28 ก.ย. 2551

10 ที่เที่ยวในหน้าหนาวของไทย

อากาศบ้านเราเริ่มหนาวแล้ว สถานที่ต่างๆ เริ่มมีบรรดานักท่องเที่ยว ทยอยขึ้นดอยสัมผัสความหนาว ทะเลหมอก น้ำค้าง และสายลมกันบ้างแล้ว ชีวิตคนเมืองอย่างเราไม่ค่อยได้สัมผัสอากาศหนาวเท่าไรนัก (นอกจากความหนาวจาก แอร์คอนดิชั่น) แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัด ก็พอจะมีโอกาสได้รับรู้ถึงความหนาวกันบ้าง

ยิ่งบนยอดดอยไม่ต้องพูดถึง บางแห่งหนาวเกือบตลอดทั้งปี สำหรับวันนี้ เรามีสถานที่ ที่น่าสนใจ 10 แห่ง ที่มักจะมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาสัมผัสความหนาวให้ได้รู้จักกัน ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทือกเขาทางภาคเหนือ ลองมาดูกันซิคะว่าเราเคยไปเที่ยวกันครบทั้งสิบแห่งหรือยัง

1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ชื่อนี้มักจะเป็นติดอันดับต้นๆ ของการท่องเที่ยว เดิมชื่อว่า ดอยหลวง หรือ ดอยอ่างกา ดอยหลวง หมายถึงภูเขาที่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่เรียกว่า ดอยอ่างกานั้น เพราะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลักษณะเหมือน อ่างน้ำ มีฝูงกาไปเล่นน้ำกันมากมาย จึงเรียกว่า อ่างกา หรือ ดอยอ่างกา ดอยอินทนนท์ เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย (2,599 เมตร) จึงทำให้มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ มี น้ำตกแม่ยะ น้ำตกแม่กลาง น้ำตกวชิรธาร น้ำตกสิริภูมิ ถ้ำบริจินดา โครงการหลวงอินทนนท์ และ เส้นทางศึกษาธรรมชาติหลายจุด


2. ดอยอ่างขาง เป็นที่ตั้งสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ภายในสถานีมีโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ แปลงทดลองปลูกไม้ผลเมืองหนาว สวนบอนไซ มีการจำหน่ายผลิตผลพืชผักเมืองหนาวที่ปลูก ในบริเวณโครงการฯ ให้แก่นักท่องเที่ยวตามฤดูกาล ในสถานีฯ มีที่พัก และมีสถานที่กางเต็นท์บริการแก่นักท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ

3. เขาค้อ - อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ชื่อว่าเขาค้อเป็นเพราะ ป่าบริเวณนี้มีต้นค้อขึ้นอยู่มาก เนื่องจากภูมิอากาศบนเขาค้อเย็นตลอดปี ค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาว และมีทัศนียภาพสวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ของเพชรบูรณ์ สถานที่น่าสนใจบนเขาค้อได้แก่ อนุสาวรีย์จีนฮ่อ ฐานอิทธิเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุเขาค้อ หอสมุดนานาชาติเขาค้อ พระตำหนักเขาค้อ น้ำตกศรีดิษฐ์ สวนสัตว์เปิดเขาค้อ และเนินมหัศจรรย์ หมู่บ้านคุ้มจุดชมวิวกิ่วลม หมู่บ้านนอแล และหมู่บ้านขอบด้ง หมู่บ้านหลวง

อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำหลายสาย สถานที่น่าสนใจ ในเขตอุทยานฯ ได้แก่ ทุ่งหญ้ากงวัง ถ้ำผาหงษ์ สวนสนบ้านแปก สวนสนภูกุ่มข้าว น้ำตกซำผักคาว น้ำตกทรายแก้ว น้ำตกทรายเงิน น้ำตกเหวทราย น้ำตกทรายทอง ภูผาจิต หนองปลาไหล หนองน้ำขุ่น น้ำตกตาดพรานบา ผาล้อม ผากอง ถ้ำใหญ่น้ำ


4. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี มีเทือกเขาและภูเขาสูง สลับซับซ้อน ครอบคลุมอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ฤดูหนาวอากาศเย็น ลมแรง
5. ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง จ.เชียงราย ภูชี้ฟ้า เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง มีลักษณะเป็นยอดเขาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ่งตอนที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นมาตรงระหว่างปลายยอดเขา จะดูเหมือน เสือคาบแก้วมาก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,628 เมตร ส่วนของหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว
ดอยผาตั้ง อยู่บนเทือกดอยผาหม่น เป็นจุดชมวิวสองฝั่งโขง ไทย-ลาว และทะเลหมอก บนดอยมีหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า โดยเฉพาะ ชาวจีนฮ่อนั้น อดีตเคยเป็น ส่วนหนึ่งของกองพล 93 ซึ่งอพยพเข้ามา ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดอยผาตั้งนี้ ปัจจุบันประกอบอาชีพทางการเกษตร ปลูกพืชเมืองหนาว เช่น บ๊วย ท้อ สาลี่ แอปเปิ้ล


6. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่ง ของเมืองไทย เพราะมีสภาพธรรมชาติสมบูรณ์ประกอบด้วยระบบนิเวศและ ภูมิประเทศหลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้า ป่าสนเขา ป่าดิบ น้ำตกและ หน้าผาชมทิวทัศน์ ลักษณะเด่นของอุทยานฯ แห่งนี้คือเป็นภูเขาหินทราย ยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่คล้ายใบบอนหรือรูปหัวใจ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จุดท่องเที่ยวประทับใจได้แก่ ผานกแอ่น ผาหล่มสัก ผาหมากดูด น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำสอเหนือ-ใต้ สระอโนดาด เป็นต้น
7. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัดคือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ไร่ภูหินร่องกล้ามียอดเขาสูง 1,617 เมตร มีทิวทัศน์สวยงาม ปกคลุมด้วยป่าเต็งรังป่าดิบเขา และป่าสนเขา มีสนสองใบและสนสามใบ ขึ้นปะปนกัน และพบกล้วยไม้ดอกไม้ป่าหลายชนิดขึ้นอยู่ตามลานหิน เคยเป็นศูนย์กลางที่ตั้งฐานที่มั่นการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ จุดที่น่าสนใจ ลานหินปุ่ม ลานหินแตก น้ำตกหมันแดง เป็นต้น



8. ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ - ดอยแม่เหาะ จ.แม่ฮ่องสอน ดอยแม่อูคอ เป็นทุ่งดอกบัวตองที่มีพื้นที่ครอบคลุมเป็นเขากว้าง ประมาณ 1 พันไร่ ดอกบัวตองที่นี่เมื่อบานพร้อม ๆ กันในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม จะเหลืองอร่ามปกคลุมทั่วทั้งภูเขา ดอยแม่เหาะ อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 10-8 ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 84 เขตตำบลแม่เหาะ เป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณนี้ มีภูมิประเทศที่งดงาม มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อยู่เป็นส่วนมาก ในเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม ของทุกปี ดอกบัวตอง หรือทานตะวันป่า จะบานสะพรั่ง ไปทั่วหุบเขา สวยงามมากทีเดียว
9. อุทยานแห่งชาติภูเรือ เป็นภูเขาสูงใหญ่ บนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีต้นสนขึ้นสลับซับซ้อน มีลักษณะแปลกคือ มีส่วนหนึ่งเป็นผา ชะโงกยื่นออกมาเหมือน หัวเรือสำเภาใหญ่ อุทยานแห่งชาติภูเรือ จุดที่น่าสนใจบนอุทยานได้แก่ ผาโหล่นน้อย ภูผาสาด และทะเลภูเขา ผาซับทอง หรือ ผากุหลาบขาว เป็นหน้าผาสูงชัน และแหล่งน้ำซับที่มีพืชน้ำไลเคนสีเหลืองคล้ายสีทอง ขึ้นเต็มไปทั่ว น้ำตกห้วยไผ่ เป็นน้ำตกที่ไหลจากหน้าผาสูงชัน ยอดภูเรือ เป็นจุดสูงสุดในอุทยานฯ สามารถมองเห็น แม่น้ำเหืองและแม่น้ำโขงที่กั้นพรมแดนระหว่างไทย-ลาว

10. อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว สภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงที่ป่าปกคลุมอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี การเดินทางขึ้นดอยค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วจะพบดอกไม้ป่า พันธุ์ต่าง ๆ เช่น ดอกหงอนนาค ดอกไม้ดินต่าง ๆ สวยงามมาก แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่น้ำตกภูสอยดาว และลานสน
จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายที่ ซึ่งมีความสวยงามและเป็นแหล่งนิยม ไม่แพ้ 10 อันดับข้างต้นที่กล่าวมาเลย แต่ที่กล่าวมานี้ว่าตามแหล่งข้อมูลค่ะ ขอให้ทุกคนสนุกกับการสัมผัสอากาศหนาวของบ้านเรา และต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพก่อนเดินทางก็จะเป็นการดีนะคะ เพราะอากาศในบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาค่ะ

จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายที่ ซึ่งมีความสวยงามและเป็นแหล่งนิยม ไม่แพ้ 10 อันดับข้างต้นที่กล่าวมาเลย แต่ที่กล่าวมานี้ว่าตามแหล่งข้อมูลค่ะ ขอให้ทุกคนสนุกกับการสัมผัสอากาศหนาวของบ้านเรา และต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพก่อนเดินทางก็จะเป็นการดีนะคะ เพราะอากาศในบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาค่ะ

ความคิดของคนเริ่มแก่ (70% คิดแบบนี้แหละ)

-บังเกิดความคิดขึ้นว่า... 'กูจะไปสยามทำหอกอะไรวะ?'
-เปิดเพลงที่เรารู้สึกว่าวัยรุ่นสุดๆขึ้นฟัง และพบว่า มันกลายเป็นเพลงเก่าไปแล้ว(เมื่อ2วันที่แล้วเลย เปิดProject Hฟัง...รู้ตัวอีกที...ชิบหาย แม่ง7-8ปีแล้วนี่หว่า...)
-ขณะเดินผ่านกลุ่มวัยรุ่นในสยาม บังเกิดความคิดขึ้นว่า... 'แม่งแต่งตัวเหี้ยไรของแม่งวะ?'
-หลังจากผ่านกลุ่มวัยรุ่นไป เงี่ยหูฟังเพลงที่เปิดในสยาม... 'เพลงควยไรเนี่ย? มึงฟังอะไรกันอ่ะ?'
-เดินต่อมา เจอคู่รักวัยรุ่น... บ่นพึมพำกับตัวเองว่า ' น้อง...เปิดห้องเลยไม๊?... ถุงยางมียัง? '(สมัยกูอายุเท่าพวกมึง แค่จับมือกูก็ตื่นเต้นชิบหายแล้ว)
-หรือเห็นกลุ่มวัยรุ่นกำลังมีเรื่องกัน เราจะหันไปมองหน้าเพื่อนโดยอัตโนมัติ และคิดเช่นเดียวกัน ... 'อืม... หมอยเพิ่งขึ้นกันใช่ไม๊? เห่อหมอยกันใหญ่เลย...'

-สถานที่Hang-Out เริ่มเปลี่ยนเป็น เยาวราช,สำเพ็ง,สวนลุมพินี,พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
-สมัย ม.ปลาย เลิกเรียน ดิ่งไปสยาม พออยู่มหาลัย เริ่มหาร้านนั่งกินอะไรชิวๆ หานิทรรศการศิลปะดีๆดู เดินถ่ายรูปตามย่านเมืองเก่า
-เกิดอาการช็อกโลก เมื่อหยิบกางเกงตัวเก่ามาใส่ แล้วแม่งฟิต...
-การ์ตูนที่เราชื่นชอบ กลายเป็นบรรพบุรุษการ์ตูนที่เด็กสมัยนี้ไม่เคยเห็นตัวตน
-ยิ่งขนมที่เราเคยกิน แม่งจะกลายเป็นตำนานลี้ลับที่ไม่เคยมีใครรู้จัก
-เดินเข้าแผนกของเล่น แล้วรู้สึกอิจฉาเด็กสมัยนี้ ... ของเล่นแม่งเจ๋งสัดอ่ะ ...
-เปิดนิตยสารวัยรุ่นดู แล้วเกิดประโยคเหล่านี้ เช่น... ' เฮ้ย ชิบหาย แม่ง15เองอ่ะ...ตอนกูอยู่ประถมนี่ แม่งเพิ่งเกิดเองอ่ะ' หรือ 'เด็กสมัยนี้โตเร็วเนอะ...'

-อายุถึง เข้าผับได้ปั๊บ เย็ดเข้!!! ดีใจสัดๆ... พอเวลาผ่านไปซักพัก... เอ่อ... กูจะดีใจทำไม? นี่กูแก่แล้วดิเนี่ย?
- สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืน จะเปลี่ยนจุดประสงค์ จากผับDanceชื่อดัง กลายเป็นร้านนั่งชิว เปิดเพลงเบาๆ นั่งคุยกันกะเพื่อนๆ เน้นแดก ไม่เน้นDance... (ป่าวหรอก สังขารมันไม่ให้ และกูต้องการแดกเหล้า ไม่ใช่เต้นระบำ)
-เวลาทำงาน เวลาเรียน มากขึ้น ในขณะที่ เวลาพักผ่อน เวลานอน แม่งน้อยลง
- ดาราวัยรุ่นที่เราชื่นชอบ ปัจจุบันเล่นบท... แม่ ...
-เตะบอล สมัย ม.ปลาย เตะกันเป็นชั่วโมง เดี๋ยวนี้15นาที หรือแค่วิ่งประกบกองหน้า หอบแดกยังกะวิ่งมาราธอน
-เล่นบาส สมัย ม.ปลาย กระโดดจับห่วงได้สบาย เดี๋ยวนี้ปลายตาข่ายกูยังจะตายเอา
-แต่ก่อน วันเกิด ยะฮู้!!! แดกเหล้าโว้ยยยยยยยย!!! เดี๋ยวนี้ ตักบาตร เข้าวัด ถวายสังฆทาน
-UBCช่อง34 ช่อง มะจัง คือพระเจ้า!!!
-ตื่นนอนขึ้นมา...และรู้สึกว่า... กูเคยผอมกว่านี้นะ...
-ดูรูปตัวเองสมัยก่อน โอ้ว ฟักยัด นี่กูหรือนี่?... มันไม่มีภาพนั้นอีกต่อไป...

-เคยชินกับ Bakery มากกว่า Love Is (ก่อนพี่บอย จะสติแตก และคลั่งทั่นเย)
-ยังได้เห็นภาพพี่ป๊อด Moderndog ก่อนจะเป็นเกย์ -และซันนี่ ยู-โฟร์ ก่อนจะเป็นสาว
-รู้จัก และร้องเพลงของ ต้า Dr.Kids ก่อนจะผูกคอตาย
-เด็กๆสมัยนี้คงจะร้องเพลง 'ที่ว่าง' ของวงPauseได้ แต่ไม่เคยเห็นว่า พี่โจ้ ร้องนำวงนี้ หน้าตาเป็นยังไง
-เดินเข้าร้านอาหาร พนักงานเรียกพี่... ขึ้นTaxi คนขับเรียกพี่... ไปกินเหล้า พนักงานเรียก พี่...
-จำชื่อวง KORN, Limp Bizkit, Coal Chamber, Slipknotอะไรเหล่านี้ได้รึป่าว?

ปุ่ม Hybrid Sleep ใน Vista อยู่ไหน?

