27 ก.พ. 2552
โยคะง่ายๆ : ลดหน้าท้อง
โดย ชีวิตจะได้รับการปรับระดับเสียใหม่ จากที่เคยเฉื่อยชา เซื่องซึม มาเป็นกระฉับกระเฉง ตื่นตัว แจ่มใส และคล่องแคล่วว่องไว การที่จะปฏิบัติโยคะอย่างถูกเทคนิควิธี เข้าถึงความสมบูรณ์ของท่วงท่าและหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ผู้ปฏิบัติจะต้องมีจิตใจที่ตื่นตัวและละเอียดอ่อน สังเกตแต่ละขณะแห่งการเคลื่อนไหว การหยุด ต้องมีจิตใจที่มั่นคง
เมื่อเพียรปฏิบัติโยคะอย่างสม่ำเสมอแล้ว จิตใจย่อมได้รับการพัฒนาให้มั่นคงตื่นตัว นั่นคือคุณสมบัติของจิตที่มีสมาธิ จิตที่เข้มแข็ง ทำให้สามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆ หรือโรคภัยนั้นอย่างเข้มแข็ง และสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว อันหมายถึงการมีสุขภาพดีอย่างแท้จริง
ท่าลดหน้าท้อง ท่าลดหน้าท้อง ของโยคะมีหลายชุด สัปดาห์นี้มีมาให้ผู้หญิงที่รักสวยรักงามได้ลองฝึกกันอีกหนึ่งท่าค่ะ
ประโยชน์
ช่วยฝึกกำลังและลดไขมันหน้าท้องและเอว
ช่วยให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง
บริหารต้นขา ลดไขมันต้นขา
วิธีปฏิบัติ
นอนหงาย มือประสานกันใต้ศีรษะ เท้าชิด
หายใจเข้า หายใจออก ยกลำตัว ยกขาซ้ายขึ้น 45 องศา ขาตรง ไม่งอเข่า เกร็งหน้าท้อง ไม่กลั้นหายใจ ค้างไว้ หายใจเข้า-ออก 5–10 วินาที ลดลง
หายใจเข้า หายใจออก ยกขาขวา ยกลำตัว หายใจเข้า-ออก 5–10 วินาที แล้วลดลง ทำซ้ำอีก 2-3 ครั้ง
หายใจเข้า หายใจออก ยกทั้งสองขาและลำตัว ค้างไว้หายใจเข้าออก 10 วินาที แล้วลดลง
โยคะ นับได้ว่าเป็นวิธีหนึ่งที่เป้นการแก้ไขรูปร่างที่ดี และยังส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย . . .
อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันนะคะ
ทำเอมไซด์แอปเปิ้ลหน้าใสแบบง่ายๆด้วยตัวเอง
วิธีใช้
ก่อนล้างหน้าตอนเช้าหรือเย็นทาทิ้งไว้ 5-10 นาทีหรืออาจจะนานกว่านี้แล้วก็ล้างหน้าตามปกติ ยิ่งถ้ากินก็จะช่วยให้ปิ๊งจากข้างใน แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ใช้ทาภายนอกอย่างเดียว
ส่วนผสม
1. น้ำผึ้ง
2. แอปเปิ้ลปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
3. น้ำสะอาด
4. ขวดใส (ขวด pet ที่ใสน้ำเปล่าขาย)
วิธีทำ
ใส่น้ำผึ้งไปประมาณขีดที่ 1 ของขวดแล้วก็ใสแอปเปิ้ลไปเท่าๆกันใสน้ำลงไปพอไปเกือบเต็มขวด พอให้อากาศเข้าไปได้ แล้วก็เขย่าให้เข้ากันปิดฝาวันที่ 2 ก็ค่อยเปิดฝาให้แก็สที่มีอยู่ในขวดออกมาสักพักก็ปิดฝาเขย่าทิ้งไว้ วันต่อๆไปก็ทำแบบนี้อีก 7-10 วัน คุณก็จะได้เอมไซด์เอาไปพอกหน้าให้สวยใสจากธรรมชาติค่ะ
+===+====+
ดื่มโกโก้ วันละแก้ว สุขภาพดี
นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดง ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกว่าครึ่งหนึ่ง
ปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้
ในการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว
แม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่าทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น
"แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย"
6 ท่า 6 จุด หยุดไขมัน
1. ท่าหน้าวัวประยุกต์
A. ยืนตัวตรงเท้าชิดติดกัน มือขวาจับปลายผ้าขนหนูข้างหนึ่ง ยกแขนขวาขึ้นแล้วงอข้อศอกลงไปด้านหลังศีรษะ แขนซ้ายแนบติดลำตัวงอแขนไว้ด้านหลังขนานกับช่วงเอว จับปลายผ้าขนหนูอีกข้าง
B. หายใจเข้า มือขวาออกแรงดึงผ้าขนหนูขึ้นให้แขนขวาชิดใบหู
C. หายใจออก มือซ้ายดึงผ้าขนหนูลงจนแขนซ้ายตึง ระวังอย่าให้แขนซ้ายแยกออกจากลำตัว และต้องดึงผ้าให้ตึงตลอด ทำต่อเนื่องจนครบ 10 ครั้ง ครั้งที่11 ลดแขนทั้งสองให้ขนานกันดังภาพแล้วออกแรงดึงผ้าให้ตึง ปล่อยแขนลงผ่อนคลาย ทำซ้ำอีกข้าง ท่านี้จะช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณท้องแขนได้เป็นอย่างดี
2. ท่าเรือกลไฟ
A. ยืนตัวตรงกางขาออกกว้างเป็น 3 เท่าของช่วงไหล่ ขาเหยียดตรงเปิดปลายเท้าขวาให้ตั้งฉากกับลำตัว หายใจเข้า หงายฝ่ามือยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นขนานกับพื้น หายใจออก หมุนตัวมาทางขวามือ 90 องศา
B. หายใจเข้าประสานมือดันนิ้วชี้ขึ้นเหนือศีรษะ ยืดแขนให้ตึง หายใจออก งอเข่าขวาให้ตั้งฉากไม่เกินนิ้วโป้งเท้า
C. หายใจเข้า เกรงขายืดแขนให้ตึง หายใจออก ยืดตัวตรง แขม่วท้อง D. หายใจเข้า เกร็งขายืดตรง กลับไปท่าเริ่มต้น ทำแบบนี้ข้างละ 3 ครั้ง ท่านี้จะช่วยลดไขมันท้องแขน และสะโพก ได้บริหารปีกสะบักกลางหลัง และกล้ามเนื้อต้นขา
3. ท่าบิดลำตัว
A. นั่งหลังตรง ใช้ขาซ้ายไขว้ขาขวา ปลายเท้าขวาวางข้างสะโพก อกชิดติดเข่า แขนซ้ายกอดหัวเข่าขวา
B. หายใจเข้าให้ลึก วาดแขนขวาไปทางด้านหลังวางไว้ที่เอว หายใจออก แขม่วท้องบิดเอวหันหน้าไปทางด้านหลัง หายใจเข้าหันหน้ากลับท่าเริ่มต้น ทำ 3 รอบแล้วเปลี่ยนข้าง ท่านี้จะช่วยลดเอว หน้าท้อง ต้นขา ปีกสะบัก และแนวขอบอก
4. ท่ายืดส่วนหลัง
นั่งหลังตรง ยืดขาทั้งสองข้างไปด้านหน้าเกร็งปลายเท้าให้ตั้งฉาก หายใจ เข้ายกแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ หายใจออก คว่ำมือแล้วค่อยๆ ก้มตัวลง เกร็งกล้ามเนื้อบริเวณช่วงเอว แล้วใช้นิ้วชี้เกี่ยวนิ้วโป้งเท้า ค่อยๆ ก้มตัวลงอีก งอศอกเล็กน้อยค้างไว้ประมาณครึ่งนาที (สำหรับคนที่ไม่สามารถเกี่ยวนิ้วได้ อย่าฝืน ให้จับบริเวณใต้เข่าและก้มตัวเท่าที่ทำได้) ยืดตัวขึ้นช้าๆ ท่านี้จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย บริหารกล้ามเนื้อส่วนหลัง และต้นขา
