวไปมา
วัย 1-3 ขวบ การให้ลูกฟังเพลงหรือดนตรีที่มีความซับซ้อนจะช่วยกระตุ้นคลื่นสมองของลูกให้เกิดการจัดเรียงตัวและความคิดสร้างสรรค์ คุณแม่ควรให้ลูกฟังเพลงที่มีทั้งท่วงทำนองและเนื้อร้องที่หลากหลาย ให้ลูกร้องเพลงและเคาะจังหวะตามไปด้วย จะช่วยเพิ่มทักษะทั้งด้านภาษา การทรงตัวของลูกน้อยนอกเหนือจากการฟังด้วย
เสริมพัฒนาการด้วยเสียงดนตรี
คุณแม่ควรให้ลูกน้อยได้รับฟังดนตรีหลากหลายประเภท แล้วสังเกตว่าลูกชอบฟังดนตรีแบบไหนมากที่สุด
ร้องหรือฮัมเพลงให้ลูกฟัง เพราะเด็กจะชอบฟังเสียงของพ่อแม่หรือเสียงของมนุษย์ และเมื่อลูกเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายได้บ้างแล้ว ให้พยายามกระตุ้นให้ลูกเคลื่อนไหวตามจังหวะ เช่น โยกตัว ปรบมือ หรือผงกศีรษะ ซึ่งการมีกิจกรรมร่วมไปกับการฟังดนตรีจะยิ่งดีต่อพัฒนาการของเด็กมากขึ้น
เด็กจะชอบฟังเพลงซ้ำๆ คุณแม่อาจร้องเพลงนั้นให้ฟังบ่อยๆ หรือจะเปลี่ยนเนื้อเพลงไปบ้าง เพื่อให้ลูกรู้สึกแปลกใหม่อยู่เสมอ
เลือกเพลงที่มีจังหวะช้าๆ เปิดเพลงให้ลูกฟังในช่วงก่อนนอนหรืองีบหลับ เสียงเพลงจะช่วยทำให้ลูกรู้สึกสงบและหลับสบาย
อย่าเปิดเพลงเสียงดังเกินไปเพราะประสาทการรับเสียงของลูกจะถูกทำลาย
12 อาหาร ให้คุณสวยจากภายในศีรษะจรดปลายเท้า
12 อาหารให้คุณสวยจากภายในศีรษะจรดปลายเท้า (สุขภาพดี)
สุขภาพดีที่แท้จริงคือการมีอวัยวะต่างๆ ที่แข็งแรง ทำงานได้ดี และจะเป็นเช่นนั้นได้จุดเริ่มต้นก็คืออาหารที่เรากินไปในแต่ละวัน ซึ่งอาหารแต่ละอย่างก็ดีต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายต่างกัน ซึ่งฉบับนี้เราได้รวบรวมข้อมูลมาให้คุณแล้ว
กล้วย บำรุงเส้นผม ผมร่วง ผมบาง ต้องกินกล้วย เพราะอุดมด้วยวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงผมและป้องกันผมร่วงได้ดี ทั้งยังเป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก
ข้าวกล้อง บำรุงสมอง ปกติข้าวกล้องดีต่อสุขภาพ เพราะมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว จึงมีทั้งวิตามินบีรวม ฟอสฟอรัส แคลเซียม ธาตุเหล็ก กากใย ฯลฯ แต่ตอนนี้ที่กระแสรักสุขภาพมาแรงทำให้เกิดข้าวกล้องหอมมะลิเพาะงอก ที่มีสารกาบาสูง ซึ่งช่วยรักษาสมดุลสารสื่อสาร ลดความเครียดวิตกกังวล และป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย
นม บำรุงฟันและกระดูก สารอาหารสำคัญในการสร้างกระดูกก็คือแคลเซียม ซึ่งพบได้มากในนม แถมยังเป็นแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าแหล่งอื่นๆ
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ บำรุงสายตา ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่าแอนโทไชยานิน (Antho-cyanin) ซึ่งเป็นสารเม็ดสีในเบอร์รี่ช่วยให้มองเห็นชัดในที่มืด หรือที่ที่มีแสงสลัวๆ ได้ชัดเจนขึ้น และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเลนส์ตาและเส้นเลือดฝอยในลูกตาด้วย
อะโวคาโด บำรุงใบหน้า แม้เป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง แต่เป็นกรดไขมันโอเมก้า 9 ที่มีประโยชน์ ที่สำคัญวิตามินบีและอีในอะโวคาโดสามารถช่วยบำรุงผิว ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ และปกป้องผิวจากรังสีต่างๆ ในแสงแดด
ปลาแซลมอน บำรุงหัวใจ มีโปรตีนคุณภาพเพียบ คอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวต่ำ มีไขมันชนิดดี อย่างโอเมก้า 3 สูง ซึ่งช่วยลดโอกาสการเกิดลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือดและภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ชะลอการเติบโตของคราบไขมันในเส้นเลือด
น้ำมันมะกอก บำรุงหลอดเลือด มีไขมันชนิดดี (HDL) อยู่สูง จึงช่วยขนถ่ายคอเลสเตอรอลจากเซลล์เข้าสู่ตับเพื่อเผาผลาญจึงไม่มีไขมันสะสม ที่สำคัญช่วยป้องกันการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่บริเวณเยื่อบุผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ไม่เกิดเป็นเส้นเลือดอุดตัน
กะหล่ำปลี บำรุงทรวงอก งานวิจัยของสมาคมเพื่อการวิจัยมะเร็งของสหรัฐ พบว่า ผู้หญิงโปแลนด์ที่กินกะหล่ำปลีทั้งสดและดอง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมลดลงถึง 75%
ชาเขียว บำรุงกระเพาะอาหาร ผลการวิจัยพบว่า ชาเขียวสามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับ นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ที่ทรงพลังหลายชนิด ดื่มแล้วจึงสวยใสพร้อมสุขภาพดี
พริกหยวก บำรุงเล็บ พริกหวานหลากสีสันล้วนอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการเผาผลาญให้กับร่างกาย นอกจากนี้น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรงด้วย