สืบเนื่องจากทิป “นอนหลับ” กับ “จำศีล” ต่างกันอย่างไร? ตอนที่ 2 ที่พูดถึงกันไปเมื่อวานนี้ นายเกาเหลาได้แนะนำเกี่ยวกับ Hybrid Sleep ก็มีผู้อ่านหลายท่านที่สนใจ ส่งอีเมล์สอบถามกันเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่ก็จะถามในทำนองเดียวกันที่ว่า ปุ่ม หรือตัวเลือก Hybrid Sleep ที่นายเกาเหลาพูดถึง มันอยู่ตรงไหนใน Vista เพราะใช้โอเอสมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นออปชั่นที่ว่าเลย...ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้อธิบายขยาย



ความในเรื่องนี้ไว้ด้วย ความจริง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณผู้อ่านจะไม่พบปุ่ม หรือตัวเลือก Hybrid Sleep เนื่องจากมันสามารถเปิดปิดการทำงานจากใน Control Panel โดยถ้าห่กเราเข้าไปเปิดการทำงานนี้ไว้ เวลาที่โน้ตบุ๊กของเรา Sleep มันก็จะใช้ Hybrid Sleep โดยอัตโนมัติ







คุณผู้อ่านสามารถเข้าไปตรวจสอบ เพื่อเลือก หรือยกเลิกการทำงานของ Hybrid Sleep ได้ โดยคลิกปุ่ม Start เลือก Control Panel จากนั้นกรอบหน้าต่างด้านซ้ายคลิกเลือก Classic View ดับเบิ้ลคลิกบนไอคอน Power Options สังเกตที่ด้านซ้ายของไดอะล็อกบ๊อกซ์ คลิกเลือกรายการ “Change when the computer goes to Sleep” จากนั้นคลิกเลือกรายการ “Change advanced power settings” หน้าต่าง Power Options ตัวใหม่จะเปิดขึ้นมา คลิกเครื่องหมาย + หน้าข้อความ Sleep จากนั้นคลิก + หน้ารายการ “Allow hybrid Sleep” คุณผู้อ่านสามารถเปิด-ปิด Hybrid Sleep ๆได้จากที่นี่ครับ เสร็จแล้วคลิกปุ่ม OK เป็นอันเรียบร้อย แหม...มีของดีให้ใช้ แต่เข้าถึงยากจังเลยนะครับ

“นอนหลับ”กับ”จำศีล”ต่างกันอย่างไร? ตอนที่ 2

Sleep เมื่อโน้ตบุ๊กนอนหลับ

เมื่อโน้ตบุ๊กของเพื่อนๆ เข้าสู่โหมด Sleep พวกมันจะเก็บสถานะการทำงานเอาไว้ในหน่วยความจำระบบ (RAM) หน้าจอจะถูกปิดลง เพื่อประหยัดพลังงาน ฮาร์ดดิสก์ก็จะหยุดทำงาน รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ก็จะชัตดาวน์ตัวเองไปด้วย โดยอย่างน้อยที่สุดต้องมีพลังงานไฟฟ้าให้เหลือมากพอที่จะจ่ายให้ RAM ซึ่งทำหน้าที่เก็บสถานภาพการทำงานทั้งหมดก่อนเครื่องหลับ (sleep) เอาไว้นั่นเอง

ดังนั้น การเข้าโหมด Sleep จึงไม่ได้เป็นการปิดเครื่องโดยสมบูรณ์ ซึ่งการปลุกให้คอมพิวเตอร์ตื่นขึ้นจาก Sleep จะสามารถทำได้ทันที โดยชิ้นส่วนการทำงานต่างๆ ทีอยู่ในโน้ตบุ๊กจะกลับมาเริ่มทำงาน โดยดึงข้อมูลสถานะการทำงานจากหน่วยความจำ ซึ่งสะดวกมาก เพราะผู้ใชสามารถย้อนเวลาไปก่อนมันหลับได้ทันที

จุดอ่อนของ Sleep ก็คือ มันยังต้องมีการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ถ้าแบตฯ หมด ข้อมูลสถานะของการทำงานที่เก็บไว้ใน RAM ก็จะหายไปด้วย ข้อมูลที่ยังไม่ได้จัดเก็บไว้ก่อน Sleep ก็จะไม่อยูด้วยเช่นกัน

Hibernate จำศีล-ไม่ใช้พลังงาน

สำหรับโหมด Hibernate สถานะของการทำงานของคอมพิวเตอร์จะถูกจัดเก็บลงบนฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บลงฮาร์ดดิสก์แล้ว มันก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานเพื่อเก็บรักษาข้อมูลนั้นไว้เหมือนกับ RAM ในโหมด Sleep ดังนั้น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของคุณ เมื่อเข้าสู่ Hibernate มันก็จะปิดการทำงานของทั้งระบบโดยสมบูรณ์

การเริ่มต้นการทำงานของ Hibernate จะเหมือนกับผลลัพธ์ที่ได้จาก Sleep คอมพิวเตอร์จะเรียกคืนสถานะการทำงานที่จัดเก็บไว้ก่อนหน้านั้น กลับคืนมา อย่างไรก็ตาม การตื่นจากจำศีล หรือ hibernate จะใช้เวลานานกว่า Sleep ซึ่งทำให้ผู้ใช้อาจรู้สึกสะดวกน้อยกว่า แต่ขอดีก็คือ ไม่ต้องกังวลว่า แบตฯหมดแล้วข้อมูลจะหายไปด้วย

นายเกาเหลามีของแถมสำหรับผู้ใช้ Windows Vista มีฝากด้วยครับ เนื่องจากมันได้มีการเพิ่มลูกเล่นในโหมดการทำงานนี้เข้าไปด้วย เรียกว่า Hybrid Sleep โดยจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Hibernate และ Sleep นั่นเอง เอ้า...งงล่ะสิ หลักการทำงานในโหมดนี้ก็คือ สถานะของการทำงานของคอมพิวเตอร์จะถูกจัดเก็บไว้ทั้งในหน่วยความจำ และฮาร์ดดิสก์ โดยยังคงมีใช้พลังงานกับ RAM ถ้าตอนปลุกให้มันตื่น ขณะที่แบตฯ ยังไม่หมด มันก็จะตื่นขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นการโหลดสถานะของการทำงานจาก RAM แต่ถ้าแบตหมดไปแล้ว ข้อมูลที่ใช้ในการตื่นคืนมาอีกครั้งก็จะดึงมาจากฮาร์ดดิสก์แบบ Hibernate นั่นเอง

Hibernate บ่อยๆ แล้วโน้ตบุ๊กจะอายุสั้น? นายเกาเหลาว่า คนที่ปล่อยข่าวนี้ คงจะเข้าใจอะไรผิด หรือเปล่า? เพราะการทำงานทั้ง Sleep และ Hibernate แทบไม่ได้ต่างกับการชัตดาวน์คอมพิวเตอร์สักเท่าไร แถมยังช่วยประหยัดพลังงานให้อีกต่างหาก คิดไปคิดมา นายเกาเหลายังไม่เห็นเหตุผลที่จะไม่ใช้โหมดการทำงานพวกนี้เลย โดยเฉพาะผู้ใช้โน้ตบุ๊กครับ สรุปฟันธงอีกครั้งก็แล้วกันนะครับว่า การใช้ Hibernate ไม่ได้ทำให้โน้ตบุ๊กอายุสั้นอย่างแน่นอน

“นอนหลับ”กับ”จำศีล”ต่างกันอย่างไร? ตอนที่ 1

เชื่อว่า หลายท่านอาจจะยังแยกความแตกต่างไม่ออกระหว่างคำว่า Hibernate กับ Sleep ที่มักจะพบเห็นใน Windows Vista นายเกาเหลาเลยถือโอกาสนี้นำมาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันนะครับ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว เวลาติดเรื่องสงสัยอะไรเล็กๆ น้อยๆ แล้ว ก็อยากจะหาคำตอบให้ได้ (เก็บไว้แล้วอึดอัด) ล่าสุดไปได้ยินมาจากเพื่อนคนหนึ่งว่า การใช้ Hibernate อาจทำให้โน้ตบุ๊กอายุสั้นเร็วอีกต่างหาก? จริงเท็จอย่างไร แนะนำว่า ติดตามอ่านกันต่อให้จบนะครับ

สำหรับความเข้าใจในเบื้องต้น Hibernate และ Sleep (เดิมเรียก Standby ใน Windows XP) แท้จริงก็คือ คุณสมบัติในการประหยัดพลังงานให้กับโน้ตบุ๊กของเรานั่นเอง ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในพีซี และแมคฯ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมคนถึงสับสนกับคุณสมบัติการทำงานทั้งสองตัวนี้ เหตุเพราะว่า การทำงานของมันดูคล้ายกันมากนั่นเอง เวลาชัตดาวน์ (Shutdown) คอมพิวเตอร์ มันหมายถึงการที่เราปิดทุกสิ่งทุกอย่าง แอพพลิเคชันทุกตัว ทุกหน้าต่าง และทุกไฟล์เอกสาร การเริ่มต้นเปิดเครื่องหลังจากชัตดาวน์จึงใช้เวลานาน แถมหลังจากนั้น คุณยังจะต้องเปิดแอพพลิเคชันต่างๆ รวมถึงไฟล์ข้อมูลที่ต้องการใช้อีกด้วย เรียกว่า “รอ” กัน 2 เด้งเลยทีเดียว

เพื่อเป็นการประหยัดเวลา คุณผู้อ่านสามารถใช้คุณสมบัติการทำงานของวินโดวส์ที่เรียกว่า Hibernate (แปลว่า “จำศีล”) หรือ Sleep ก็ได้ ซึ่งเมื่อใช้สองฟีเจอร์นี้ มันจะมีการจัดเก็บสถานะการทำงานทั้งหมด (แอพพลิเคชัน, ไฟล์ข้อมูล และหน้าต่างที่เปิดใช้งาน) เอาไว้ โดยเราไม่ต้องมานั่งปิดไฟล์ และโปรแกรมให้หมดก่อนชัตดาวน์อีกด้วย คราวนี้เมื่อเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมา ทุกสถานะของการทำงานของเครื่องก่อนหน้านั้นจะถูกเรียกคืนกลับมาให้พร้อมใช้งาน หน้าต่างโปรแกรม ไฟล์เอกสาร ที่เปิดไว้ก่อนหน้านั้น ตลอดจนตำแหน่งที่มันอยู่ จะปรากฎอยู่ตรงหน้าเหมือนย้อนเวลากลับไปได้ยังไงยังงั้น ว่าแต่แล้ว คุณสมบัติทั้งสองนี้ทำงานต่างกันอย่างไร ในเมื่อผู้ใช้จะได้เห็นเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งความแตกต่างที่ผู้ใช้มองไม่เห็น หรือไม่ทันสังเกตได้ก็คือ ระดับของการประหยัดพลังงาน และความสะดวกสบาย ส่วนรายละเอียดของแต่ละคุณสมบัติ พร้อมทั้งประเด็นถกเถียงข้างต้น นายเกาเหลาขอยกไปเล่าให้ฟังต่อในตอน 2 ก็แล้วกันนะครับ ยังไงก็อย่าลืมติดตามด้วยล่ะ ตอนนี้ขอเข้าตัวไปเข้าโหมด sleep ก่อนนะครับ

อาหารญี่ปุ่น สไตล์ฟิวชั่น

สารพัดซูชิมีให้เลือกอิ่มแบบไม่จำกัด
นอกเหนือจากอาหารไทยประจำชาติอันเลิศรสแล้ว ก็ยังมีอาหารต่างชาติอื่นๆ อีกมากไม่ว่าจะเป็นอาหารจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม อิตาเลียน ฝรั่งเศสและอาหารชาติอื่นๆ อีกมากมายที่ต่างพากันมาเปิดให้บริการความอิ่มอร่อยกันถึงถิ่นที่เมืองไทย โดยไม่ต้องแสวงหาเดินทางไปกินไกล ก็สามารถที่จะลิ้มรสชาติอาหารชาตินั้นๆ ได้อย่างอิ่มหนำสำราญปาก อย่างในมื้อนี้เมื่อ นึกอยากจะกินอาหารญี่ปุ่นขึ้นมา เราก็แค่นึกว่าอยากจะเดินทางไปกินอาหารญี่ปุ่นกันที่ร้านไหนดี และในที่สุดเราก็ตกลงปลงใจที่จะขอเลือกไปอิ่มหนำกับอาหารยุ่นกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นน้องใหม่ในย่านซอยทองหล่อที่มีชื่อว่า "ฮารุ" (HARU) ที่เพิ่งเปิดตัวเข้าสู่ยุทธจักรร้านอาหารญี่ปุ่นมาแบบสดๆ ร้อนๆ แค่ 2 เดือน แต่ว่ามีแรงดึงดูดอันน่าสนใจจนทำให้เราต้องเดินทางมาลิ้มลองรสชาติกันให้จงได้
เพราะว่าที่ร้านฮารุแห่งนี้ บริการอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมและแบบญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่นที่ไม่เหมือนร้านไหน มีรสชาติแปลกใหม่อันหลากหลาย และอีกหนึ่งจุดเด่นที่ดึงดูดใจให้เราอยากมากินอาหารญี่ปุ่นที่นี่เป็นอย่างมาก นั่นก็คือการที่ทางร้านจะมีบริการอาหารแบบให้อิ่มฟรีไม่มีอั้น เพียงแค่เราเลือกสั่งอาหารหลักชุดเมนูใดก็ได้ 1 ชุดจากในเมนูอาหาร เราก็จะสามารถที่จะเลือกอิ่มเพิ่มเติมแบบฟรีไม่มีอั้นกับเคาน์เตอร์บุฟเฟต์อาหารที่จะตั้งอยู่ตรงกลางร้าน ให้เราได้เดินไปเลือกตักอาหารได้ตามใจชอบ ที่ทางร้านมีบริการไว้หลากหลายกว่า 40 รายการ ไม่ว่าจะเป็นซูชิสารพัดหน้า สลัดบาร์ที่มีผักและผลไม้ให้เลือกมากมายพร้อมกับน้ำสลัดรสดี หรือจะเป็นซุปร้อนๆ สารพัดอย่างที่จะสลับหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปตามแต่ละวัน และก็ยังมีของหวานอย่างฟองดูช็อคโกแลตที่ทางร้านเลือกใช้ช็อคโกแลตอย่างดีจากเบลเยี่ยมมาให้ลิ้มรส
สำหรับเมนูอาหารญี่ปุ่นอันชวนสั่งมากินของที่ร้านฮารุนั้นก็มีมากหลาย อีกทั้งอาหารที่นี่มีให้เลือกสั่งมากินแบบจานเดี่ยว หรือจะเลือกสั่งแบบเป็นเซ็ทอิ่มคุ้ม ซึ่งจะมีข้าว กิมจิ ยำสาหร่าย หมูลวกราดด้วยซอสผสมงาขาว และซุปมิโซะร้อนๆ เสิร์ฟมาให้อิ่มแบบครบเซ็ท ในมื้อนี้เราอยากจะแนะนำเมนูจานเด่นๆ ที่ขายดีของที่นี่ ที่ทางร้านแนะนำมาเลยว่าเป็นเมนูจานเด็ดที่หากว่ามาแล้วไม่ควรพลาดสั่งมาลิ้มรสกัน