5. ท่าสะพาน
A. หายใจเข้านอนหงายขนานกับพื้น งอขาชันเข่า เอามือจับที่ส้นเท้า เกร็งหัวเข่ากดคางกับหน้าอก
B. หายใจเข้า ยกสะโพกขึ้นเท่าที่ทำได้ (ใช้มือค้ำที่เอวได้) หายใจออก หายใจเข้า เกร็งกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพก หายใจออก ค่อยๆ วางตัวลงกับพื้น ทำ 4 ครั้ง ท่านี้จะช่วยลดไขมันหน้าท้อง ต้นขา และบริหารกล้ามเนื้อหลัง
6. ท่าศพ
นอนเหยียดขา กระดกปลายเท้า เกร็งเท้า เข่า ต้นขา สะโพก ขมิบก้น เกร็งส่วนคอ กำหมัดแล้วเกร็ง โดยเกร็งส่วนละ 2 วินาที แล้วปล่อยให้ผ่อนคลายเป็นท่าจบและนอนพัก การเกร็งส่วนต่างๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
อาการข้างเคียงจากการตั้งครรภ์และวิธีแก้ไข
ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายว่าทำไมปัญหาของอาการข้างเคียงต่างๆ ที่รบกวนคุณในเวลาตั้งครรภ์จึงเกิดขึ้น และเสนอคำแนะนำในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์นี้ด้วยตัวเอง คุณควรปรึกษา, ตรวจสอบกับหมอสูติประจำตัวคุณเสียก่อนเพื่อให้แน่ใจว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับการตั้งครรภ์ และยังไม่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเป็นทางการจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อาการปวดท้อง (Abdominal Pain)
สาเหตุ: เนื่องจากข้อต่อซึ่งรองรับมดลูกได้ยืดตัวออก คุณจึงประสบกับอาการปวดเมื่อยด้านข้างของท้อง
แก้ไข: พยายามนวดอย่างเบาๆ ในบริเวณที่ปวด ด้วยฝ่ามือโดยเคลื่อนไหวฝ่ามือช้าๆ และใส่กางเกงsupport ท้องที่เรียกว่ากางเกงพยุงครรภ์ จะสามารถช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ แต่ถ้าคุณมีอาการปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ คุณควรรีบปรึกษาแพทย์หรือหมอสูติประจำตัวโดยเร็ว
อาการปวดหลัง (Backache)
สาเหตุ: ข้อต่อกระดูกต่างๆ มีการหย่อนตัวมากขึ้นและการอยู่ในท่วงท่าที่ไม่เหมาะสมสามารถทำให้คุณมีอาการปวดหลังมากยิ่งขึ้น
แก้ไข: ปรับตัวให้อยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง
- ยืนตัวตรงๆ และใช้หมอนหนุนหลังเมื่อนั่ง และก้มลงเก็บของโดยให้หลังตรง คือยืนให้น้ำหนักลงที่เท้าทั้งสองข้าง ย่อตัวลงโดยงอข้อสะโพกและหัวเข่า พยายามรักษาระดับให้ใบหู หัวไหล่และสะโพกอยู่ในระดับเดียวกัน หายใจไม่สะดวก (Breathlessness)
สาเหตุ: ฮอร์โมนทำให้กล้ามเนื้อหน้าอก หย่อนตัวลงและขยายหลอดลม เนื่องจากต้องผลิตเลือดให้ปอดมากขึ้น เมื่ออายุครรภ์เพิ่มขึ้น มดลูกขยายใหญ่ขึ้นมีผลไปดัน กระบังลมส่งผลถึงปอด ทำให้หายใจไม่สะดวกแก้ไข: หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนแออัด พยายามหายใจช้าๆ และลึกๆ อย่าทำอะไรรีบร้อน
Carpal Tunnel Syndrome
สาเหตุ: มือ เท้ามีอาการชา เจ็บยิบๆ(tingling) หรือเจ็บฝ่ามือเนื่องจากระบบประสาทที่ข้อมือถูกกดทับ (มักจะมาจากอาการบวม)
แก้ไข: นวดฝ่ามือ, ขยับนิ้วมือขึ้นลง กางนิ้วมือทั้ง 5 กว้างๆ สัก 2-3 วินาทีแล้วหุบมือ หรือเวลากลางคืนลองนอนห้อยมือลงมาข้างเตียง นอกจากนั้นอาจขอวิตามิน B6 จากแพทย์
ท้องผูก (Constipation)
สาเหตุ: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้ลำไส้บีบตัวช้าลง มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นกดทับลำไส้ใหญ ่ทำให้อุจจาระผ่านได้ลำบาก อุจจาระที่คั่งค้างอยู่นานจะถูกดูดซึมน้ำออกไปมาก เวลาถ่ายจะแข็งและถ่ายยาก รวมทั้งการทานวิตามิน ธาตุเหล็กอาจเป็นสาเหตุ
แก้ไข: รับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ (เช่น ผลไม้, สลัดผักสด), ดื่มน้ำวันละมากๆ, ดื่มน้ำลูกพรุน และเข้าห้องน้ำทันทีที่จำเป็น อย่ากลั้นไว้
ตะคริว (Cramp)
สาเหตุ: ตะคริวที่ขาหรือเท้าอาจเนื่องมาจากการหมุนเวียน ของเลือดลดประสิทธิภาพลง และการรับประทานอาหาร ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายยามตั้งครรภ์ เช่น ขาดแคลเซียม (มีในนมสด), วิตามิน B รวม, โ ปตัสเซียม (กล้วย, พืชจำพวกถั่ว) หรือ เกลือ
แก้ไข: เมื่อคุณตื่นนอนให้งอนิ้วเท้าขึ้น หรือเพื่อให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น ลองใช้เท้าแต่ละข้างกลิ้งขวดเปล่าๆ ไปมา 20 ครั้งก่อนนอน รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่
หน้ามืดเป็นลม (Fainting)
สาเหตุ: ฮอร์โมนยามตั้งครรภ์ทำ ให้หลอดเลือดหย่อนตัว ทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ ซึ่งทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามือเป็นลม และมดลูกของคุณต้องการเลือดเพิ่มขึ้น และจำนวนน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงก็เป็นสาเหตุดังกล่าวได้
แก้ไข: คุณต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ และหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับแน่น ฟิตที่จะทำให้คุณร้อน พกพัดลมอันจิ๋วที่มีมอเตอร์ในตัวเอง หรือพัด หรือกระป๋องสเปรย์ฉีดน้ำ เพื่อช่วยคุณระบายความร้อน
การผายลม (Flatulence)