ถั่ว บำรุงลำไส้ใหญ่ เป็นอาหารอีกประเภทที่มีโปรตีนสารต้านอนุมูลอิสระ และเส้นใยสูงมากจึงสามารถช่วยจัดสมดุลของระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี ทำให้ช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ได้
ผักโขม บำรุงกระดูก ผักโขมยังอุดมด้วยวิตามินเคที่ช่วยเสริมสร้างความหนาแน่ของกระดูก จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้เป็นอย่างดี และลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักด้วย
รู้แล้วก็อย่าลืมเพิ่มอาหารเหล่านี้เข้าไปในแต่ละมื้ออาหาร จะได้สุขภาพดีศีรษะจรดปลายเท้า
สุขภาพดีที่แท้จริงคือการมีอวัยวะต่างๆ ที่แข็งแรง ทำงานได้ดี และจะเป็นเช่นนั้นได้จุดเริ่มต้นก็คืออาหารที่เรากินไปในแต่ละวัน ซึ่งอาหารแต่ละอย่างก็ดีต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายต่างกัน ซึ่งฉบับนี้เราได้รวบรวมข้อมูลมาให้คุณแล้ว
กล้วย บำรุงเส้นผม ผมร่วง ผมบาง ต้องกินกล้วย เพราะอุดมด้วยวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงผมและป้องกันผมร่วงได้ดี ทั้งยังเป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก
ข้าวกล้อง บำรุงสมอง ปกติข้าวกล้องดีต่อสุขภาพ เพราะมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว จึงมีทั้งวิตามินบีรวม ฟอสฟอรัส แคลเซียม ธาตุเหล็ก กากใย ฯลฯ แต่ตอนนี้ที่กระแสรักสุขภาพมาแรงทำให้เกิดข้าวกล้องหอมมะลิเพาะงอก ที่มีสารกาบาสูง ซึ่งช่วยรักษาสมดุลสารสื่อสาร ลดความเครียดวิตกกังวล และป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย
นม บำรุงฟันและกระดูก สารอาหารสำคัญในการสร้างกระดูกก็คือแคลเซียม ซึ่งพบได้มากในนม แถมยังเป็นแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าแหล่งอื่นๆ
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ บำรุงสายตา ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่าแอนโทไชยานิน (Antho-cyanin) ซึ่งเป็นสารเม็ดสีในเบอร์รี่ช่วยให้มองเห็นชัดในที่มืด หรือที่ที่มีแสงสลัวๆ ได้ชัดเจนขึ้น และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเลนส์ตาและเส้นเลือดฝอยในลูกตาด้วย
อะโวคาโด บำรุงใบหน้า แม้เป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง แต่เป็นกรดไขมันโอเมก้า 9 ที่มีประโยชน์ ที่สำคัญวิตามินบีและอีในอะโวคาโดสามารถช่วยบำรุงผิว ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ และปกป้องผิวจากรังสีต่างๆ ในแสงแดด
ปลาแซลมอน บำรุงหัวใจ มีโปรตีนคุณภาพเพียบ คอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวต่ำ มีไขมันชนิดดี อย่างโอเมก้า 3 สูง ซึ่งช่วยลดโอกาสการเกิดลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือดและภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ชะลอการเติบโตของคราบไขมันในเส้นเลือด
น้ำมันมะกอก บำรุงหลอดเลือด มีไขมันชนิดดี (HDL) อยู่สูง จึงช่วยขนถ่ายคอเลสเตอรอลจากเซลล์เข้าสู่ตับเพื่อเผาผลาญจึงไม่มีไขมันสะสม ที่สำคัญช่วยป้องกันการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่บริเวณเยื่อบุผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ไม่เกิดเป็นเส้นเลือดอุดตัน
กะหล่ำปลี บำรุงทรวงอก งานวิจัยของสมาคมเพื่อการวิจัยมะเร็งของสหรัฐ พบว่า ผู้หญิงโปแลนด์ที่กินกะหล่ำปลีทั้งสดและดอง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมลดลงถึง 75%
ชาเขียว บำรุงกระเพาะอาหาร ผลการวิจัยพบว่า ชาเขียวสามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับ นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ที่ทรงพลังหลายชนิด ดื่มแล้วจึงสวยใสพร้อมสุขภาพดี
พริกหยวก บำรุงเล็บ พริกหวานหลากสีสันล้วนอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการเผาผลาญให้กับร่างกาย นอกจากนี้น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรงด้วย
ถั่ว บำรุงลำไส้ใหญ่ เป็นอาหารอีกประเภทที่มีโปรตีนสารต้านอนุมูลอิสระ และเส้นใยสูงมากจึงสามารถช่วยจัดสมดุลของระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี ทำให้ช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ได้
ผักโขม บำรุงกระดูก ผักโขมยังอุดมด้วยวิตามินเคที่ช่วยเสริมสร้างความหนาแน่ของกระดูก จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้เป็นอย่างดี และลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักด้วย
รู้แล้วก็อย่าลืมเพิ่มอาหารเหล่านี้เข้าไปในแต่ละมื้ออาหาร จะได้สุขภาพดีศีรษะจรดปลายเท้า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)