เริ่มขบวนจานเด็ดด้วย หอยเชลล์โอทาเตะใหญ่พิเศษราดซอสไวน์ขาว (400 บาท เซ็ท 470 บาท) ทางร้านนำหอยเชลล์สดๆ ตัวใหญ่คัดพิเศษมากริลล์มากับซอสไวน์ขาวสูตรพิเศษของทางร้าน เสิร์ฟมาพร้อมกับซัลซ่ามะเขือเทศ ชิมหอยเชล์ตัวใหญ่เคี้ยวเนื้อแน่นหนึบนุ่มหวาน ได้รสชาติซอสไวน์ขาวที่หอมละมุน

ถัดมาทางร้านนำเสนอเมนูปลาเพื่อสุขภาพอย่าง แซลมอนเทริยากิซอสไวน์ขาว (270 บาท เซ็ท 340 บาท) ปลาแซลมอนชิ้นโตที่ย่างจนสุกหอมและราดด้วยซอสเทริยากิที่ปรุงรสชาติผสมกับซอสไวน์ขาว ลิ้มรสเนื้อปลาแซลมอนย่างหอมๆ เนื้อหวานนุ่มซึมรสชาติซอสเทริยากิที่ออกเค็มๆ หวานๆ ผสานรสชาติเข้ากับซอสไวน์ขาวได้เป็นอย่างดี

ต่อด้วยอีกหนึ่งเมนูปลาจานเด็ด ทูน่าทาทากิพริกไทยดำ (280 บาท เซ็ท 350 บาท) เป็นทูน่าสดๆ นำมากริลล์กับพริกไทยดำแบบข้างนอกพอสุกแต่เนื้อในยังฉ่ำสดอยู่ และมีน้ำซอสสูตรเด็ดที่ทางร้านปรุงพิเศษจะออกเปรี้ยวนิดๆ เจือเผ็ดหน่อยๆ กินเข้าคู่กันดีกับปลาทูน่าเนื้อหวานนุ่ม ที่หอมกลิ่นพริกไทยดำขึ้นจมูกเวลาเคี้ยวอยู่ปาก

กินเมนูปลาติดๆ ไปแล้วถึง 2 จานหันมากินเมนูจานเส้นที่ทางร้านบอกว่าขึ้นชื่อและขายดีกันบ้าง เมนูนี้คือ พาสต้าไข่ปลาเมนไตโกะ (230 บาท เซ็ท 300 บาท) เป็นเส้นสปาเกตตี้ผัดกับไข่ปลาเมนไตโกะ และผัดปรุงรสใส่วิปปิ้งครีมและครีมนมสด โรยหน้าด้วยไข่กุ้งสีส้มสด สาหร่ายญี่ปุ่น และถั่วแระญี่ปุ่น ม้วนเส้นสปาเกตตี้ส่งเข้าปาก ออกรสชาติหอมหวานเนียนนุ่มลิ้น และเคี้ยวกรุบๆ กับไข่ปลาและไข่กุ้ง

ส่งท้ายขบวนด้วยเมนูเนื้อจานเด็ดที่ถ้าใครชอบกินเนื้อไม่ควรพลาดสั่ง สเต็กเนื้อออสเตรเลีย (580 บาท เซ็ท 650 บาท) เป็นเนื้อวัวออสเตรเลียส่วนสันนอกอย่างดีนำมากริลล์และปรุงรสตามสูตรเด็ดของเชฟ แล้วแล่มาเป็นชิ้นพอดีคำเสิร์ฟมาบนกระทะร้อนๆ และมาพร้อมกับซอสรสเด็ด 3 อย่างมาให้จิ้มกันกับเนื้อวัวที่เคี้ยวนุ่มหนึบหนับปากได้รสชาติความหวานสดของเนื้อวัวชั้นดี

แต่ถ้าใครคิดว่าเมนูที่นำเสนอมานี้อาจจะยังไม่หนำใจปาก ขอบอกว่าในเมนูอาหารที่ได้เปิดดูนั้นยังมีเมนูเด่นๆ อีกเพียบที่ชวนกิน อาทิ กุ้งเทมปุระสไปซี่ซอส (160 บาท เซ็ท 230 บาท) ข้าวแกงกะหรี่ (170 บาท เซ็ท 240 บาท) หมูห่อชีสทอด (200 บาท เซ็ท 270 บาท) ซาบะย่างซีอิ้ว (150 บาท เซ็ท 220 บาท) ข้าวหน้าหมูผัดกิมจิ (170 บาท เซ็ท 240 บาท) และอีกสารพัดอาหารญี่ปุ่นจานเด็ด ที่อยากจะชวนให้คออาหารยุ่น ลองแวะมาตระเวนกินกันด้วยตัวเองที่ร้าน "ฮารุ" แล้วจะได้พบกับความอิ่มแบบจุใจในรสชาติญี่ปุ่นฟิวชั่นกลับไป

เลือกตักได้ไม่อั้นกับสลัดบาร์

หอยเชลล์โอทาเตะใหญ่พิเศษราดซอสไวน์ขาว


แซลมอนเทริยากิซอสไวน์ขาว



ทูน่าทาทากิพริกไทยดำ


พาสต้าไข่ปลาเมนไตโกะ


สเต็กเนื้อออสเตรเลีย

"ฮารุ" (HARU) ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารอเนกวานิช ในซอยทองหล่อ การเดินทางถ้านั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีทองหล่อ แล้วเข้ามาในซ.ทองหล่อ ระหว่างทองหล่อซ. 4 และ ซ.6 จะเห็นตึกอเนกวานิชตั้งอยู่ริมถนนข้างท็อปส์ มาร์เก็ตเพลส เดินเข้าไปในตึกแล้วขึ้นไปที่ชั้น 2 จะเห็นร้านฮารุตั้งอยู่ เปิดจันทร์-ศุกร์ 10.30-14.30 และ 17.30-23.00 น. เสาร์-อาทิตย์ 10.30-23.00 น. ถ้ามากินควรโทร. มาจองโต๊ะก่อนจะดีที่เบอร์ 0-2392-4765




เพลง ดูแลเขาให้ดีๆ : ดา Endorphine + คอร์ดกีต้าร์


เพลง อย่าถาม : ETC + คอร์ดกีต้าร์


เพลง ปากหนัก : บี้ The Star + คอร์ดกีต้าร์


ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานอาหารเจ

1.) พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสดๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจจำเป็นต้องรับประทานผลไม้สดๆ หลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุง และการบริโภคในแต่ละวันควรจัดให้ได้ครบตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้

1. สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ
2. สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ
3. สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน
4. สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้
5. สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุโลหะ

ตารางผัก, ผลไม้ แบ่งตามทั้ง 5 หมู่สี ผัก ผลไม้

ผักผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือเป็นประเภทยาก เช่น พวกผักผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูก ประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จักฉลาดกิน ฉลาดใช้ ประหยัดยอด ประโยชน์เยี่ยม

ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลายหลาก ตลอดปีเราสามารถหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบทั้ง 5 สี โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาบริโภคในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน และไม่ควรเลือกทานเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์หลายๆ ท่านเลือกรับประทานผักผลไม้เฉพาะอย่างเพื่อความอร่อยเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก

2.) เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วแปลกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่งเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว

ถั่วทั้ง 5 สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่างๆ เช่น ถั่วดำบวช ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกะทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบ หรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวช ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสงซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้

ทุกคนควรรับประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้คบทุกสีจะทำให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น

เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง

ถั่วทั้ง 5 สีที่ให้คุณประโยชน์ต่ออวัยวะหลักภายใน
1. ถั่วแดง (RED BEANS) ให้คุณต่อหัวใจ
2. ถั่วดำ (BLACK BEANS) ให้คุณต่อไต
3. ถั่วเหลือง (SOY BEANS) ให้คุณต่อม้าม
4. ถั่วเขียว (GREEN BEANS) ให้คุณต่อตับ
5. ถั่วขาว (WHITE BEANS) ให้คุณต่อปอด

ธาตุทั้ง 5 สี ถั่วแต่ละสี บำรุงอวัยวะ ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุโลหะ แดง ดำ เหลือง เขียว ขาว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด

3.) การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้งพร้อมทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี

4.) งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนมคนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำ เพราะในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค (LINOLEIC ACID) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมากแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้

สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาดแล้วใช้ไฟอ่อนๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลืองพอเย็นจึงนำมาโขลกหรือ ปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งานที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำใช้ปรุงอาหาร และขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอมน่ารับประทาน โดยปกติผู้ที่กินเจควรรับประทานงานในปริมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย

5.) ผู้ที่กินเจ ไม่ควรรับประทานรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมากๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้

รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ
รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต
รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม
รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ
รสเผ็ด ส่งผลต่อ ปอด

6.) หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า

7.) เครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สดๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ น้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน

นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สดๆ แล้ว ทุกคนต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประจำ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหลักความรู้ในการปรุงและบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สุขสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ

รู้และเข้าใจในการกินเจอย่างถูกต้อง

ตั้งแต่โบราณกาลนับเป็นพันๆ ปีจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันไม่ว่าโลกจะผันแปรไปในทิศทางใดก็ตาม คนจำนวนหลายพันหลายหมื่นครอบครัวที่ดำรงชีวิตอยู่ ด้วยการรับประทานแต่อาหารเจสืบทอดจากบรรพบุรุษก็ยังมีอยู่ให้พบเห็นได้ในทุกวันนี้

"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนและที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5 ได้แก่

กระเทียม
หัวหอม
หลักเกียว
กุ้ยฉ่าย
ใบยาสูบ

บรรพชนในแต่ละครัวเรือนของคนกินเจได้ถ่ายทอดหลักของการกินเจที่ถูกต้อง และศิลปะในการปรุงไว้ให้แก่ลูกหลานของตน สืบต่อเนื่องกันมาโดยไม่ขาดสาย คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอาหารเจเป็นอาหารที่มีรสจืดชืดไม่อร่อย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไม่มีโอกาสลิ้มรสอาหารเจที่แท้จริงก็เป็นได้ อาหารเจมีรสชาดอร่อยกลมกล่อมต่างไปจากอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเจไม่มีกลิ่นเหม็นคาวๆ ใดเลย อาหารเจบางอย่าง คนทั่วไปที่รับประทานแต่อาหารเนื้อจะไม่มีโอกาสรู้จักหรือได้ลิ้มรสเลยในชีวิต เนื่องด้วยอาหารเหล่านั้นทำขึ้นรับประทานกันเฉพาะในบรรดากลุ่มคนที่กินเจเท่านั้น บางคนมักคิดเอาเองว่า หากรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เป็นโรคขาดอาหาร แต่ทางการแพทย์กลับยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่กินอาหารเนื้อหรือคนที่กินเจ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน

สาเหตุสำคัญของโรคขาดอาหารในคนทั้ง 2 กลุ่ม ก็คือการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก บริโภคอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต แป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ เป็นเหตุให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าโรคขาดอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินเนื้อหรือกินเจ แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยกินตามใจ เลือกกินแต่อาหารที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่จะได้จากการรับประทานอาหารนั้นๆ ในความเป็นจริงแล้ว คนที่กินเจอย่างถูกหลักจะรู้สึกว่าตนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าคนที่บริโภคอาหารเนื้อเสียอีก

ผู้ที่ทดลองรับประทานอาหารเจได้ระยะหนึ่งถึงกับกล่าวว่า "การรับประทานอาหารเจ ทำให้มีโอกาสได้กินพืชผักที่มีคุณประโยชน์มากมายหลายชนิด ซึ่งในระหว่างที่รับประทานอาหารเนื้อไม่เคยใส่ใจเลย" คนกินเจ รู้จักวิธีดัดแปลงแปรรูปธัญพืชในธรรมชาติให้ได้มาซึ่งโปรตีน เราจะพบเห็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเมล็ดถั่วเหลืองมากมายหลายชนิด เช่น น้ำนมถั่วเหลือง (น้ำเต้าหู้) เต้าหู้ขาว เต้าหู้เหลือง เต้าเจี้ยว น้ำมันถั่วเหลือง ซี่อิ๊ว ฟองเต้าหู้ ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งโปรตีนอันอุดมและมีคุณค่าสูงยิ่ง ทุกวันนี้ไม่ว่าเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ นิยมบริโภคแต่เนื้อสัตว์กันมากจนละเลยอาหารผักซึ่งมีคุณประโยชน์สูงไปอย่างน่าเสียดาย หลายคนมีนิสัยเลือกรับประทานเฉพาะเนื้อสัตว์แล้วเขี่ยผักทิ้งไม่ยอมบริโภค นี้แหละเป็นสาเหตุสำคัญของโรคขาดสารอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารครบตามที่ต้องการ จะพบว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ทานผักน้อยหรือไม่ทานเลยมักป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคขาดอาหาร ขาดวิตามิน โรคกระเพาะ โรคเกี่ยวกับลำไล้และทางเดินอาหาร สุขภาพไม่แข็งแรง เชื่องซึม ไม่เฉลียวฉลาด ขาดปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาต่ำ พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจไม่สมบูรณ์

ประจักษ์พยานสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความล้ำค่าของอาหารเจก็คือ บรรดาครอบครัวของผู้ที่กินเจตั้งแต่บรรพบุรุษสืบต่อกันลงมาหลายชั่วคน ก็ยังคงมีให้เราพบเห็นอยู่จนทุกวันนี้ จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งต่อเนื่องกัน หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องดีงามและทรงคุณค่า ก็ยังอยู่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลง ทุกๆ คน ทุกๆ ครอบครัวที่บริโภคแต่อาหารเจ ล้วนมีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคร้ายแรงเบียดเบียน และสามารถปฏิบัติภาระกิจการงานได้เป็นอย่างดี แม้แต่ทารกที่เกิดจากมารดาซึ่งกินเจอย่างถูกหลัก ก็ไม่พบว่าขาดสารอาหารแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เด็กๆ ทุกคนล้วนมีร่างกายแข็งแรงสุขภาพอนามัยดีไม่เป็นโรคติดต่อใดๆ ได้ง่าย มีภูมิต้านทานสูง จิตใจเบิกบาน ร่าเริงสดใส เฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาดี เพราะฉะนั้นคนเราถึงจะมีฐานะดี ร่ำรวยมหาศาล แต่หากไม่รู้จักรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นโรคขาดสารอาหารได้พอๆ กับคนยากจนอดอยากที่ไม่มีจะกิน

ไม่ว่าท่านจะกินเนื้อหรือกินเจ หากกินไม่ถูกต้องก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน พึงตะหนักไว้อยู่เสมอว่า "ทรัพย์สินเงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้ สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับการรู้จักปฏิบัติตัวของท่านเอง" แม้ในปัจจุบันนี้ จะเป็นโลกของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ล้ำยุค แต่การค้นพบความเร้นลับต่างๆ ในธรรมชาติ ได้กลับกลายมาเป็นข้อพิสูจน์ยืนยันให้แก่หลักเกณฑ์ของการกินเจที่มีมานานนับเป็นพันๆ ปี ได้อย่างเหมาะสมคล้องจองจนแทบไม่น่าเชื่อ ฉะนั้น เราควรหันมาศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า "คนกินเจ" เขามีหลักปฏิบัติอันสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาลอย่างไร