สาเหตุ: ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ทำให้กล้ามเนื้อหย่อนตัว ดังนั้นอาหาร และของเสียจึงไหลผ่านระบบย่อยอย่างเชื่องช้า และสร้างลมในกระเพาะให้เกิดขึ้น นอกจากนั้นการกลืนอากาศอย่างไม่ตั้งใจ เพื่อไล่อาการคลื่นไส้วิงเวียนหรือจุกแน่นหน้าอก ก็สามารถทำให้เกิดลมขึ้นได้ หรืออาจเป็นเพราะพวก alkaline food (เช่น นม) เกิดปฏิกริยากับกรดในกระเพาะ
แก้ไข: ควรรับประทานอาหารอย่างช้าๆ, หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก็สในกระเพาะอาหาร และดื่มชา peppermint หรือ chamomile
Food Cravings (การอยากอาหารบางชนิดอย่างมาก)
สาเหตุ: คุณและทารกที่กำลังเจริญเติบโตในครรภ์ ต้องการสารอาหารที่จำเป็นเพิ่มขึ้น เช่น แคลเซียม, วิตามิน C, หรือแร่เหล็ก (เนื้อแดง, ถั่ว, ผักโขม) และฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงอาจ ทำให้คุณรู้สึกนึกถึงรสชาติของอาหารพวกนี้ รวมทั้งระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ก็สามารถทำให้เกิดความอยากรับประทานอาหารบางชนิดได้
แก้ไข: ควรรับประทานอาหารให้น้อย แต่บ่อยขึ้น รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมากๆ (ข้าว, มันฝรั่งอบ, ขนมปัง และพวกพาสตาต่างๆ), หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมาก - ถ้าคุณอยากรับประทานอาหารแปลกๆ ให้ลองติดต่อกับนักโภชนาการ เพื่อสอบถามเมนูอาหารแปลกๆ
เหงือกอักเสบ (Gum Problems)
สาเหตุ: ฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงทำให้เหงือกอ่อนนุ่มขึ้น ดังนั้นหากมีรอยขีดข่วนหรือเศษอาหารติดตามซอกฟัน ก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อและเหงือกอักเสบได้
แก้ไข: ใช้แปรงสีฟันชนิดขนแปรงนิ่มแปรงฟัน แล้วล้างปากด้วยน้ำยาบ้วนปากจะช่วยได้ หากต้องการใช้dental floss (ไหมขัดฟัน) ควรใช้อย่างเบามือ นอกจากนั้นคุณควรพบทันตแพทย์เพื่อ เช็คสุขภาพปากและฟันในช่วงนี้
ปวดศีรษะ (Headaches)
สาเหตุ: ฮอร์โมน, อาการขาดน้ำกระทันหัน (Dehydration), ความอ่อนเพลีย, ความหิว, เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ, หรือภาวะความเครียด ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้
แก้ไข: นวดต้นคอด้านข้าง เริ่มจากฐานของกะโหลกศีรษะ หรือขอให้คู่ของคุณนวดใบหน้า, ลำคอ และไหล่ อาจทำให้รู้สึกดีขึ้น พยายามรับประทานอาหารอย่างสม่ำเสมอครบทุกมื้อ ดื่มน้ำบ่อยๆระหว่างอาหารแต่ละมื้อ
Haemorrhoids (Piles) ริดสีดวงทวาร
สาเหตุ: การกดทับของมดลูกทำให้เลือดเดินไม่สะดวก หลอดเลือดจึงบวม เป็นผลทำให้ทวารหนักเกิดอาการบวมเจ็บ, คัน เวลาถ่ายจึงทำให้บาดและระคายเคืองยิ่งขึ้นเมื่อท้องผูก
แก้ไข: กรุณาดูคำแนะนำสำหรับ "อาการท้องผูก" และพยายามรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ มีประโยชน์สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งรวมอาหารที่มีวิตามิน B6 (ไก่), วิตามิน C (ผักสด, ผลไม้สด), และวิตามิน E (ไข่, ทูน่า, บรอคโคลี่) แต่ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกร ก่อนที่คุณจะรับประทานวิตามินเสริมเอง
Itching and Rashes (อาการคันและผื่นแดง)
สาเหตุ: อาการคันตามเนื้อตัว เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน, ผิวหนังแห้ง, การยืดตัวของผิวหนังในระยะปลายของการตั้งครรภ์, หรือเกิดจากความร้อนในร่างกาย หรือความอ่อนเพลีย หากคุณรู้สึกว่าเป็นมากจนผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ เนื่องจากอาจบ่งบอกอาการ obstetric cholestasis (อาการผิดปกติของตับซึ่งเกิดได้ยาก) ส่วน Rashes อาจลุกลามได้ในพื้นที่ชื้น หรือ อาจเกิดจากอาการแพ้อาหาบางชนิด, สบู่ หรือแม้แต่ผงซักฟอก
แก้ไข: ดื่มน้ำสะอาดมากๆใช้shower gel (แชมพูอาบน้ำ) แทนสบู่ซึ่งทำให้ผิวแห้ง หรือลองใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามิน E หรือลองทาคาลาไมน์ หรือเบบี้โลชั่นที่เย็นๆ และใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยคอตตอน
อาการคัดจมูก (Nasal Congestion)
สาเหตุ: ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Oestrogen)ที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดมีมูกมาก และนำไปสู่การคัดจมูก
แก้ไข: สั่งจมูกเบาๆ อย่างนุ่มนวล หยดน้ำมันยูคาลิปตัส 2 หยดลงในชามใส่น้ำอุ่น แล้วสูดดม หรือทาครีมวาสลีนเล็กน้อยในจมูกจะช่วยได้ในสภาพแวดล้อมที่แห้ง
คลื่นไส้ อาเจียน
สาเหตุ: ฮอร์โมนที่หลั่งในช่วงตั้งครรภ์ HCG (และภายหลังคือ Oestrogen และ Progesterone) อาจเป็นสาเหตุ
แก้ไข: พยายามทำอะไรช้าๆ อย่ารีบเร่ง ทานอาหารให้น้อยแต่บ่อยๆ ที่อยู่ท้อง ลองทานของหวาน, ขิง (เช่นขนมปังขิง, น้ำขิง หรือในรูปแบบใดก็ได้) ดื่มน้ำสะอาด หรือรสซ่า หรือพวกหวานเย็น วางขนมปังกรอบ พวกบิสกิตไว้ใกล้มือข้างเตียง เพื่อทานในตอนเช้า 20 นาทีก่อนลุกขึ้นจากเตียง
เหงื่อออกในตอนกลางคืน (Night Sweat)
สาเหตุ: การเพิ่มปริมาณของเลือดในร่างกาย ทำใหหลอดเลือดขยายตัวและทำให้ร่างกายร้อน
แก้ไข:ใส่เสื้อผ้าที่ทำจากคอตตอน เวลานอนให้เปิดแอร์, หรือพัดลม หรือแม้แต่วางสเปรย์ฉีดน้ำไว้ใกล้เตียง รับประทานอาหารที่มีโปตัสเซียมสูง เช่นผักสด, ถั่ว, ผลไม้แห้ง - ลูกพรุน
ปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน (Pelvic Pain)
สาเหตุ: อาการปวดเกิดจากข้อต่อกระดูกซึ่งหย่อนตัวลง เตรียมพร้อมสำหรับการคลอด ส่วนอาการเจ็บแปลบๆอาจเป็นเพราะทารกในครรภ์ดิ้นไปชนกระเพาะปัสสาวะที่เต็มของคุณ