หลักในการปรุง และรับประทานอาหารเจที่ถูกต้อง

ชาวต่างประเทศจำนวนมากที่เดินทางไปประเทศจีน มักจะพากันแปลกประหลาดใจ เมื่อได้พบเห็นภัตตาคาร ซึ่งบริการ "ปรุงอาหารตามใบสั่งแพทย์" มูลเหตุที่สร้างความฉงนสงสัยให้แก่บรรดาผู้มาเยือน ก็เนื่องด้วยทางภัตตาคารจะบริการอาหาร ให้แต่เฉพาะผู้ที่มี "ใบสั่งอาหารของแพทย์" เท่านั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่เคยทราบเลยว่า ลูกค้าที่เข้าไปในภัตตาคารดังกล่าว เป็นคนไข้ที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์และอยู่ในระหว่าง "การบำบัดโรคด้วยอาหารตามหลักเวชศาสตร์โบราณ" ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากการรักษาโรคโดยให้ผู้ป่วย "กินยา ตามใบสั่ง" ซึ่งเป็นวิธีที่แพทย์แผนปัจจุบันชาวตะวันตกนิยมปฏิบัติ แต่ในหมู่ชนชาวจีนมีคำกล่าวว่า "อาหารและยามาจากแหล่งเดียวกัน" คำพูดนี้ได้บ่งชี้ว่า อาหารก็คือยานั่นเอง

หลักการแพทย์ของจีนมุ่งเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้ร่ายกายเจ็บป่วย โดยวิธีดูแลรักษาสุขภาพให้ดี ไม่ใช่เพียงแต่บำบัดอาการเมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นแล้วเท่านั้น แพทย์จีนกล่าวว่า "หัวใจของการมีสุขภาพที่ดี คือ การกินที่ถูกต้อง เพราะอาหารที่คนเรารับประทานเข้าไปแต่ละวัน มีผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างมาก" "อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบอื่นใด นำมาจากสัตว์ทุกประเภท และที่สำคัญอาหารเจ งดเว้นการปรุงการเสพพืชผักฉุน 5 ประเภทอันได้แก่

1 กระเทียม (หมายรวมไปถึง หัวกระเทียม ต้นกระเทียม)
2 หัวหอม (หมายรวมไปถึง ต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่)
3 หลักเกียว (คือกระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่มีขนาดเล็กและยาว กว่า ในประเทศไทยไม่พบว่าปลูกแพร่หลาย)
4 กุ้ยฉ่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า)
5 ใบยาสูบ (บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา)

ผักดังกล่าวเหล่านี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษที่ทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นมูลเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ สำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิฝึกจิต ไม่ควรรับประทานเป็นอย่างยิ่ง เพราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์กระตุ้นจิตใจอารมณ์ให้เร่าร้อนใจคอหงุดหงิดง่าย และยังมีผลทำให้พลังธาตุในกายรวมตัวกันได้ยาก เพราะฉะนั้น โดยหลักเกณฑ์ที่มีมาแต่ครั้งบรรพกาลกล่าวได้ว่า "อาหารเจ" หรือ "อาหารของคนกินเจ" จึงเป็นอาหารที่ปรุงและรับประทานตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์โบราณของจีนนั่นเอง

ปัญหาที่มีผู้ถามกันมาก คือ กระเทียม ซึ่งทางการแพทย์และเภสัชค้นพบว่า มีสารที่สามารถละลายไขมันในเส้นโลหิต (คลอเลสเตอรอล) จึงใช้รับประทานเป็นยาได้ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดโลหิตเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน เป็นต้น ในเรื่องนี้เป็นความจริงทีเดียว แม้ทางการแพทย์แผนโบราณของจีนก็ยืนยันตรงกันว่ากระเทียมเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้ "แม้ว่ากระเทียมจะเป็นยาดี แต่เนื่องจากมีความระคายเคืองสูง ผู้ที่เป็นโรคกะเพาะหรือกะเพาะอาหารเป็นแผลและโรคตับอย่ากินมาก" (จากหนังสือ อาหารเป็นยาได้ เล่ม 2 โดย วีรชัย มาศฉมาดล) แต่ในกรณีของคนปกติทั่วๆ ไปที่ร่างกายไม่ได้ป่วยเป็นโรคใดๆ เลย ทำไมจึงต้องรับประทานยาเข้าไปทุกๆ วัน ฉะนั้นจึงเข้าทำนองเดียววักนับ คนที่ไม่ได้ป่วยเป็นไข้หวัด แต่ก็ยังคงกินยาแก้หวัดเข้าไปเป็นประจำทุกๆ วัน ผลก็คือ แทนที่จะเป็นผลดีกลับกลายเป็นผลร้าย ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายเสียอีก

ขอยกตัวอย่างในกรณีของผักฉุนอีกชนิดหนึ่งที่คนกินเจไม่รับประทานได้แก่ หอมแดง ซึ่งกล่าวไว้ในตำราสมุนไพรที่นักเภสัชศาสตร์ปัจจุบัน พบว่ามีสรรพคุณช่วยรักษาโรคโดยวิธี "นำหอมแดงหัวสดๆ หนัก 15-30 กรัม มาต้นแล้วดื่ม จะช่วยขับพยาธิ ขับลม แก้ท้องอืดแน่น ปวดประจำเดือน และอาการบวมน้ำ" แต่ในท้ายก็ได้ระบุพิษร้ายของมันไว้ด้วยว่า "ในกรณีที่บริโภคอยู่เป็นประจำหรือกินมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการหลงลืมง่าย ประสาทเสีย มีกลิ่นตัว ฟันเสีย เลือดน้อย และนัยน์ตาฝ้ามัว" (จากหนังสือ พืชสมุนไพรใช้เป็นยา เล่ม 8 โดย ภูมิพิชญ์ สุชาวรรณ) เพราะฉะนั้น เราจึงควรศึกษาให้ถี่ถ้วนลึกซึ้งถึงคุณและโทษของผักฉุนทั้ง 5 ให้รอบคอบเสียก่อน ไม่เป็นการฉลาดเลยที่จะรับประทานสิ่งใดก็ตาม โดยมองเห็นแต่ด้านดี จนไม่ใส่ใจในโทษของมันบ้างเลย ผักฉุนทั้ง 5 ชนิด ที่คนกินเจไม่บริโภค 1 กระเทียม (GARLIC) 2 หัวหอม (ONION) 3 หลักเกียว (หัวกระเทียมโทนของจีน) ไม่พบว่ามีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย) กุ้ยฉ่าย (CHINESE CHIVE) 5 ใบยาสูบ (TOBACCO)

ถั่วทั้ง 5 สี ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย
1 ถั่วแดง (RED BEANS)
2 ถั่วดำ (BLACK BEANS)
3 ถั่วเหลือง (SOY BEANS)
4 ถั่วเขียว (GREEN BEANS)
5 ถั่วขาว (WHITE BEANS)

"อาหารมังสวิรัติ" แตกต่างจาก "อาหารเจ" อย่างไร? อาหารมังสวิรัติ หมายถึง อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกประเภท แต่ยังคงใช้ผักทุกประเภทมาปรุงอาหารรับประทาน ในส่วนของ "อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกประเภทเช่นกัน แต่อาหารเจจะไม่ใช้ผักฉุนทั้ง 5 ประเภท มาปรุงลงในอาหารโดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติอยู่แล้ว หากจะทดลองปรุงและรับประทานอาหารเจดูบ้าง ก็เพียงแต่ไม่บริโภคผักฉุนทั้ง 5 ประเภทก็เรียกว่าเป็น "อาหารเจ" และ "กินเจ" ได้แล้วนั่นเอง

ความหมายของคำว่า "เจ"

"กินเจ" เป็นคำที่คุ้นหูกันมากสำหรับบรรดาสาธุชนผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย แต่สำหรับคนทั่วไปส่วนใหญ่ยังคงคิดกันไปว่า การกินเจเป็นเรื่องของคนที่เชื่อบาปเชื่อบุญมากกว่า จะเห็นว่าแท้จริงแล้วการกินเจเป็นเรื่องของเหตุและผลที่ถูกต้องดีงาม มีคำกล่าวว่า "คนเราจะยืนได้ ขาทั้งสองต้องแข็งแรงเสียก่อน" ความหมายก็คือ ก่อนที่เราจะลงมือปฏิบัติการงานใดๆ ก็ตาม จำเป็นต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงเสียก่อน สิ่งสำคัญสองประการที่จะช่วยเหลือค้ำจุนให้เรามีรากฐานที่มั่นคง ได้แก่

ประการที่ 1 คือ "ความรู้" เราต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องที่จะปฏิบัติให้ดีเสียก่อน โดยอาศัยการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน มามากพอสมควร

ประการที่ 2 คือ "สติปัญญา" เราต้องรู้จักใช้สติปัญญาเข้าไปพิจารณาความรู้เหล่านั้นอย่างรอบคอบ จนบังเกิดความเข้าใจกระจ่างชัดถึงเหตุและผล โดยถูกต้องถ่องแท้ หากจะลงมือปฏิบัติการใดๆ โดยขาดทั้งความรู้และสติปัญญาพิจารณา ก็ยากที่จะสำเร็จลุล่วงไปได้ เมื่อไม่ศึกษาก็ไม่รู้ รู้แล้วไม่พิจารณาก็ไม่เข้าใจ แต่ผู้ที่ศึกษาจนเข้าใจดีแล้ว ยังไม่ลงมือปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์ โอสถทิพย์แม้จะวิเศษล้ำเลิศสักปานใด หากคนไม่ยอมกิน ผลดีนั้นก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้นแก่เขาได้เลย การกินเจเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน ผู้ที่ได้ปฏิบัติแล้วเท่านั้นจึงจะประจักษ์แจ้งถึงคุณวิเศษ อันล้ำเลิศได้ด้วยตนเอง

บทความเรื่อง "การกินเจ" นี้ จึงมุ่งหวังให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาในอีกแง่มุมหนึ่งของการกินเจ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน และเรียนรู้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อไปภายหน้า ฉะนั้นขอให้ผู้ที่มีรากบุญกุศล อันสร้างสมมาแล้วในอดีต และตั้งใจจะปฏิบัติบำเพ็ญต่อไปในชาตินี้ควรศึกษา "การกินเจ" ให้เข้าใจกระจ่างแจ้ง เมื่อใดที่ศรัทธามั่นคงดีแล้ว จิตย่อมบังเกิดมีพลังแกร่งกล้า สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย บนเส้นทางของการบำเพ็ญธรรม และแล้วเมื่อนั้นเราก็จะสามารถบรรลุสู่เป้าหมายอันสูงสุดไปได้โดยไม่ยากเลย

ความหมายของคำว่า "เจ"

คำว่า "เจ" ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า "อุโบสถ" คำว่า "กินเจ" ตามความหมายที่แท้จริงคือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือ "รักษาศีล 8" จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีล ของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียก "การไม่กินเนื้อสัตว์" ไปรวมกันคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ฉะนั้นความหมายก็คือ "คนกินเจ" มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนที่กินเจ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง" ดังนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ "ถือศีลกินเจ" จึงนับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว

ตามร้านขาย "อาหารเจ" เราจะพบเห็นตัวอักษร คำนี้อ่าน "ไจ" (เจ) แปลว่า "ไม่มีของคาว" เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน 9 จะเห็นตัวอักษรนี้เขียนบนธงสีเหลือง ปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจมองเห็นเป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแก่ชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ดังนั้นผู้ตั้งใจถือศีลบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ระลึกไว้เสอมว่า "การกินเจงดเว้นเนื้อสัตว์ของคาวคือ การปฏิบัติธรรม รักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรมโดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และก่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก"

การช่วยเหลือผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้า

ผู้ที่จะช่วยเหลือผู้ที่ประสบอันตรายจากไฟฟ้าต้องรู้จักวิธีที่ถูกต้องในการช่วยเหลือดังนี้

1.อย่าใช้มือเปล่าแตะต้องตัวผู้ที่ติดอยู่กับกระแสไฟฟ้า หรือตัวนำที่เป็นต้นเหตุให้เกิดอันตรายเป็นอันขาด เพื่อป้องกันมิให้ถูกกระแสไฟฟ้าจนได้รับอันตรายไปด้วยอีกผู้หนึ่ง

2.รีบหาทางตัดกระแสไฟฟ้าโดยฉับไว จะด้วยการถอดปลั๊กหรืออ้าสวิตซ์ออกก็ได้

3.ใช้วัตถุทไม่เป็นสื่อไฟฟ้า เช่น ผ้า ไม้แห้ง เชือกที่แห้ง สายยาง หรือพลาสติกที่แห้งสนิท ถุงมือยาง หรือผ้าแห้งพันมือให้หนา แล้วถึงผลักหรือฉุดตัวผู้ประสบอันตรายให้หลุดออกมาโดยเร็ว เขี่ยสายไฟให้หลุดออกจากตัวผู้ประสบอันตราย

4.หากเป็นสายไฟฟ้าแรงสูงให้พยายามหลีกเหลี่ยง แล้วรีบแจ้งการไฟฟ้านครหลวงให้เร็วที่สุด (ดูข้อควรระวังจากสายไฟฟ้าแรงสูงขาด)

5.อย่าลงไปในน้ำกรณีที่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ในบริเวณที่มีน้ำขัง ต้องหาทางเขี่ยสายไฟฟ้าออกให้พ้นหรือตัดกระแสไฟฟ้าก่อน จึงค่อยไปช่วยผู้ประสบอันตราย

การช่วยผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้าดังที่กล่าวมาแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำด้วยความรวดเร็ว รอบคอบ และระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย

การปฐมพยาบาล

เมื่อได้ทำการช่วยเหลือผู้ประสบอันตรายมาได้แล้วจะด้วยวิธีใดก็ตาม หากปรากฏว่าผู้เคราะห์ร้ายที่ช่วยออกมานั้นหมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจหยุดเต้น และไม่หายใจ ซึ่งสังเกตได้จากอาการที่เกิดขึ้นดังนี้ คือ ริมฝีปากเขียว สีหน้าซีดเขียวคล้ำ ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยมากหรือไม่เคลื่อนไหว ชีพจรบริเวณคอเต้นช้าและเบามาก ถ้าหัวใจหยุดเต้นจะคลำชีพจรไม่พบ ม่านตาขยายค้างไม่หดเล็กลง หมดสติไม่รู้สึกตัว ต้องรีบทำการปฐมพยาบาลทันที เพื่อให้ปอดและหัวใจทำงาน โดยวิธีการผายปอดด้วยการให้ลมทางปาก หรือที่เรียกว่า “เป่าปาก” ร่วมกับการนวดหัวใจก่อนนำผู้ป่วยส่งแพทย์

การผายปอดโดยวิธีให้ลมทางปาก

1. ให้ผู้ป่วยนอนราบ จัดท่าที่เหมาะสมเพื่อเปิดทางอากาศเข้าสู่ปอด โดยผู้ปฐมพยาบาลอยู่ทางด้านข้างขวาหรือข้างซ้ายบริเวณศีรษะของผู้ป่วย ใช้มือข้างหนึ่งดึงคางผู้ป่วยมาข้างหน้า พร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งดันหน้าผากไปทางหลัง เป็นวิธีป้องกันไม่ให้ลิ้นตกไปอุดปิดทางเดินหายใจ แต่ต้องระวังไม่ให้นิ้วมือที่ดึงคางนั้นกดลึกลงไปในส่วนเนื้อใต้คาง เพราะจะทำให้อุดกั้นทางเดินหายใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ๆ สำหรับเด็กแรกเกิดไม่ควรนอนหงายคอมากเกินไป เพราะแทนที่จะเปิดทางเดินหายใจ อาจจะทำให้หลอดลมแฟบ และอุดตันทางเดินหายใจได้