แก้ไข: หาผ้าห่มหรือถุงนอนมาปูใต้ผ้าปูที่นอน ถ้าเตียงของคุณแข็งเกินไป แล้วนอนตะแคงข้าง กอดหมอนข้างหรือวางหมอนนิ่มๆ ระหว่างเข่าและใต้ท้องของคุณ เวลาก้าวขึ้นเตียงนอน ให้งอเข่าก้าวขึ้นเตียงแล้วค่อยๆ เอนกลิ้งลงนอนอย่างช้าๆ ควรจะปัสสาวะให้บ่อยๆ เพื่อระบายกระเพาะปัสสาวะให้ว่างเสมอ
อาการเจ็บที่กระดูกใต้อก (Rib Pain)
สาเหตุ: อาการเจ็บแปลบๆ ใต้อกด้านใดด้านหนึ่ง เพราะการขยายตัวใหญ่ขึ้นของมดลูกไปกดทับกระดูก
แก้ไข: ซื้อบราที่ได้ขนาดพอดีกับทรวงอกที่ขยายขึ้น (ควรวัดให้ทราบขนาดที่ถูกต้อง) ถ้าบราของคุณคับไปแต่ขนาดของ cup พอดี การเพิ่มผ้าและตะขออาจเป็นประโยชน์ขึ้น ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้กระดูกใต้อกของคุณมีเนื้อที่ขึ้น หรือนั่งกับพื้นชูแขนขึ้นเหนือศีรษะ แล้วขอให้คู่ของคุณช่วยดึงแขนแต่ละข้างขึ้นอย่างช้าๆ อย่างเบามือ
Sciatica
สาเหตุ: อาการปวดตั้งแต่ก้นลงมาจนถึงขา หรือเจ็บแปลบขาข้างหนึ่งข้างใด เป็นเพราะลูกในท้องกดทับเส้นประสาท
แก้ไข: นั่งพักและหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการเจ็บแปลบอีก (นอนพักจะช่วยได้) ลองบีบนวดอย่างเบาๆ แล้วปล่อยมือ แล้วบีบนวดใหม่ที่ก้น หรือเอามือจับพนักเก้าอี้แล้วแกว่งขาไปมาด้านข้าง (ห่าง 45 องศา) หลายๆ ครั้งทุกวัน ถ้ายังไม่ดีขึ้นหรือมีอาการปวดมากเพิ่มขึ้น คุณควรรีบปรึกษาแพทย์
นอนไม่หลับ
สาเหตุ: อาจเกิดจากความกังวลใจเล็กๆ น้อยๆ, ความไม่สบายใจทั่วๆ ไป, หูไวต่อเสียงรบกวน และการต้องลุกไปเข้าห้องน้ำในตอนกลางคืน
แก้ไข: พยายามเดินออกกำลังกายเบาๆ ทุกวัน, อาบน้ำอุ่น และดื่มเครื่องดื่มผสมนมก่อนนอน, ฟังดนตรีเบาๆจากเครื่องเสียง หรืออกกำลังกายเบาๆ เพื่อให้รางกายได้ผ่อนคลาย หลีกเลี่ยงการทำให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในตอนกลางวัน
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เวลาจามหรือไอ
สาเหตุ: เลือดไหลเวียนไปยังไต ทำให้ร่างกายผลิตปัสสาวะเพิ่มขึ้น และกล้ามเนื้อบริเวณ pelvic floor ย่อหย่อน (พื้นที่โดยรอบด้านหน้าและหลังของทวารหนัก) ทำให้กระเพาะปัสสาวะทำหน้าที่ควบคุมได้ไม่ดีนัก
แก้ไข: ดื่มน้ำหรือของเหลวมากๆ และปัสสาวะบ่อยๆ พยายามขมิบปากช่องคลอดก่อนไอ เพื่อทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นกระชับ ให้ฝึกขมิบแล้วปล่อยประมาณ 50 ครั้งต่อวัน (ครั้งละ 10 หน)
เส้นคล้ำที่หน้าท้อง (Stretchmarks)
สาเหตุ: เส้นคล้ำๆ หรือรอยดำๆ เกิดขึ้นเนื่องจากผิวหนังเกิดการตึง แต่จะค่อยๆ จางหายไปหลังจากการคลอด ทั้งนี้เกิดจากระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และความยืดหยุ่นของผิวหนัง และการที่น้ำหนักตัวขึ้นอย่างกระทันหัน
แก้ไข: พยายามให้น้ำหนักตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทาออยล์, ครีมบำรุงผิว เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่น แต่ไม่สามารถป้องกันหรือกำจัดรอยนี้ได้
ข้อเท้าบวม (Swelling Ankles)
สาเหตุ: ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Oestrogen) เปลี่ยนระดับความคงที่ของโปตัสเซียมโซเดียม และเซลล์ในร่างกายดูดซับของเหลวไว้ ปริมาณของเลือดเพิ่มขึ้น และน้ำหนักของทารกกดทับหลอดเลือดใหญ่
แก้ไข: ยกเท้าให้สูงเท่าที่จะทำได้ นอนตะแคงข้างเพื่อลดการถูกกดทับของเส้นเลือดใหญ่ หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้าหรือถุงน่องรัดๆ ใส่รองเท้าที่สวมสบาย น้ำลึกๆ อาจช่วยลดอาการบวมได้
Thrush
สาเหตุ: ปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณช่องคลอดและมีเมือกขาวๆออกมาด้วย ทั้งนี้ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Oestrogen) เป็นตัวการทำให้เกิด thrush ได้ง่ายในระหว่างที่ตั้งครรภ์
แก้ไข: ใส่กางเกงในที่ทำจากคอตตอน หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ (เพราะมีเคมีคอลในสระน้ำ) และพวกเครื่องอาบน้ำที่ใส่น้ำหอมกลิ่นต่างๆ ทำความสะอาดบริเวณช่องคลอดด้วยน้ำเย็น หรือใช้ฝักบัวรดเบาๆ เช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง แพทย์อาจแนะนำครีมหรือ pessaries, รับประทานโยเกิร์ตขวดเล็กๆ ทุกวันเพื่อควบคุมแบคทีเรียในระบบย่อยอาหาร ถ้าหากเมือกออกมาก, มีสี หรือมีกลิ่น ถือว่าผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
อาการอ่อนเพลีย
สาเหตุ: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในตอนต้นของการตั้งครรภ์, น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นในเวลาต่อมา, การทำงานหนักมากเกินไป รวมทั้งความเครียด เหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดความอ่อนเพลียเมื่อยล้า
แก้ไข: รับฟังร่างกายของคุณ อย่าให้ร่างกายหักโหมเกินไป หากคุณโดยสารรถประจำทาง - ขอที่นั่งจากผู้โดยสารอื่น อย่ายืนเมื่อคุณสามารถนั่งได้ ยกเท้าขึ้นในช่วงพักเที่ยง (ถ้าคุณอยู่ในที่ทำงาน) ทานอาหารกลางวันและอาหารค่ำทุกมื้อ และถ้าเป็นไปได้ควรงีบในตอนบ่าย เข้านอนแต่หัวค่ำ
Vaginal Discharge
สาเหตุ: เกิดจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นทำให้มีอาการตกขาว ซึ่งมักจะเป็นในเดือนหลังๆ แต่ไม่มีผลร้ายต่อร่างกายแต่อย่างใด แต่ถ้ามีมากหรือมีสี มีกลิ่นถือว่าผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
แก้ไข: ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่น 2 ครั้งต่อวัน หลีกเลี่ยงเครื่องอาบน้ำที่ผสมน้ำหอม และเปลี่ยนมาใช้ชุดชั้นในที่ทำจากคอตตอน อาจใช้ผ้าอนามัยชนิดบางเพื่อซึมซับ หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงในคับๆ ยีนส์ หรือ leotards (กางเกงใส่เต้นแอโรบิค) คับๆ
เส้นเลือดขอด (Vericose Veins)
สาเหตุ: เส้นเลือดสีน้ำเงินม่วงที่ขอดๆ บนขา (หรือเรียกว่า Vulva) เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง, ปริมาณของเลือดที่เพิ่มขึ้น, การไหลเวียนของเลือดที่ขาไม่สะดวก, และการพองตัวของเส้นเลือดดำ
แก้ไข: รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมทั้งวิตามิน C มากๆ, เดินยืดเส้นยืดสาย หรือออกกำลังกายเบาๆ ที่ขา อาจช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ใส่กางเกงพยุงครรภ์ และหลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานานๆ
หลักปฏิบัติเพื่อลดอาการอึดอัดขณะตั้งครรภ์ คุณควรเอาใจใส่กับท่านั่ง ท่ายืน รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถูกสุขอนามัย และพักผ่อนให้เพียงพอ
ถ้าคุณไม่แน่ใจอาการที่คุณเป็นอยู่ ว่ามีความสำคัญหรือไม่ เพียงใด ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
ถ้านี่เป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรกของคุณ ควรซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการแพ้หรืออาการข้างเคียงให้มากที่สุดจากแพทย์เฉพาะทาง เพื่อที่คุณจะได้ทำความคุ้นเคยและได้รับความรู้ว่าการตั้งครรภ์นั้นจะต้องรู้สึกและมีอาการอย่างไรบ้าง
ถ้าคุณมีอาการดังกล่าวต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
การไปพบหมอบ่อยๆ นั้นเป็นการดีกว่าการไม่ไปพบหมอเลย ถึงแม้คุณจะคิดว่า หากไปพบหมอแล้วจะไม่พบปัญหาใดๆ นั่นเป็นการดีสำหรับคุณ แต่ถ้าหากมีปัญหาขึ้นมา การแก้ไขหรือการรักษาจะง่ายขึ้น ถ้าคุณหมอพบปัญหาตั้งแต่แรก
- อาการปวดท้องหรือเป็นตะคริว ซึ่งเพิ่มความปวดขึ้นเรื่อยๆ หรือมีอาการปวดมากกว่า 24 ชั่วโมง
- มีเลือดออกจากช่องคลอด, อุณหภูมิในร่างกายสูงผิดปกติ
- มีไข้สูง อาเจียนอย่างต่อเนื่อง
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ทานยาแล้วไม่หาย หรือสายตาพร่ามัว
- หน้าบวม มือ เท้าบวมจนไม่สามารถสวมรองเท้าได้
- อาการอื่นที่คุณวิตกกังวล
ทำความรู้จักฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์สักเล็กน้อย
ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในร่างกายระหว่างการตั้งครรภ์และอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับคุณนั้น เป็นไปเพื่อทำหน้าที่ให้เกิดประโยชน์ที่ดี เช่น อาการแพ้ยามตั้งครรภ์มีส่วนมาจากผลของระดับ HCG (Human Chrionic Gonadotrophin) เพิ่มขึ้นซึ่งผลิตโดยรก (Placenta) ที่กำลังเจริญเติบโต เมื่อรกได้รับฮอร์โมนชนิดนี้แล้วในเวลา 12 อาทิตย์ ระดับฮอร์โมน HCG จะลดลง ดังนั้นอาการคลื่นไส้มักจะหายไปภายใน 16 อาทิตย์ ข้อต่อกระดูกต่างๆ มีการหย่อนตัวมากขึ้นเพื่อให้ร่างกายคลอดบุตรได้ง่ายขึ้น แต่นั่นทำให้คุณเกิดอาการแสบร้อนที่หน้าอก (Heartburn) และปวดหลัง ส่วนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) จะช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นเช่น มดลูก ทั้งนี้เพื่อปกป้องทารกในครรภ์ให้ปลอดภัยจากการแข็งตัวของมดลูก แต่ฮอร์โมนนี้มีผลทำให้คุณเกิดการท้องผูก นอกจากนั้น 2-3 วันก่อนคลอดฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดลง และทำให้การแข็งตัวของมดลูกรุนแรงขึ้น และคุณอาจจจะมีอาการท้องเสีย
ฉะนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากที่คุณควรไปพบหมอที่ฝากครรภ์ ตามนัดทุกครั้ง เพื่อหมอจะได้พิจารณาว่าอาการข้างเคียงใดที่เป็นปัญหาควรได้รับการรักษา เช่นอาการบวมเป็นต้น อาจจะมีสาเหตุมาจากอากาศร้อน แต่ถ้าความดันโลหิตของคุณขึ้นสูง และมีปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ นั่นอาจเป็นสาเหตุเบื้องต้นของโรคครรภ์เป็นพิษ (Pre-eclampsia) ซึ่งคุณจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์
9 วิธีเตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์
1. กินอาหารที่มีประโยชน์ ว่าที่คุณแม่ที่วางแผนจะมีบุตรสิ่งแรกที่ควรจะต้องดูแลก็คือเรื่องอาหารการกินควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาหารที่มีประโยชน์มากต่อการตั้งครรภ์ก็คือแคลเซียมและสารโฟลิก (Folic acid) ร่างกายจะได้รับแคลเซียมจากการรับประทานปลาเล็กปลาน้อย และการดื่มนมส่วนสารโฟลิกจะได้รับจาการกินผลไม้ ผักใบเขียว
2. รักษาน้ำหนักให้ได้ตามเกณฑ์ น้ำหนักที่ได้ตามเกณฑ์สำหรับการตั้งครรภ์จะดีที่สุดถ้ามีน้หนัก เกินเกณฑ์ อาจจะลดได้ง่ายๆ ด้วยการลดอาหารที่มีไขมันสูง และกินอาหารประเภทผักผลไม้ให้มากขึ้น ไม่ควรลดมากกว่าครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัมต่ออาทิตย์ เพราะการลดน้ำหนักที่เร็วจนเกินไปนั้นจะทำให้ร่างกายขาดปริมาณส ารอาหารที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ได้ส่วนคุณแม่ที่น้ำหนักน้อยกว่าปกติก็ควรเพิ่มน้ำหนักโดยการกินอาหารให้มากขึ้นและให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยกินอาหารประเภทโปรตีนและแป้งให้มากว่าปกติ