2. สอดนิ้วหัวแม่มือเข้าไปในปากจนปากอ้า ล้วงสิ่งของในปากที่จะขวางทางเดินหายใจออกให้หมด เช่น ฟันปลอม เศษอาหาร เป็นต้น

3. ผู้ปฐมพยาบาลอ้าปากให้กว้าง หายใจเข้าเต็มที่ มือข้างหนึ่งบีบจมูกผู้ป่วยให้แน่นสนิท ในขณะที่มืออีกข้างยังคงดึงคางผู้ป่วยมาข้างหน้า แล้วจึงประกบปิดปากผู้ป่วยพร้อมเป่าลมเข้าไป ทำในลักษณะนี้เป็นจังหวะ 12-15 ครั้ง ต่อนาที

4. ขณะทำการเป่าปาก ตาต้องเหลือบดูด้วยว่าหน้าอกผู้ป่วยมีการขยายขึ้นลงหรือไม่ หากไม่มีการกระเพื่อมขึ้นลงอาจเป็นเพราะท่านอนไม่ดีหรือมีสิ่งกีดขวางทางเดินหายใจ

ในรายที่ผู้ป่วยอ้าปากไม่ได้ หรือด้วยสาเหตุใดที่ไม่สามารถเป่าปากได้ ให้เป่าลมเข้าทางจมูกแทน โดยใช้วิธีปฏิบัติทำนองเดียวกับการเป่าปากในรายเด็กแรกเกิด หรือเด็กเล็กใช้วิธีเป่าลมเข้าทางปากและจมูกไปพร้อมกัน

การให้โลหิตไหลเวียนโดยวิธีนวดหัวใจ
เมื่อพบว่าหัวใจผู้ป่วยหยุดเต้นโดยทราบได้จากการฟังเสียงหัวใจเต้น และการจับชีพจรดูการเต้นของหลอดเลือดแดงที่คอ ที่ขาหนีบ ที่ข้อพับแขน หรือที่ข้อมือต้องรีบทำการช่วยให้หัวใจกลับเต้นทันที การนวดหัวใจดังวิธีการต่อไปนี้

1.ให้ผู้ป่วยนอนราบกับพื้นแข็ง ๆ หรือใช้ไม้กระดานรองที่หลังของผู้ป่วย ผู้ปฐมพยาบาล หรือผู้ปฏิบัติคุกเข่าลงข้างขวาหรือขางซ้ายบริเวณหน้าอกผู้ป่วย คลำหาส่วนล่างสุดของกระดูกอกที่ต่อกับกระดูกซี่โครง โดยใช้นิ้วสัมผัสชายโครงไล่ขึ้นมา (หากคุกเข่าข้างขวาใช้มือขวาคลำหากระดูกอก หากคุกเข่าข้างซ้ายใช้มือซ้าย)

2.วางนิ้วชี้และนิ้วกลางตรงตำแหน่งที่กระดูกซี่โครงต่อกับกระดูกอกส่วนล่างสุด วางสันมืออีกข้างบนตำแหน่งถัดจากนิ้วชี้และนิ้วกลางนั้น ซึ่งตำแหน่งของสันมือที่วางอยู่บนกระดูกหน้าอกนี้จะเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องในการนวดหัวใจต่อไป

3.วางมืออีกข้างทับลงบนหลังมือที่วางในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้วเหยียดนิ้วมือตรงแล้วเกี่ยวนิ้วมือ 2 ข้างเข้าด้วยกัน แล้วเหยียดแขนตรงโน้มตัวตั้งฉากกับหน้าอกผู้ป่วย ทิ้งน้ำหนักลงบนแขนขณะกดกับหน้าอกผู้ป่วย ให้กระดูกลดระดับลง 1.5 - 2 นิ้ว เมื่อกดสุดให้ผ่อนมือขึ้นโดยที่ตำแหน่งมือไม่ต้องเลื่อนไปจากจุดที่กำหนด ขณะกดหน้าอกนวดหัวใจห้ามใช้นิ้วมือกดลงบนกระดูกซี่โครงผู้ป่วย

4.เพื่อให้ช่วงเวลาการกดแต่ละครั้งคงที่ และจังหวะการสูบฉีดเลือด ออกจากหัวใจพอเหมาะกับที่ร่างกายต้องการ ใช้วิธีนับจำนวนครั้งที่กดดังนี้ หนึ่ง และสอง และสาม และสี่ และห้า .... โดยกดทุกครั้งที่นับตัวเลข และปล่อยตอนคำว่าและสลับกันไป ให้ได้อัตราการกดประมาณ 80-100 ครั้งต่อนาที

5.ถ้าผู้ปฏิบัติมีคนเดียว ให้นวดหัวใจ 15 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง ทำสลับกันเช่นนี้จนครบ 4 รอบ แล้วให้ตรวจชีพจร และการหายใจ หากคลำชีพจรต้องนวดหัวใจต่อ แต่ถ้าคลำชีพจรได้และยังไม่หายใจ ต้องเป่าปาต่อไปอย่างเดียว6.ถ้ามีผู้ปฏิบัติ 2 คน ให้นวดหัวใจ 5 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 1 ครั้ง โดยขณะที่เป่าปากอีกคนหนึ่งต้องหยุดนวดหัวใจ7.ในเด็กแรกเกิดหรือเด็กอ่อน การนวดหัวใจใช้เพียงนิ้วหัวแม่มือกดกลางกระดูกหน้าอกให้ได้อัตราเร็ว 100 – 120 ครั้งต่อนาที โดยใช้นิ้วมือโอบรอบทรวงอกสองข้างแล้วใช้หัวแม่มือกด

ในการนวดหัวใจตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ต้องทำอย่างระมัดระวังและถูกวิธี ถ้าทำไม่ถูกวิธีหรือรุนแรงอาจเกิดอันตรายได้ เช่น กระดูกซี่โครงหัก ตับและม้ามแตกได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

การเป่าปากเพื่อช่วยหายใจและการนวดหัวใจเพื่อช่วยในการไหลเวียนเลือดนี้ต้องทำให้สัมพันธ์กัน แต่อย่าทำพร้อมกันในขณะเดียวกัน เพราะจะไม่ได้ผลทั้งสองอย่าง

เมื่อช่วยหายใจและนวดหัวใจอย่างได้ผลแล้ว 1 – 2 นาที ให้สังเกตว่าผู้ป่วยมีหัวใจเต้นได้เองอย่างต่อเนื่องหรือไม่ สีผิว การหายใจ และความรู้สึกตัวดีขึ้นหรือไม่ ม่านตาหดเล็กลงหรือไม่ หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว แสดงว่าการปฐมพยาบาลได้ผล แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรเลิกช่วยเหลือจนกว่าจะส่งผู้ป่วยให้อยู่ในความดูแลของแพทย์แล้ว

10 ขั้นตอน...ก่อนซื้อ Notebook มือสอง

สำหรับคนที่ชอบใช้ของใหม่อาจไม่สนใจซื้อคอมพิวเตอร์มือสองมาใช้ แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วคอมพิวเตอร์มือสองเหล่านี้ บางครั้งมีประสิทธิภาพพอๆ กับของใหม่ที่กำลังโฆษณาในทีวีด้วยซ้ำ แถมราคาก็ถูกเอามากๆ เสียด้วย

แต่ด้วยกลยุทธ์การตลาดของผู้ผลิตที่ต้องการทำยอดขายสูงๆ ทำให้โฆษณาที่ออกมานั้นมักจะโน้มน้าวให้ผู้บริโภคซื้อเครื่องใหม่ไปเลย โดยไม่นิยมให้ลูกค้าอัพเกรดเครื่องเดิมที่ใช้อยู่ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้นในทุกวันนี้ ดังนั้น หากใครสนใจซื้อโน้ตบุ๊คมือสองมาใช้ อาจเริ่มต้นด้วย 10 ขั้นตอน ดังนี้

1. ปรับความคิดเสียก่อน เพราะยังไงคนส่วนใหญ่ก็ชอบของใหม่ ยิ่งเทคโนโลยีล่าสุดยิ่งน่าดึงดูดใจ แต่จริงๆ แล้วโน้ตบุ๊คมือสองที่ขายกันเมื่อปีที่แล้วหรือต้นปีนี้ มีประสิทธิภาพไม่แพ้รุ่นที่ขายอยู่ขณะนี้เลยทีเดียว ที่สำคัญ ซื้อมือสองยังได้ Windows XP อีกด้วย (Vista อย่าเพิ่งน้อยใจ)

2. หาแหล่งขายของมือสองถูกๆ ถ้าซื้อจากเว็บไซต์ได้จะดีมาก เพราะราคาถูกกว่าซื้อตามร้านทั่วไปค่อนข้างมาก แต่ข้อดีของการซื้อที่ร้านคือมี warranty ให้ด้วย แต่ของมือสองคงหวังอะไรมากไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขอแนะนำให้ซื้อจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ อย่าง eBay โดยเลือกผู้ขายประเภท “no less than 100% feedback rating” เพราะถ้าคอมพิวเตอร์ที่สั่งซื้อเกิดความเสียหาย หรือใช้ไม่ได้ตามที่โพสต์ในเว็บ ผู้ขายจะคืนเงินให้

3. ตรวจสภาพภายนอกของเครื่อง ดูว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน ถ้ามันมีแค่รอยขีดข่วน หรือถลอกบริเวณมุมใดมุมหนึ่งของตัวเครื่อง ก็อย่าไปคิดมาก ตราบใดที่เครื่องยังทำงานได้ดี เรื่องรอยขีดข่วนถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ของใช้งานก็ต้องมีร่องรอยบ้างเป็นธรรมดา

4. เปิดเครื่องดูหน้าจอ เพราะหนึ่งในชิ้นส่วนที่แพงที่สุดของโน้ตบุ๊คคือ “จอ” ถ้าเปิดเครื่องแล้วพบว่าหน้าจอมีสีเพี้ยน จะเป็นสีม่วงหรือชมพูก็แล้วแต่ อย่าไปซื้อ ต่อให้สภาพเครื่องใหม่แค่ไหน หรือซีพียูแรงยิ่งกว่าอะไรดี ก็ไม่คุ้มที่จะซื้อไปซ่อมจอ เพราะมันแพงมาก

5. ตรวจช่องเสียบและอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Bluetooth หรือ Wi-Fi เพราะฮาร์ดแวร์เหล่านี้มักจะต่อเข้าโดยตรงกับเมนบอร์ด ซึ่งราคาค่าซ่อมหรือเปลี่ยนก็แพงพอตัว แต่ถ้าช่อง USB มีหลายช่อง เสียไปสักช่องก็คงไม่เป็นไรนัก หรือถ้าช่องเสียบหูฟังเสีย แต่คุณมีหูฟัง Bluetooth ใช้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปใส่ใจเช่นกัน

6. ทดสอบ Hard Drive ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ โดยคลิกไปที่ My Computer จากนั้นก็เลือก hard drive ที่ต้องการตรวจสอบ แล้วคลิกขวาเพื่อเลือก Properties เมื่อมีหน้าต่างโผล่ขึ้นมาให้คลิกเมนู Tools จากนั้นก็เลือกหัวข้อ Error-checking คลิก Check Now ถ้าไม่มีความผิดปกติใดๆ ก็ผ่าน แต่ถ้าพบความเสียหาย ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเดี๋ยวนี้ hard drive ถูกลงกว่าแต่ก่อนมาก

7. ตรวจดูประสิทธิภาพของ CD Drive โดยลองไรท์แผ่นทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น CD-R, CD-RW, DVD-R, DVD+R DL, ฯลฯ

8. ทดสอบแบตเตอรี่ โดยเปิดใช้เครื่องจนกระทั่วไฟหมด แล้วดูว่ากินเวลามากน้อยแค่ไหน ถ้าแป๊บเดียวไฟก็หมด แบบนี้แสดงว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมแล้ว จุดนี้อาจต่อรองผู้ขายให้ลดราคาลงอีกได้

9. ถ้าคุณขี้เกียจปฏิบัติตามกระบวนการทั้งหมดนี้ ก็ลองให้ทางร้านหรือใครที่เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์ช่วยทดสอบให้ก็ได้ อาจจะเสียสตางค์เป็นค่าเหนื่อยนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้ม

10. อย่าหงุดหงิดหรือผิดหวัง ถ้าพบว่าโน้ตบุ๊คที่ซื้อมามีปัญหาเล็กๆ น้อยๆเพราะปัญหาพวกนี้ก็เกิดขึ้นกับคนที่ซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่แกะกล่องเช่นเดียวกัน และถึงแม้คุณอาจจะต้องเสียเงินซ่อมชิ้นส่วนบางชิ้น หรืออัพเกรดเครื่องบ้างก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะมันเป็นเรื่องปกติของการใช้ของมือสองอยู่แล้ว

“ข้าวมันไก่ตอน ประตูน้ำ” รสล้ำข้าวนิ่ม ไก่นุ่ม


แม้ “ข้าวมันไก่” จะเป็นเมนูอาหารจานเดียว ที่สามารถหากินได้ทั่วฟ้าเมืองไทย แต่หากจะหาร้านรสโอชะชวนกินนั้น อาจจะต้องสรรหากันสักนิด

ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านประตูน้ำที่ถือว่ามีร้านข้าวมันไก่ชื่อดังอยู่หลายเจ้าด้วยกัน แต่ละร้านต่างก็มีสูตรและวิธีการทำที่แตกต่างกันออกไป อย่างกับร้าน“ไก่ตอนประตูน้ำ” ตรงซอยเพชรบุรี 30 นี่ก็เป็นหนึ่งในร้านดังที่การันตีในรสชาติด้วยการเปิดขายข้าวมันไก่ตอนมานานกว่า 40 ปีแล้ว



สำหรับข้าวมันไก่ตอน(จานละ 30 บาท พิเศษ 40 บาท)เมนูจานเด็ดของที่นี่ ทางร้านจะเลือกสั่งไก่มาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะ และเลือกไก่ตอนที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 2-3 กก. นำมาล้างและทำความสะอาดอย่างดี ก่อนจะนำไปต้มกับน้ำที่ใส่เกลือไว้ และต้มไก่นานประมาณ 45 นาที โดยมีเทคนิคการต้มเฉพาะของทางร้าน จนได้ไก่ตอนที่ทั้งเนื้อและหนังเต่งตึงชวนกิน ไก่ของที่ร้านนี้จะหั่นแล่มาเป็นชิ้นๆ ไม่ตบจนแบนเหมือนร้านอื่น

ส่วนข้าวมันทางร้านใช้ข้าวหอมมะลินำมาหุงกับน้ำซุปต้มกระดูกไก่ที่ปรุงรสชาติด้วยเกลือและซีอิ๊วขาว และมีกระเทียมเจียวกับน้ำมันไก่ใส่หุงลงไปพร้อมกันด้วย หุงจนข้าวสุกส่งกลิ่นหอม ลิ้มรสข้าวมันไก่ตอนถูกปากโดนใจทั้งตัวเนื้อไก่ที่ เนื้อแน่นนิ่ม เคี้ยวนุ่มปาก กลมกลึงรสชาติเข้ากับข้าวมันหอมกลิ่นกระเทียมเจียวอ่อนๆ ข้าวเป็นเม็ดนุ่มๆ ไม่แฉะไม่มันจนเกินไป และกินคู่กับน้ำจิ้มข้าวมันไก่สูตรไหหลำรสเด็ด ที่มีรสชาติกลมกล่อมปาก แถมยังมีพริกกับขิงให้ใส่เพิ่มความเผ็ดตามชอบ อ้อ!! เกือบลืมไปข้าวมันไก่ของที่นี่จะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำซุปร้อนๆ ที่มีรสหวานกลมกล่อมน้ำต้มกระดูกไก่และได้เคี้ยวชิ้นฟักนิ่มๆอีกด้วย


นอกจากเมนูข้าวมันไก่ตอนอันเป็นเมนูชูโรงแล้ว ก็ยังมีเมนูอื่นๆ ที่ให้เลือกสั่งมากินคู่กับข้าวมันไก่อีก อย่างมะระซี่โครงหมูตุ๋น (30 บาท) เสิร์ฟมาเป็นโถร้อนๆ หอมกลิ่นน้ำซุปมะระอ่อนๆ ซดน้ำซุปร้อนๆ ชุ่มชื่นคล่องคอ น้ำซุปรสดีกลมกล่อม มะระตุ๋นจนเนื้อนุ่มเคี้ยวนิ่มไม่ขมปาก ซี่โครงหมูก็เปื่อยนุ่มไม่แพ้กัน
และก็ยังมีเมนูซดน้ำซุปร้อนอีกอย่าง คือ เป็ดตุ๋นเห็ดหอม (40 บาท) ซดน้ำซุปร้อนๆ หอมกลิ่นยาจีน เนื้อเป็ดนุ่มๆ สั่งมากินคู่กับข้าวมันเปล่าๆ ก็เข้าท่าดี หรือจะสั่งเป็นเมนู ไก่ตอน (จานละ 40, 60, 120 บาท) ข้าวมัน (ถ้วยละ 5 บาท) ข้าวหมูอบ (30 บาท พิเศษ 40 บาท) ที่ถ้าใครเป็นสาวกข้าวมันไก่เหมือน แล้วลองหาโอกาสมาลองลิ้มข้าวมันไก่ตอนของที่ร้านนี้ เป็นต้องได้อิ่มพุงกางกลับบ้านกันไป

“ข้าวมันไก่ตอน ประตูน้ำ” ตั้งอยู่ที่ปากซอยเพชรบุรี 30 ประตูน้ำ ถ.เพชรบุรี มักกะสัน ราชเทวี กรุงเทพฯ ร้านเป็นตึกแถวตั้งอยู่ริมถนนหน้าปากซอยเพชรบุรี 30 มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน 2 รอบ เวลา 05.30-15.00 น. และ 17.00-03.00 น. โทร. 0-2252-6325

"เคี้ยวเด้ง รสเด็ด "ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ"


หลายครั้งหลายคราที่ มีโอกาสเดินทางมายังย่าน "บางขุนนนท์" ฝั่งธนบุรี ต้องบอกว่าบางขุนนนท์ย่านเล็กๆ แห่งนี้ ไม่เคยทำให้คนชอบกินอย่างเราต้องผิดหวังเลย เพราะตั้งแต่ต้นย่านยันท้ายย่านนั้นมากมายไปด้วยร้านอาหารเจ้าเด็ด โดยเฉพาะร้านก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด เจ้าดังนั้นมีมากมาย



อย่างร้านที่ เลือกจะมาฝากท้องอิ่มด้วยในมื้อนี้นั้น ต้องบอกว่าเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเจ้าเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมานานในบางขุนนนท์ นั่นก็คือร้าน "ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ" ที่เปิดขายความอร่อยมานาน30 กว่าปีแล้ว โดยมีนายเงี๊ยบ หรือคุณสมชาติ สาลีพัฒนา เป็นเจ้าของร้านที่มีอัธยาศัยที่ดีและมีความจริงใจต่อลูกค้า นำเสนอก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่มีคุณภาพ และมีรสชาติที่ถูกปากนักกินมาโดยตลอด

สำหรับทีเด็ดของก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบนี้แน่นอนว่าก็ต้องอยู่ที่ลูกชิ้นปลาตามชื่อร้าน ซึ่งมีรสชาติดีไม่มีที่ไหนเหมือน คุณสมชาติบอกว่าที่นี่ใช้เนื้อปลาล้วนๆ มาทำลูกชิ้น ซึ่งใช้เนื้อปลาถึง 3 ชนิดนำมาผสมรวมกัน คือมีทั้งปลาดาบยาว ปลาหางเหลือง และปลาอินทรี และที่สำคัญลูกชิ้นทุกลูกของที่นี่ใช้มื้อปั้นล้วนๆ ไม่ใช่เครื่องปั้นลูกชิ้นแต่อย่างไร จึงทำให้ได้ลูกชิ้นที่เมื่อกินแล้วจะสัมผัสได้ถึง ลูกชิ้นที่มีความสดกรอบ ไม่คาว เคี้ยวแล้วเหนียวนุ่มเด้งๆ อยู่ในปาก (โดยไม่ได้ใส่สารแต่อย่างใด)

ลูกชิ้นปลาของที่นี่มีหลายอย่าง มีทั้งลูกชิ้นกลม ลูกชิ้นรักบี้ ลูกชิ้นเหลี่ยมที่ใส่เห็ดหอมกับกุ้งแห้งอยู่ตรงกลาง ฮือก๊วย คือเนื้อปลาทั้ง 3 นั้นนวดเป็นเส้นยาวๆ แล้วทอด ลูกชิ้นกุ้งที่ใช้เนื้อกุ้งแชบ๊วยล้วนๆ เกี๊ยวปลา คือเนื้อปลาทั้ง 3 นำมาทำตีเป็นแผ่นแล้วข้างในใส่ไส้หมูปรุงรส และเส้นปลาที่นำจากเนื้อปลาทั้ง 3 นั้นตัดมาเป็นเส้นๆ


ซึ่งลูกชิ้นปลาของที่นี่จะเลือกสั่งมากินแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ อย่างถ้าอยากชิมสารพัดลูกชิ้นปลาล้วนๆ แนะนำว่าสั่งมาเป็นเกาเหลา (45 บาท) แต่ถ้ากลัวไม่อิ่มก็สั่งเป็นก๋วยเตี๋ยวมีเส้น ที่มีหลายเส้นให้เลือกมีทั้งเส้นใหญ่ เส้นเล็ก เส้นหมี่ขาว บะหมี่ เกี้ยมอี๊ (ชามละ 35 บาท พิเศษ 45 บาท) แต่ถ้าเป็นวุ้นเส้น 45 บาท พิเศษ 55 บาท หรือจะสั่งเป็นเส้นหมี่ปลา ก็คือเอาเส้นปลามาแทนเส้นก๋วยเตี๋ยว (55 บาท พิเศษ 65 บาท) ก็รสดีถูกปากไปอีกแบบ



และนอกจากก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดแล้ว ยังมีเมนูอย่างอื่นขายเสริมเพิ่มความอร่อยอีก อย่างหนังปลาน้ำพริกเผา (35 บาท) ทำมาจากหนังปลาอินทรีทอดปรุงรสและทอดมากรอบๆ กินกับน้ำพริกเผา หอมหวานไม่เผ็ดมากที่ทางร้านทำเอง (มีน้ำพริกเผาขายเป็นขวดๆ ละ 60 บาท) และยังมีไอศกรีมกะทิสด ที่ทางร้านทำเองอีกเช่นกัน (20 บาท) ที่กินแล้วหวานหอมกะทิ เย็นชื่นใจ ซึ่งหากใครมีโอกาสผ่านมาแถวบางขุนนนท์ ก็ลองแวะมาลองลิ้มชิมรสก๋วยเตี๋ยวร้าน "ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ" กันดูสักชามสองชามจะเป็นไรไป เหมือนที่ ทำอยู่นี่ยังไง

"ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ" ตั้งอยู่ที่ 61/46 ถ.บางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. การเดินทางถ้ามาจากแยกปิ่นเกล้า ให้วิ่งตรงมาทางถ.จรัญสนิทวงศ์ (ที่จะมุ่งหน้าไปท่าพระ) วิ่งตรงมาจนเจอแยกไฟแดง ก็ให้เลี้ยวขวาเข้าบางขุนนนท์ ขับตรงเข้ามาในบางขุนนนท์เรื่อยๆ ก็จะเห็นร้านลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบตั้งอยู่ทางซ้ายมือ มีป้ายให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน (หยุดเฉพาะช่วงสงกรานต์) เวลา 9.00-18.00 น. โทร. 0-2433-2092, 0-2424-8767, 08-4676-5556 และมีอีก 1 สาขา ตั้งอยู่ที่ถ.พุทธมณฑลสาย 4 โทร. 0-2441-0655, 0-2888-9010





ลุงชวน “ไอติมโบราณ” เย็นฉ่ำ หวานชื่นใจ

บรรยากาศชวนนั่งกินไอศกรีมเย็นๆ ริมคลองลัดมะยม

โลกร้อน ฤดูร้อน อากาศร้อน การเมืองร้อน เข้าวัดก็ร้อน...ร้อน..ร้อน..ร้อน... โอ้ย!!!ร้อนไปหมด ร้อนๆแบบนี้ หากได้กินอะไรเย็นๆฉ่ำๆหวานๆ ก็คงช่วยคลายร้อนได้ไม่มากก็น้อย ว่าแล้ว จึงออกไปหาของกินดับลมร้อนกับ “ไอศกรีม” (ไอติม)หวานๆ เย็นๆ สักถ้วยสองถ้วย เพื่อช่วยเพิ่มความเย็นท้องและเย็นใจ

ไอศกรีมร้านนี้อยู่ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยม ตลาดน้ำเล็กๆในกทม.ที่มีของกินมากมาย นับเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนของคนกรุงที่น่าสนใจไม่น้อย

สำหรับร้านไอศกรีมที่เราแวะมาคลายร้อนนั้น คือร้าน “ไอติมโบราณ” ลุงชวน ที่ไม่ใช่ลุงชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี(ที่ช่วงนี้ออกมากรีดพลังประชาชนอยู่บ่อยครั้ง) หากแต่เป็นไอศกรีมโบราณร้านลุงชวน ชูจันทร์ ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม


ไอศกรีมหวานๆ เย็นๆ ชวนลิ้มรส
ไอศกรีมโบราณที่นี่เป็นไอศกรีมทำเอง(โฮมเมด) หลากหลายรสชาติแบบไทยๆเหตุที่เรียกว่า“ไอติมโบราณ”นั้น ลุงชวนบอกว่า เพราะใช้สูตรการทำไอศกรีมแบบโบราณ ที่ทางครอบครัวทำกินกันเองที่บ้าน และได้นำมาคิดค้นดัดแปลงสูตรอยู่นาน จนได้ทำออกมาขายเป็นไอศกรีมแบบไทยๆ ที่คัดสรรแต่วัตถุดิบอย่างดีที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นมะพร้าวอ่อน มะพร้าวกะทิ ขนุน ข้าวโพด เผือก แตงโม และผลไม้อื่นๆ อีกมากมายมาทำเป็นไอศกรีมมากมายหลายรส และหากถึงช่วงฤดูผลไม้ไหนออก ก็จะนำมาทำเป็นไอศกรีมรสพิเศษให้ได้ลิ้มรสกัน และไอศกรีมที่นี่ไม่ได้ใส่สารเคมีใดๆเจือปน จึงปลอดภัยแก่ผู้บริโภค
ไอศกรีมของที่นี่มีขายยืนพื้นเป็นประจำอยู่หลายรสด้วยกัน อาทิ ไอศกรีมรวมมิตร เป็นไอศกรีมกะทิที่จะใส่เครื่องหลายอย่างทั้งเผือก ลอดช่อง ข้าวโพด มะพร้าวอ่อน ขนุน ที่กินแล้วรสหวานหอม กินกับเครื่องที่ใส่มาเพลินปากนัก
ไอศกรีมมะพร้าว เนื้อเนียนสีขาว มีเนื้อมะพร้าวอ่อนล้วนๆ ปั่นมากับไอศกรีม ให้รสหอมหวานเย็นชื่นใจ แถมมีเนื้อมะพร้าวให้เคี้ยวในเนื้อไอศกรีมด้วย แต่ถ้าใครชอบรสกาแฟก็มี ไอศกรีมกาแฟ ที่ใช้ผงกาแฟปั่นรวมกับไอศกรีมกะทิ กินแล้วหอมกลิ่นกาแฟเย็นปาก


หลากหลายรสชาติกับไอศกรีมแบบไทยๆ
และยังมีไอศกรีมรสผลไม้ อย่างไอศกรีมแตงโม ที่เนื้อไอศกรีมจะหยาบนิดๆ กินแล้วชื่นใจเหมือนได้กินน้ำแตงโมปั่นจนเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ สีแดงสดใสรสชาติหวานอมเปรี้ยวชื่นใจ ไอศกรีมลูกพรุน ที่ใช้เนื้อลูกพรุนปั่นรวมกับไอศกรีมกะทิ กินแล้วได้รสชาติลูกพรุนหอมๆ หวานฉ่ำปาก ไอศกรีมกระเจี๊ยบ รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆแบบไทยๆ ไอศกรีมลำไย หวานหอมเย็นชื่นใจมีเนื้อลำไยด้วย ราคาไอศกรีมขายใส่ถ้วย ตักให้ 3 ลูก (10 บาท) แต่ถ้าใส่ถ้วยโคนกรอบได้ไอศกรีม 1 ลูกใหญ่ (5 บาท) หรือจะซื้อกลับบ้านก็มีขายครึ่งก.ก. (40 บาท) 1 ก.ก. (80 บาท)
นอกจากไอศกรีมเย็นๆแล้ว ที่ร้านไอติมโบราณยังมีข้าวแกงสารพัด ขนมจีนน้ำยาหลากหลายให้กินแบบอิ่มท้องกันอีก ซึ่งหากใครอยากคลายร้อนด้วยไอศกรีมอร่อยๆรสชาติไทยๆ ร้าน “ไอติมโบราณ” ถือเป็นอีกหนึ่งหนทางคลายร้อนที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง


“ไอติมโบราณ” ตั้งอยู่ตรงข้ามตลาดน้ำคลองลัดมะยม ถ.บางระมาด แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. การเดินทางให้วิ่งมาตามถ.บรมราชชนนีมุ่งหน้าไปทางพุทธมณฑล จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถ. กาญจนาภิเษก (บางแค-บางบัวทอง) จะผ่านปั๊มน้ำมันเอสโซ่ (ปั้มที่ 1) ปั๊มเจ็ท และปั๊มเอสโซ่ (ปั๊มที่ 2) ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยข้างปั๊มเอสโซ่ที่ 2 ปากซอยเขียนว่าเป็นทางลัดสู่จรัญสนิทวงศ์ 35 วิ่งเข้ามาในซอยประมาณ 1 กม. จะเห็นตลาดน้ำคลองลัดมะยมอยู่ทางซ้ายมือ และจะเห็นป้ายทางขวามือเขียนบอกว่าร้านไอติมโบราณ ให้เลี้ยวเข้ามาทางขวามือนั้น ตรงมาด้านในจะเห็นร้านไอติมฯ ตั้งอยู่ติดกับริมคลองลัดมะยม เปิดทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. โทร.08-9215-2659 (ตลาดน้ำคลองลัดมะยมเปิดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) และนอกจากไอศกรีมโบราณที่ร้านลุงชวนแล้ว ตลาดน้ำคลองลัดมะยมยังมีของกินอร่อยๆให้เลือกอีกมากมาย