3. รับประทานวิตามิน ถึงแม้ว่าเราจะได้รับวิตามินตามธรรมชาติจากอาหารแล้ว การกินวิตามินเสริมประเภทวิตามินรวม เช่น วิตามินบี และสารโฟลิก (folic acid) จะเป็นการป้องกันการขาดวิตามินได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์
4. ระมัดระวังเรื่อง “ยา” มียาบางประเภทจะมีผลทำให้เด็กทารกเกิดความพิการได้ หากคุณกินเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ถึงผลข้างเคียงของยานั้นๆ ต่อการตั้งครรภ์
5. งดบุหรี่และเหล้า บุหรี่-เหล้าและทารกไม่ใช่ของคู่กัน มีผลการศึกษาอย่างชัดเจนว่า บุหรี่ และเหล้าทำให้มีโอกาสแท้งบุตรได้สูงขึ้น ทารกมีน้ำหนักน้อย และมีปัญหาทางด้านพัฒนาการทางสมองเมื่อเขาโตขึ้น
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การเตรียมร่างกายให้แข็งแรงก่อนการตั้งครรภ์นั้น เป็นเรื่องที่มีผลดีมากกว่าที่คุณทราบ คุณแม่ที่ร่างกายแข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อจะมีความยืดหยุ่นที่ดีและมีความแข็งแรงโอกาสเกิดการป วดหลังขณะตั้งครรภ์จะน้อยลง คลอดง่ายขึ้นนอกจากนั้นการออกกำลังกายจะเป็นผลดีต่อเนื่องไปจนถึงหลังคลอด คุณจะทนต่อความเครียดในการเลี้ยงลูกได้ดีกว่า และควบคุมน้ำหนักหลังคลอดได้ดี
7. หลีกเลี่ยงมลพิษ หากคุณทำงานหรือดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอันตราย เช่น มีสารพิษ รังสี หรือทำงานในที่ที่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เช่น ต้องยืน เดินตลอดวัน หรือต้องขึ้นเครื่องบินบ่อยๆ คุณอาจจะต้องพิจารณาเปลี่ยนงานหรือหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น
8. หยุดยาคุมกำเนิด โดยทั่วไปแพทย์แนะนำให้หยุดยาคุมกำเนิดประมาณ 1-2 เดือนก่อนเริ่มตั้งครรภ์ เพื่อให้ฮอร์โมนในร่างกายปรับสภาพมาอยู่ในระดับปกติ ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดโปรเจสติน (Progestin) และโปรเจสเตอโรน (estrogen & progesterone) หรือ Depo-Provera อาจจะต้องใช้เวลาถึงประมาณ 1-2 ปี ก่อนที่ร่างกายจะสามารถสร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้เป็นปกติจึงสามาร ถตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง ดังนั้นยาประเภทนี้จึงไม่เหมาะกับหญิงที่อายุมากกว่า 35 ปี ที่ต้องการตั้งครรภ์
9. วางแผนด้านการเงิน ค่าใช้ง่ายต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อคุณมีบุตร คุณควรวางแผนด้านการใช้จ่ายแต่เนิ่นๆ และเพิ่มจำนวนตัวเลขสะสมในบัญชีเงินฝาก ที่สำคัญ ถามตัวคุณเองว่าพร้อมหรือยัง เพราะการมีลูกคุณต้องการให้ความรัก ความเอาใจใส่ ความอดทนอย่างสูง ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ
ห้ามเด็ดขาดกับพฤติกรรมที่แม่เคยทำ
- หยุดสุราโดยเด็ดขาดเนื่องจากสุราจะทำให้เด็กเกิดมามีความพิการได้
- หยุดสูบบุหรี่ และยาเสพติดเนื่องจากเด็กเด็กที่เกิดมาจะพิการและมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ
- งดการอาบน้ำร้อน หรือการซาวน่าในช่วงแรกการตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจทำให้เกิดความพิการทางสมอง
- ดื่มกาแฟน้อยกว่าวันละครึ่งแก้วเนื่องจาก Caffeine จะทำให้แท้งได้
- งดการสัมผัสแมวหรือการรับประทานอาหารดิบเพราะอาจจะเกิดการติดเชื้อ
- ห้ามสวนช่องคลอดเอง เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อได้
- ห้ามยกของหนักหรืออกแรงหนัก ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์
26 ก.พ. 2552
อาการเริ่มแรกของการตั้งครรภ์
2. เจ็บ ตึง คัดเต้านมขนาดของเต้านมจะเริ่มขยายขึ้น หัวนมเจ็บและไวต่อสิ่งสัมผัส มีเส้นเลือดดำสีเขียวๆ ปรากฏขึ้นที่บริเวณผิวหนังรอบเต้านม หัวนมมีสีคล้ำขึ้นและตั้งชู
3. ปัสสาวะบ่อยขึ้นฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์มีผลทำให้เลือดมาคั่งในเชิ งกรานมาก เพื่อไปหล่อเลี้ยง ตัวอ่อนมากขึ้น ระบบปัสสาวะที่ต่อเนื่องถึงกันจึงได้รับผลกระทบไปด้วย กระเพาะปัสสาวะ จึงระคายเคืองและบีบตัวบ่อยขึ้น ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย รวมทั้งต้องลุกมาเข้าห้องน้ำใน ตอนกลางคืนบ่อยๆ ด้วย
4. ท้องผูกกว่าปกติ
5. มีอาการตกขาวเล็กน้อยมีมูกขาวๆ ออกมาจากช่องคลอด โดยไม่มีอาการแสบ หรือคันบริเวณช่องคลอดแต่อย่างใด
6. รู้สึกเหนื่อยง่าย อยากหลับตลอดเวลานอกจากตอนเย็นหลังเลิกงานแล้วยังเหนื่อยล้าในตอนกลางวันอีกด้วย อาการเช่นนี้ดีสำหรับคุณแม่ เพราะเท่ากับช่วยลดกิจกรรมต่างๆ ลงทั้งที่บ้านและที่ทำงาน จะได้พบปะเจอะเจอผู้คนน้อยลง หรือไม่ค่อยอยากเดินทางไปไหนมาไหน ช่วยให้คุณแม่ได้รับเชื้อโรคและสารพิษจาก สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษน้อยลง
7. รู้สึกขมๆ เฝื่อนๆ มีรสชาติแปลกๆ ในปาก
8. รู้สึกเหม็น ทนไม่ได้กับบางสิ่งบางอย่าง เช่น ควันบุหรี่, เหล้า, กาแฟ, อาหารที่มีไขมัน, กลิ่นเนื้อสด, ฯลฯ ผลของการตั้งครรภ์ทำให้จมูกคุณแม่ไว และตอบสนองต่อกลิ่นต่างๆ มากขึ้น บางคนได้กลิ่นอาหารที่เคยชอบก็อยากอาเจียน, บางคนแพ้ กลิ่นน้ำหอมที่ตัวเองเคยใช้เป็นประจำ, บางคนไปจ่ายตลาดเดินผ่านร้านขายเนื้อวัวสด, เนื้อหมู ไม่ได้เลย แค่เห็นก็ทนไม่ไหวแล้ว, บางคนแค่เปิดตู้เย็นเจอกลิ่นอาหารในตู้เย็นก็รู้สึกแย่ บางรายก็แพ้กระทั่งกลิ่นของสามีตัวเอง!
9. มีอาการแพ้ท้องเป็นอาการที่พบบ่อยมากจนเป็นสัญลักษณ์ของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่มีอาการคลื่นไส้ อยาก อาเจียนหลังตื่นนอนในตอนเช้า บางรายอาจเป็นในช่วงเย็นๆ บางรายมีอาการต่อเนื่องกัน ตลอดทั้งวัน (แย่หน่อย) โดยเฉพาะตอนที่ท้องว่าง บางทีหิวแต่กินไม่ได้มาก ทำให้เกิด อาการวิงเวียนจะเป็นลม เนื่องจากมีน้ำตาลในเลือดต่ำ
10. กินอาหารไม่อร่อย หรืออยากกินของแปลกๆฮอร์โมนที่เพิ่มระดับขึ้นในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ ทำให้การรับรู้รสชาติของคุณแม่เปลี่ยน แปลงไป ทำให้รู้สึกกินไม่อร่อย ทั้งที่เป็นของที่เคยชอบมาก่อน บางทีอยากกินของแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงอยากกิน
11. มีอารมณ์อ่อนไหวหรือแปรปรวนง่ายซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง บางครั้งได้ยิน ได้ฟังเรื่องเศร้าๆ ก็ร้องไห้ น้ำตาซึม หรือปล่อยโฮ ดูหนังเศร้าก็ร้องไห้เสียใจ โดยที่เมื่อก่อนไม่ใช่คนแบบนี้ ผู้หญิงบางรายอาจไม่มีอาการดังกล่าวนี้เลย แต่ก็ "ทราบ" ว่าตนเองตั้งครรภ์ ก็เป็นได้เช่นกัน
ตรวจการตั้งครรภ์
เมื่อสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ คุณควรตรวจด้วยตนเองหรือไปรับการตรวจจากแพทย์เพื่อยืนยัน ว่ากำลังตั้งครรภ์ให้ชัดเจน ซึ่งมีวิธีดังนี้
1. โดยการตรวจปัสสาวะ
คุณอาจตรวจด้วยตนเองก็ได้ โดยซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์สำเร็จรูป ซึ่งมีขายตามร้านขายยาทั่วไป ชุดทดสอบนี้ประกอบด้วยสารละลายเคมี ซึ่งนำมาผสมกับน้ำปัสสาวะ 2-3 หยด แล้วเปรียบเทียบดูสีที่ เปลี่ยนไป เป็นการบอกว่าตั้งครรภ์หรือไม่ หากทำตามขั้นตอนอย่างถูกวิธี จะให้ผลที่ค่อนข้างน่า เชื่อถือ 90% การทดสอบเริ่มทำได้โดยการนำน้ำปัสสาวะของแรกที่ประจำเดือนไม่มาเป็นต้นไป ซึ่งอยู่ในระยะ 2 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิมาทดสอบ ผลการทดสอบที่บอกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์มัก ถูกต้องแม่นยำ ส่วนผลที่บอกว่าคุณไม่ตั้งครรภ์มักเชื่อถือได้น้อยกว่า ฉะนั้นคุณควรรออีก 1 สัปดาห์แล้วจึงทำการทดสอบอีกครั้ง หรือไปพบแพทย์เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์
2. การตรวจภายใน
ถ้าประจำเดือนขาดเกิน 1-2 เดือนแล้ว แพทย์อาจใช้การตรวจภายในเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ โดยช่องคลอดและปากมดลูกจะมีสีม่วงคล้ำ เพราะมีเลือดมาหล่อเลี้ยงจำนวนมาก และมดลูกโตจน คลำได้ชัดเจน การตรวจภายในยังช่วยสำรวจความผิดปกติว่ามีก้อนเนื้องอกที่มดลูกหรือรังไข่ได้อีกด้วย
ทำยังไง.. ถ้ารถเกิดไฟไหม้..
๐๐๐ จอดรถข้างทางทันที ถ้าคุณสังเกตเห็นควันโฉ่ เปลวไฟ หรือเข็มความร้อนในรถพุ่งจู๊ด จอดชิดฟุตบาท ให้ห่างจากการจราจรที่ติดจอแจ..
๐๐๐ ดับเครื่องทันที การติดเครื่องเอาไว้ มีแต่ทำให้เครื่องยนต์ ทำงาน และสูบเอาน้ำมันออกมามากขึ้น การดับเครื่อง จะช่วยหยุดการทำงานชั่วคราวได้..
๐๐๐ ให้ผู้โดยสารในรถ ลงจากรถทันที ถึงแม้จะแค่ควันโขมงนิดหน่อย แต่การรักษาความปลอดภัยไว้ก่อนนั้น จะได้ไม่นึกเสียใจทีหลัง เพราะ ถ้าไฟเกิดลุกลามขึ้นมา ผู้โดยสารก็จะถูกย่างสดไปด้วย
๐๐๐ ปิดประตูหน้าต่างรถให้แน่น ยิ่งถ้ามีปุ่มปิดกระจกอัตโนมัติ ยิ่งเหมาะ วิธีนี้ จะทำให้อากาศไม่เข้ามา เป็นตัวเร่งให้เกิดการลุกไหม้มากขึ้น ปิดกระจกก่อนปิดกุญแจ..
๐๐๐ พาผู้โดยสาร หลบห่างไปจากบริเวณนั้น ขั้นแรกคือ การลงจากรถ ขั้นต่อไปคือ หลบไปไกล ๆ จากบริเวณนั้น..