"คุณเล็กข้าวหมกไก่" ถูกปากถูกใจอาหารมุสลิม

บรรยากาศโต๊ะนั่งภายในร้านคุณเล็กข้าวหมกไก่


นักกินบางคนอาจจะไม่ค่อยชอบกลิ่นเครื่องเทศแรงๆ แต่สำหรับ แล้วกลิ่นเครื่องเทศเหล่านั้นกลับเป็นเสน่ห์อันเย้ายวนชวนกินอย่างหนึ่ง โดยหนึ่งในนั้นก็คือข้าวหมกไก่ ซึ่งหากรู้ว่าที่ไหนขายข้าวหมกไก่รสเด็ดแล้วละก็ เราเป็นต้องเดินทางไปลิ้มรสชาติกันถึงที่
เหมือนอย่างมื้อนี้ที่เราเดินทางมายังท่าน้ำถนนตก เพราะรู้มาว่าแถวนี้มีร้านขายข้าวหมกไก่รสดีอยู่หนึ่งเจ้า นั่นคือร้าน "คุณเล็กข้าวหมกไก่" หรือที่หลายคนอาจจะรู้จักกันในชื่อข้าวหมกไก่ท่าน้ำถนนตก เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดขายมานานกว่า 80 ปี ขายมาตั้งแต่รุ่นปู่ ยังรุ่นแม่ จนตอนนี้ตกมาถึงทายาทรุ่นที่ 3 อย่างคุณเล็ก ศิริกัลยา สุระพันธ์ ซึ่งถ้ารสชาติไม่ดีจริง คงขายไม่ได้นานมาถึงทุกวันนี้

ข้าวหมกไก่ชวนกิน

เมื่อมาถึงร้านก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงรีบสั่งเมนูเด็ดของที่นี่อย่าง ข้าวหมกไก่ (40 บาท) มากินกันทันที ข้าวหมกไก่สีเหลืองนวล มาพร้อมกับไก่ชิ้นโต และเครื่องเคียงอย่างผักอาจาด และน้ำจิ้ม ลิ้มรสชาติข้าวหมกไก่ ข้าวเป็นเม็ดเคี้ยวนุ่มปาก เพราะทางร้านเลือกใช้ข้าวหอมมะลิอย่างดีมาหุงกับส่วนผสมของเครื่องเทศและเครื่องแกงสูตรเด็ดของทางร้าน กินแล้วจะหอมกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ ขึ้นจมูก และกินคู่กับไก่เนื้อนุ่มฉ่ำ ออกรสเครื่องแกงนิดๆ และได้กลิ่นเครื่องเทศหน่อยๆ กินแกล้มกับผักอาจาด และน้ำจิ้มรสเด็ดที่ออก 3 รส เปรี้ยว เค็ม หวาน ถูกปากจริงๆ

ข้าวหมกแพะและซุปไก่


และใช่ว่าจะมีแต่เมนูเด่นชูโรงอย่างข้าวหมกไก่เท่านั้นที่ชวนกิน เพราะยังมีเมนู ข้าวหมกแพะ (100 บาท) ที่ชวนลิ้มรสอีก หน้าตาคล้ายกับข้าวหมกไก่เกือบทุกอย่าง จะต่างกันก็ตรงที่เปลี่ยนจากเนื้อไก่มาเป็นเนื้อแพะนุ่มๆ แทน ซึ่งเนื้อแพะของที่นี่ชิมรสชาติแล้วบอกว่า เนื้อแพะเคี้ยวนุ่มปาก ไม่เหนียวและไม่เหม็นสาบกลิ่นแพะเลยสักนิด จะได้ก็แต่กลิ่นของเครื่องเทศหอมๆ เท่านั้น และข้าวหมกแพะนี้จะมีน้ำจิ้มรสเด็ดมาให้กินคู่กัน จะออกรสเปรี้ยวๆ หวานๆ เจือเผ็ดนิดๆ
และนอกจากเมนูข้าวหมกแล้ว ที่นี่ยังมีอาหารมุสลิมอีกหลายอย่างที่ชวนลิ้มรส อาทิ ซุปไก่ (40 บาท) เป็นซุปน้ำใส ที่มีชิ้นไก่ กับเส้นมะกะโรนีใส่มาด้วย และปรุงรสมาแบบต้มยำ แซบเด็ด เปรี้ยว เผ็ด กลมกล่อมลิ้นกันเลยทีเดียว และยังมีซุปหางวัว (60 บาท) ซุปเนื้อ (50 บาท) ยำสลัด (30 บาท) ก๋วยเตี๋ยวแกง (30 บาท) แกงกะหรี่ไก่/ เนื้อ (60 บาท) เนื้อสะเต๊ะ (60 บาท) ที่ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารมุสลิมอันชวนกินมากมายที่ร้าน"คุณเล็กข้าวหมกไก่" แห่งนี้
ร้าน"คุณเล็กข้าวหมกไก่" ตั้งอยู่ที่ถ. เจริญกรุง อยู่ตรงข้ามกับรพ.เจริญกรุงประชารักษ์ การเดินทางถ้ามาจากแยกถนนตก ให้ขับตรงมาที่ถ.เจริญกรุงที่จะมุ่งหน้าไปท่าน้ำถนนตก ขับตรงมาจนถึงรพ.เจริญกรุงประชารักษ์แล้ว จะเห็นร้านคุณเล็กข้าวหมกไก่ อยู่ทางขวามือเป็นตึกแถวอยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาลฯ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดจันทร์-เสาร์ (หยุดวันอาทิตย์) เวลา 10.00-15.30 น. ทางร้านรับงานงานนอกสถานที่ด้วย โทร. 08-9136-9213, 0-2873-4198, 0-2291-1858







"สีมรกต" รสกลมกล่อมข้าวหมูแดงเตาถ่าน

บรรยากาศโต๊ะนั่งภายในร้าน "สีมรกต"
มักชอบแวะเวียนมาหาของกินอร่อยๆ ที่ซอยสุกร 1 หรือซอยตรอกโรงหมู ตรงย่านเยาวราชอยู่บ่อยๆ เพราะว่าที่ซอยนี้มีแต่ของกินอร่อยๆ มากมายให้ได้เลือกอิ่มท้องแบบพุงกางกลับบ้านทุกครั้งไป
และในมื้อนี้เมื่อเกิดอาการนึกอยากกินข้าวหมูแดงขึ้นมา เราก็รีบตรงดิ่งพาท้องมาที่ซอยสุกรนี้กัน เพื่อมากินข้าวหมูแดงรสดีที่ร้าน "สีมรกต" ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นเจ้าแห่งข้าวหมูแดงรสเลิศแห่งย่านเยาวราช ที่ขายมานานกว่า 50 ปีแล้ว ขายกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ จนตอนนี้ตกทอดมาถึงรุ่นลูกอย่างคุณวัลลภ แก้วสีมรกต ที่ยังสืบทอดการทำข้าวหมูแดงสูตรแต้จิ๋วแบบต้นตำรับที่ยังคงรสชาติที่ดีไม่เปลี่ยนแปลง

ข้าวหมูแดงธรรมดาและน้ำแกงร้อนๆ
เมื่อมาถึงร้านเราก็รีบสั่ง ข้าวหมูแดงธรรมดา (30 บาท ใส่ไข่ 1 ลูกเพิ่ม 5 บาท) มากินให้สมใจอยากทันที ข้าวหมูแดงถูกเสิร์ฟมา ภายในจานมีข้าวสวยที่โปะหน้าพรั่งพร้อมมาด้วยหมูแดง หมูกรอบ และกุนเชียงที่หั่นมาเป็นชิ้นพอดีคำ ราดด้วยน้ำราดหอมๆ และมีไข่เป็ดที่ต้มเป็นยางมะตูมใส่มาด้วย
ความพิเศษของข้าวหมูแดงของร้านนี้ อยู่ตรงที่เครื่องทุกอย่างทางร้านทำเองหมด ไม่ว่าจะเป็นหมูแดงที่ทางร้านเลือกใช้หมูเนื้อแดงส่วนสะโพกหลัง ที่มีความนุ่มนำมาหมักกับเครื่องเทศไทยจนเข้าเนื้อ แล้วนำไปย่างด้วยเตาถ่านจนหมูสุกหอม ส่วนหมูกรอบเป็นหมู 3 ชั้น ที่เอาไปต้มก่อนนำมาย่างด้วยเตาถ่านเช่นเดียวกัน และกุนเชียงทางร้านก็ทำเองเหมือนกัน เป็นกุนเชียงหมูย่างด้วยเตาถ่านจนสุกหอมไม่แพ้กัน

ข้าวหมูแดงพิเศษจานใหญ่มากๆ
ส่วนน้ำราดหอมๆ นั้นทางร้านจะอุ่นให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา เป็นน้ำราดสูตรเด็ดของทางร้านที่ได้มาจากน้ำต้มกระดูกหมู ที่นำมาเคี่ยวกับเครื่องเทศยาจีน ใส่ถั่วและงาเพื่อเพิ่มความเข้มข้นและหอม เคี่ยวอยู่นานกว่า 2-3 ชม. จนได้น้ำราดที่ออกหนืดนิดๆ และหอมกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ ลิ้มรสข้าวหมูแดง หมูแดงเคี้ยวนิ่ม หมูกรอบหนังกรอบเนื้อนุ่ม และกุนเชียงรสดี เคล้ากับน้ำราดที่ออกรสไม่หวานมาก เจือเค็มนิดๆ กลมกล่อมถูกปากดี
แต่ถ้าใครคิดว่าตัวเองมีกระเพาะที่ใหญ่โต แนะนำว่าให้สั่ง ข้าวหมูแดงพิเศษ (70 บาท ใส่ไข่ 1 ลูก เพิ่ม 5 บาท) เป็นข้าวหมูแดงที่จานใหญ่มากๆ หมูแดงหั่นมาชิ้นใหญ่มากๆ กุนเชียงก็หั่นชิ้นใหญ่ไม่แพ้กัน ส่วนหมูกรอบนั้นใส่มาเยอะมากๆ เรียกว่าสั่งจานนี้มากินอิ่มแน่นท้องกันไป

และถ้ากลัวว่ากินแต่ข้าวหมูแดงจะฝืดคอ ที่นี่มีน้ำแกงร้อนๆ ให้เลือกสั่งมาซดให้คล่องคอ โดยจะทำออกมาวันละ 2 อย่าง คือ เป็ดตุ๋นมะนาวดอง มีทุกวัน มะระซี่โครงหมู มีจันทร์ อังคาร พฤหัส ศุกร์ เสาร์ และกระเพาะหมูเกี๋ยมฉ่าย มีพุธ อาทิตย์ น้ำแกงทุกอย่างโถละ 25 บาท มื้อนี้ ได้อิ่มกับข้าวหมูแดงรสดีสมใจอยาก ซึ่งถ้าใครอยากกินข้าวหมูแดงเหมือนอย่างเราบ้าง ก็รีบขับรถออกจากบ้านตรงมาที่ร้าน "สีมรกต"กันได้ตามสะดวก
"สีมรกต" ตั้งอยู่ที่ 80-82 ซ.สุกร 1 (ตรอกโรงหมู) ถ.ตรีมิตร ตลาดน้อย สัมพันธวงศ์ กทม. การเดินทางถ้ามาจากถ.พระราม 4 ตรงมาที่สถานีรถไฟหัวลำโพง แล้วข้ามสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษม จะเจอทางแยกให้เลี้ยวซ้าย ที่จะมุ่งหน้ามาวัดไตรมิตร ตรงมาก่อนถึงวัดไตรมิตรจะเห็นซ.สุกร 1 อยู่ทางซ้ายมือ หน้าปากซอยมี 7-11 เป็นจุดสังเกต ตรงเข้ามาในซ.สุกร 1 ไม่ไกลจะเห็นร้านสีมรกต ตั้งอยู่ทางขวามือ มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน เวลา 11.00-20.00 น. ทางร้านรับออกงานนอกสถานที่ด้วย โทร. 08-1567-9006, 08-1816-9774





27 ก.ย. 2551

งามวิจิตรอลังการ "วัดบรมราชาฯ"

ก้าวข้ามประตูเข้าไปจะเจอกับบันไดสูงขึ้นสู่วิหารวิหารจตุโลกบาล
ช่วงนี้ เวลาที่ เล่นอินเตอร์เน็ตก็มักจะเห็นรูปวัดจีนแห่งหนึ่งอย่างบ่อยครั้ง มองผ่านไปก็คิดว่าเป็นวัดหรือพระราชวังในประเทศจีน แต่เมื่อได้ลองดูอย่างจริงจังแล้วก็ได้รู้ว่า วัดสถาปัตยกรรมจีนแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แค่บางบัวทองเท่านั้นเอง ใกล้กรุงฯแค่นี้แถมยังสวยงามโดดเด่นเป็นหัวข้อยอดนิยมขนาดนี้ ก็ต้องขอบึ่งรถไปยลโฉมวัดงามแห่งนี้กันเสียหน่อย
และแล้วพวกเราก็เดินทางมาถึงยัง "วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์" ซึ่งก็ถึงกับอึ้ง...ทึ่ง ความใหญ่โตโอฬาร ความสวยงาม ความอลังการ ความรู้สึกทุกอย่างนั้นบังเกิดขึ้นเมื่อได้เห็นวัดแห่งนี้ด้วยสองตาของตัวเอง นี่เราอยู่ที่ประเทศไทยใช่ไหม ถามเพื่อนที่ยืนทึ่งอยู่ข้างๆเพื่อความมั่นใจว่าเราอยู่เมืองไทยไม่ใช่เมืองจีน
โดยวัดแห่งนี้ได้รับพระราชานุญาติจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้สร้างวัดและพระราชทานนามในปี พ.ศ.2540 ว่า "วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์" ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 12 ไร่ที่ตำบลโสนน้อย อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
เบื้องหน้าวัดบรมราชากาญจนาภิเษกฯดูสวยงามสง่า
แต่เดิมพื้นที่นี้เคยเป็นโรงเจขนาดเล็ก ที่ชาวบ้านบางบัวทองให้ความศรัทธามาช้านาน ต่อมาคณะสงฆ์จีนนิกายมีปณิธานจะพัฒนาที่ส่วนนี้ให้เป็นวัดที่สมบูรณ์ เพื่อเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 50 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และแสดงความจงรักภักดี กตัญญูกตเวทิตาถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ที่คณะสงฆ์จีนนิกาย ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
และเพื่อตั้งเป็นพุทธสถานให้พุทธศาสนิกชนได้ปฏิบัติธรรมและประกอบพิธีกรรมพร้อมทั้งเป็นที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจีนนิกาย อีกทั้งยังตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม ไทย-จีนเป็นที่ศึกษาพระธรรมวินัยของพระภิกษุสามเณรและสร้างศาสนทายาทของพระพุทธศาสนาสืบไปด้วย
ประตูทางเข้าขนาดใหญ่เปิดรอต้อนรับผู้มาเยือน ความสวยงามภายในเชื้อเชิญให้พวกเราเดินลอดใต้ประตูเข้าไปยังภายในวัด ที่สร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมในยุคราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของจีน หากใครได้เคยมีโอกาสไปเยือนพระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมาแล้ว จะรู้ในทันทีว่าวัดแห่งนี้สร้างในแบบจำลองมาในลักษณะเดียวกัน
โดยภายในพระอารามแห่งนี้ แบ่งเป็นสัดส่วนตามแบบวัดหลวง โดยลักษณะตัวอาคารมีทั้งหมด 4 ชั้น คือชั้นแรกเป็นหอฉันและกุฏิของสงฆ์ เมื่อพวกเราจัดแจงถอดรองเท้าตามระเบียบที่เขียนไว้แล้ว ก็เดินขึ้นบันไดหลายขั้นไปยังชั้นที่ 2 ตรงกลางของชั้นนี้ มี "วิหารจตุโลกบาล" ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดอย่างโดดเด่นแลเห็นตั้งแต่หน้าประตูวัด ด้านหน้าพระวิหารมีรูปประติมากรรมสลักหินจากประเทศจีน แสดงเรื่องราวพุทธประวัติตอนต่างๆ

พระพุทธเจ้า 3 พระองค์ พระประธานของวัดบรมราชากาญจนาภิเษกฯ
ภายในวิหารจตุโลกบาลเป็นที่ประดิษฐานผู้ปกปักษ์รักษาพระพุทธสาสนา หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า "ฮูฮวบ" อันได้แก่ พระศรีอริยะเมตไตรยโพธิสัตว์ และธรรมบาลทั้งหลายคือ ท้าววิรุฬหกมหาราช ถือร่มหมายถึงฝน ปกครองทางทิศทักษิณ เจ้าแห่งกุมภัณฑ์, ท้าวธตรัฐมหาราช ถือพิณหมายถึงความถูกต้อง ปกครองทิศบูรพา เจ้าแห่งพวกคนธรรพ์, ท้าวกุเวรมหาราช (เวชสุวรรณ) ถือเจดีย์หมายถึงความราบรื่น ปกครองทิศอุดร เจ้าแห่งพวกยักษ์, ท้าววิรูปักษ์มหาราช ถือดาบและงูหมายถึง ลม ปกครองทิศปัจฉิม เจ้าแห่งนาค และเทพต่างๆอีก 8 องค์
ด้านข้างของวิหารจตุโลกบาล มีหอเล็กๆ 2 หลัง ขนาบทั้งทางด้านซ้ายคือ หอกลอง ภายในมีกลองใบใหญ่สีแดง ด้านข้างประดับด้วยลวดลายมังกรมองดูแล้วน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง และทางด้านขวาของวิหารได้แก่ หอระฆัง ภายในมีระฆังสำริดขนาด 195 เซนติเมตร ถือเป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งทั้งกลองและระฆังนี้นำมาจากเมืองซัวเถา ประเทศจีน
ถัดจากชั้นวิหารจตุโลกบาล เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 3 เป็นที่ตั้งของ "พระอุโบสถ" ซึ่งถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในพระอารามแห่งนี้ ด้านหน้าพระอุโบสถมีแผ่นไม้สักขนาดใหญ่สลักอักษรจีน 4 ตัวมีความหมายว่า บัลลังก์พระพุทธเจ้า หรือที่ประดิษฐานแห่งองค์พระประธานนั้นเอง
พระอุโบสถดูแล้วยิ่งใหญ่โอฬารยิ่งนัก ตรงกลางประดิษฐานพระประธานคือพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ด้วยกัน ได้แก่ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า และด้านข้างทั้งสองพระองค์ได้แก่ พระอมิตาภพุทธเจ้า และ พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์พุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในอดีต


ภายในวิหารสุขาวดีหมื่นพุทธมากมายด้วยพระพุทธรูปองค์จิ๋วถึงหมื่นองค์
สำหรับองค์พระประธานแต่ละองค์ ความสูงจากวัชรบัลลังก์ถึงยอดพระเกศา 4 เมตร 30 เซนติเมตร กว้าง 3 เมตร 4 เซนติเมตร จำลองมาจากพระประธานในพระอุโบสถวัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ เป็นพุทธศิลป์จีนที่มีพุทธลักษณ์งดงาม พระพักตร์มีลักษณะมหาเมตตา มหากรุณา องค์พระมีพุทธลักษณะที่เด่นเป็นสง่าและงดงาม และเป็นพระประธานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
ด้านข้างของพระประธานมีพระอัครสาวกของมหายาน เบื้องซ้ายได้แก่พระอานนท์มหาเถระ เบื้องขวาได้แก่พระมหากัสสปมหาเถระ ซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาในเรื่องการทำสังคายนาพระธรรมวิยันครั้งแรกของโลก
รอบๆ ผนังด้านข้างมีแผ่นไม้แกะสลักเป็นรูป อรหันต์ พระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ 8 มหาโพธิสัตว์ 500 พระอรหันต์ 24 ธรรมบาล และจตุมหาบรรพต แห่งประเทศจีน ซึ่งแผ่นไม้สักเหล่านี้นำมาจากประเทศจีน แกะสลักจากช่างที่มีฝีมือดีเยี่ยมของจีน
หลังจากที่กราบไหว้พระประธานทั้ง 3 พระองค์ และเดินชมภายในพระอุโบสถแล้ว ก็ขอนั่งพักสงบจิตสงบใจอยู่เบื้องหน้าพระประธาน ลมเย็นๆที่พัดโชยมาทำให้รู้สึกสบายกายเป็นอย่างมาก ความสงบเงียบแอบแว่วด้วยเสียงนกที่ขับขานอย่างรื่นหู ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว



ด้านข้างของวัดมีสถานที่จอดรถกว้างใหญ่มองเห็นวัดได้อย่างโดดเด่น
พวกเรานั่งอยู่ชั่วครู่เห็นผู้คนผลัดเปลี่ยนหน้ามาไหว้พระ จุดเทียน บ้าง บ้างก็มานั่งทำสมาธิ สวดมนต์ด้วยหนังสือสวดมนต์เล่มใหญ่ที่พกมาเอง ทำให้ ยิ่งรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่สำหรับชาวพุทธโดยแท้ จากนั้นพวกเราก็เริ่มออกเดินสำรวจวัดแห่งนี้อีกครั้ง โดยเดินอ้อมไปทางด้านข้างของพระอุโบสถ ตรงเสาเราจะเห็นใบเสมาเป็นศิลปะแบบจีน ที่มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์
ถัดจากพระอุโบสถไปยังด้านหลังเป็น "วิหารอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์" ภายในประดิษฐานพระอวโลกิเตศวรสหัสกรสหัสเนตรมหาโพธิสัตว์ หรือพระกวนอิมมหาโพธิสัตว์ปางพันมือพันตา แกะสลักจากไม้สักขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยพระเนตรพันดวงเปรียบเสมือนผู้ตรวจดูความทุกข์สุขของเหล่าสรรพสัตว์ทั่วโลก และพร้อมจะใช้พระหัตถ์พันกรช่วยเหลือผู้ทุกข์เข็ญ นับเป็นจริยานุเคราะห์แบบอย่างอขงพระมหาโพธิสัตว์ผู้มีหมาเมตตามหากรุณา
หากใครต้องการข้อมูลของวัดบรมราชาฯ แห่งนี้ ทั้งการสร้างวัด คณะสงฆ์นิกาย พระพุทธรูปต่างๆ ภายในวิหารนี้มีบอร์ดนิทรรศการแสดงข้อมูลประวัติทั้งหมดให้ผู้มาเยือนได้รับความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องครบถ้วนอีกด้วย


เสาด้านข้างของพระอุโบสถทั้ง 4 ด้านเป็นที่ประดิษฐานของใบเสมา
เมื่อออกจากวิหารอวโลกิเตศวร เดินขึ้นบันไดด้านข้างไปยังชั้นที่ 4 ได้แก่ "วิหารสุขาวดีหมื่นพุทธ" ฟังชื่อดูแล้วอาจจะงงงง แต่เมื่อได้เข้าไปด้านในก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งทันทีว่าเหตุใดจึงชื่อวิหารหมื่นพุทธ เนื่องจากผนังรายล้อมด้วยพระพุทธรูปองค์เล็กๆ หนึ่งหมื่นพระองค์สีทองอร่ามดูสวยงาม ตรงกลางวิหารประดิษฐานองค์พระอมิตตาภพุทธเจ้า พระอวโลกิเตศวร และพระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์ สีทองอร่ามตาเช่นกัน
จากชั้นวิหารสุขาวดีหมื่นพุทธ เราสามารถมองเห็นวิวในมุมสูงด้านหลังของพระอุโบสถได้อย่างชัดเจนเต็มตา แล้ว ก็ไปสะดุดตากับมุมของหลังคากระเบื้องเผาแบบจีนสีเหลืองเข้ม มีสัตว์เล็กๆเรียงอยู่ปลายมุมหลังคา 9 ตัว ด้วยกัน เมื่อได้ถามผู้รู้ก็ได้ความมาว่า สัตว์ที่อยู่ตรงมุมหลังคาทั้ง 4 มุม เป็นสัตว์มงคล หรือที่คนจีนเรียกว่า "กิ๊กเสี่ยงสิ่ว" อันได้แก่ เทวดาขี่หงส์ มังกร สิงโต ม้าน้ำ ม้าเทวดา แพะเทวดาเขาเดียว กระทิงเทวดา ปลาเทวดา และนกเค้าแมว
และแน่นอนว่าสัตว์ที่ประดับบนมุมหลังคาไม่ได้เลือกมาประดับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องมีความหมายอันลึกซึ้งแฝงไว้ด้วย สำหรับ มังกรและหงส์ เป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข, สิงโตแสดงถึง ความกล้าหาญ, ม้าน้ำและม้าเทวดาแสดงถึงความโชคดี, กระทิง ปลาเทวดา และนกเค้าแมว เป็นสัญลักษณ์ของการป้องกันอัคคีภัย, แพะเทวดาเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นธรรม นั่นเอง
ซึ่งหลังจากที่เดินชมความงามอันน่าพิสมัยของ "วัดบรมราชากาญจนาภิเษกฯ" แห่งนี้แล้ว ก็ต้องขอบอกเลยว่าสวย งาม สง่า อลังการ มากจริงๆ ใครยังไม่เคยมายลด้วยตาตนเองล่ะก็ ขอแนะนำให้หาวันว่างขับรถมาเที่ยวเสริมบุญกันได้ จะมาเดี่ยว มาคู่ หรือมาเป็นครอบครัวหมู่คณะ ก็ได้หมด ไม่ต้องไปไกลถึงปักกิ่งแค่นนทบุรีนี่เอง รับรองว่าคุ้มค่าจริงๆ

"ชลธิชา" ราชาก๋วยเตี๋ยวคั่ว

บรรยากาศโต๊ะนั่งภายในร้าน "ชลธิชา"
แม้ก๋วยเตี๋ยวจะเป็นเมนูคู่ปากท้องคนไทยที่สามารถหากินได้ทั่วไป แต่การที่จะหาก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดกินนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายแต่อย่างใด แถมยิ่งถ้าเป็น"ก๋วยเตี๋ยวคั่ว"มันก็ยิ่งเพิ่มความยากลำบากในการเสาะหามากขึ้นไปอีก
แต่เมื่อปากและท้องมันร้องอยากกินแล้ว ยังไงๆมันก็ไม่ยากเกินความพยายามของเราหรอกน่า เพราะจากการเสาะหาไถ่ถามทำให้เราได้มาพบกับก๋วยเตี๋ยวคั่ว "ชลธิชา" ตรงถนนอำนวยสงคราม ซึ่งร้านนี้เขาขายก๋วยเตี๋ยวคั่วมานานกว่า 30 ปี มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักในเรื่องก๋วยเตี๋ยวคั่วอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ (40 บาท) คั่วหมู (40 บาท) หรือว่าคั่วทะเล (50-60 บาท) รวมไปถึงก๋วยเตี๋ยวคั่วรวมมิตรที่เราเลือกสั่งกินในมื้อนี้
ก๋วยเตี๋ยวคั่วรวมมิตร

สำหรับก๋วยเตี๋ยวคั่วรวมมิตร(50-60 บาท)ที่นี่ เป็นก๋วยเตี๋ยวคั่วรวมมิตรประเภทเป็นมิตรมากเป็นพิเศษ เพราะทางร้านเขาใส่มิตร(เครื่อง)แบบอัดแน่นมาเพียบเลย ทั้งปลาหมึกสด กุ้ง ปลาหมึกกรอบ รวมถึงหมูและไก่ที่ผ่านการหมักเครื่องมาเป็นอย่างดี ทำให้ก๋วยเตี๋ยวคั่วที่นี่รสชาติออกมาถูกปากถูกใจ โดยเฉพาะเส้นใหญ่ที่คั่วออกมาเส้นแห้งนิดๆนั้นให้กลิ่นหอม เคี้ยวอร่อยปาก กินแล้วเข้ากันดีกับไข่เนื้อแน่นที่ห่อไว้ และกลมกลืนลงตัวกับเครื่องที่ใส่มา ส่วนที่พิเศษก็คือก๋วยเตี๋ยวคั่วของที่นี่เขาจะใส่ปาท่องโก๋ทอดกรุบกรอบมาให้กินแกล้มคู่กันด้วย
นอกจากก๋วยเตี๋ยวคั่วแล้วที่นี่ยังมีสุกี้ที่มีทั้งแห้งและน้ำเป็นอีกเมนูชูโรง ซึ่งมื้อนี้เราขอสั่ง สุกี้แห้งรวมมิตร (50-60 บาท) มาดับความหิว สำหรับสุกี้ที่นี่ให้รสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นเต้าหู้ยี้ เพราะทางร้านนำเต้าหู้ยี้มาผัดกับไข่ แล้วจึงนำกุ้ง ปลาหมึก หมู ไก่ ผัดลงไปพร้อมกับใส่วุ้นเส้นและผักต่างๆ ผัดคลุกเคล้าจนเข้ากัน และมีน้ำจิ้มสุกี้รสเด็ด ที่ออกรสหวานนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ มาให้ใส่เพิ่มรสตามใจชอบ

สุกี้แห้ง(บน)และกระเพาะปลา(ล่าง)
อีกหนึ่งเมนูที่ชวนกินไม่แพ้กันคือ กระเพาะปลา (40 บาท พิเศษ 50 บาท) ที่จะทำมาขายแบบหม้อใหญ่ๆ ทุกวัน กระเพาะปลาของที่นี่มีรสชาติดีตรงที่เนื้อกระเพาะปลานุ่มยุ่ย นิ่มลื่นลิ้น เพราะทางร้านเลือกใช้กระเพาะปลาอย่างดีที่มีน้ำมันน้อยมาทำ และยังมีเครื่องใส่มาหลายอย่างทั้งหน่อไม้ เห็ดหอม ไข่นกกระทา เลือดเป็ดนุ่มๆ เนื้อไก่และเครื่องในไก่สารพัด
นอกจากเมนูที่กล่าวมาแล้ว ที่นี่ยังมีอาหารตามสั่งอื่นๆให้เลือกกินกันอีก อาทิ ผัดพริกหมูราดข้าว (40 บาท) ผัดขี้เมาเส้นใหญ่ (40-50 บาท) ราดหน้าเส้นใหญ่ (40 บาท) และยังมีเต้าทึงทั้งร้อนและเย็น (ธรรมดา 20 บาท แบบเมืองจีน 30 บาท) ให้กินตบท้ายกันอีกด้วย

ร้าน "ชลธิชา" ตั้งอยู่ที่ 63/8-9 ถ.อำนวยสงคราม ดุสิต บางกระบือ กทม. การเดินทางถ้ามาจากเทเวศร์ ให้วิ่งตรงมาที่ถ.สามเสน ตรงมาจนถึงแยกบางกระบือให้เลี้ยวขวาเข้าถ.อำนวยสงคราม ตรงเข้ามาประมาณ 200 ม. จะเห็นร้านชลธิชา อยู่ทางซ้ายมือเป็นตึกแถวทาสีครีม มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 น. ทางร้านรับออกงานนอกสถานที่ด้วย โทร. 0-2244-8887, 0-2244-8777, 08-1372-2115