๐๐๐ หาวิธีดับไฟ จะเรียกรถดับเพลิงก็ได้ หรือถ้าไฟแค่เล็กน้อย ก็ให้หาทางช่วยตัวเองก่อน ด้วยการหาผ้าหนา ๆ มาโปะ ปิดคลุมลงไป แต่โปรดรำลึกว่า การพยายามจะปิดฝากระโปรงรถนั้น อันตรายมาก ไฟอาจลุกพรึบใส่หน้าตา มือไม้คุณได้ ทันทีที่เปิดพรึบออกมา สารเคมีที่ใช้ดับเพลิง จะเหมาะที่สุดสำหรับการนี้..
๐๐๐ ดับไฟจากแก๊ส/น้ำมัน..
๐๐๐ ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำให้ผู้โดยสาร หลบไปไกลรถ อย่างน้อยร้อยฟุต และ หาที่กำบังให้มิดชิด ไม่ต้องเสียเวลานับก้าว วิ่งไปให้ไกลที่สุด..
๐๐๐ อย่าไปนึกภาพ การระเบิดตูมของรถ ที่เห็นในหนัง นั่นมันเรื่องฝอยรถระเบิด จริง ๆ ไม่ฟู่ฟ่าอย่างนั้น แต่เป็นอันตรายกับผู้คนรอบข้างได้เช่นกัน ฉะนั้น อย่าทำตัวเป็นไทยมุง ดูเหตุการณ์ อาจเจ็บตัวโดยใช่เหตุ...
๐๐๐ วิธีเลี่ยงอุบัติเหตุจากไฟไหม้รถ..
๐๐๐ อย่าเติมน้ำมัน จนเต็มถังล้นปรี่..
๐๐๐ ถ้ามีขี้ยา นักสูบบุหรี่ติดรถไปด้วย ขอร้องอย่าให้เขาสูบบุหรี่ ตอนคุณแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม แล้วก็อย่าให้เขาโยนขี้บุหรี่ ออกไปนอกหน้าต่าง ดับในที่ดับบุหรี่ ในรถ ให้หมดเรื่องดีกว่า..
๐๐๐ อย่าหอบพกเอา น้ำมัน ใส่ถังติดรถไปด้วย แวะเติมตามปั๊มไปเรื่อย ๆ จะปลอดภัยกว่า..
๐๐๐ พกเครื่องดับเพลิงอันเล็ก ๆ ติดรถไว้กันเหนียว ไม่กี่สตางค์ แต่แสนอุ่นใจนักหนา..
๐๐๐ หมั่นเช็คสอบรถเสมอ ๆ โดยเฉพาะ ตรงถังน้ำมันว่า มีรูรั่วหรือไม่?..
4 วิธีแก้เมาแบบฉับพลัน ด้วยตัวเอง
ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ
(เช่น ดอกคำฝอย, ลูกใต้ใบ เป็นต้น) สัก 2-3 แก้ว ก่อนนอนกินของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือ น้ำผึ้ง และเมื่อตื่นเช้าควรอาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำหรือดื่มชาสมุนไพรจำพวกน้ำมะนาวคั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ
สมุนไพรแก้แฮงค์... รางจืด
แก้เมาได้ชะงัด หากดื่มสุราจัดเกินขนาดแล้วเกิดอาการแฮงค์โอเวอร์หรือเมาค้าง รางจืดใช้ได้ทั้งการกินสดๆ และแห้ง คือ เอาใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำผสมน้ำ ถ้าได้น้ำซาวข้าว ยิ่งดี แล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสดตำคั้นก็ได้ ส่วนวิธีแห้งซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานี้คือ การนำใบแห้งมาชงกับน้ำดื่มเหมือนชงชาจีน
กาแฟแก้เมา
ให้เอากาแฟผงชนิดใดก็ได้เพียง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำเดือด 1 แก้วใหญ่ (ห้ามใส่น้ำตาล) คนให้ละลายรอจนอุ่น ดื่มจนหมดแล้วนอนพัก อาการจะดีขึ้นใน 15 นาที
สร่างด้วยน้ำมะนาว
ใช้มะนาว 1 ลูก คั้นเอาแต่น้ำ แล้วดื่มจนหมด ประมาณ 10 นาทีคุณอาจจะอาเจียน เมื่ออาเจียนเสร็จให้นอนพักสักครู่ อาการเมาก็จะหายไป
มีให้เลือกใช้เลือกปฏิบัติกันครบเซต ตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังดื่ม เลือกเอาตามความถนัด แต่ถ้าเลี่ยงได้ ก็อยากเตือนไว้ว่า ทางที่ดีอย่าให้ต้องถึงขั้นเมาหัวราน้ำเลยนะ เพราะมันทั้งทรมานและจิตตกอย่างน่าใจหาย แถมไร้สติ หลายคนถึงกับมองหน้าใครไม่ติด ด้วยวีรกรรมแผลงๆ เอาเป็นว่าดื่มน้อยๆ สนุกนานๆ แบบมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เพื่อรักษาอิมเมจตัวเราไว้สนุกนานๆ กับปาร์ตี้อื่นๆ ดีกว่าค่ะ
ออกกำลังกาย..เวลาไหนดีสุด
ออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก
ถ้าออกกำลังเพื่อพิฆาตความอ้วน เวลาเช้าๆ นี่ล่ะเหมาะสุด เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายจะนำคาร์โบไฮเดรตจากอาหารมื้อเย็นของเมื่อวานมาใช้เป็นพลังงาน จึงสลายไขมันและเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าการออกกำลังในตอนเย็นเยอะ
ออกกำลังเพื่อฟิตกล้ามเนื้อ
สงสัยหนุ่มๆ คงชอบทำข้อนี้มากกว่าสาวๆ เวลาที่ดีที่สุดสำหรับฟิตกล้ามเนื้อคือเวลาในช่วงบ่าย เพราะมีผลการวิจัยบอกว่า กล้ามเนื้อของเราจะพร้อมและใช้งานได้ดีที่สุดตั้งแต่เวลาเที่ยงเป็นต้นไป ส่วนช่วงเช้ากล้ามเนื้อจะยังตื่นตัวไม่เต็มที่นัก
ออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลาย
ถ้าอยากออกแรงเพื่อสลายความเครียด ขอแนะนำให้ไปอัพแดนด์ดาวน์เอาตอนบ่ายๆ หรือจะเย็นไปเลยก็ได้ เพราะการออกกำลังช่วงนี้จะทำให้หลับสบายในตอนกลางคืน แต่ถ้าไปออกแรงหนักๆ อย่างนี้ในตอนเช้า เดี๋ยวไปง่วงนอนตอนบ่ายแล้วเจ้านายจะเคืองเอาไม่รู้นะ
ออกกำลังเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์
ก็ต้องเวลาเช้าอยู่แล้ว เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่อากาศแจ่มใสที่สุดของวัน การออกกำลังเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้สมองและร่างกายทุกส่วนรับออกซิเจนได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก
24 ก.พ. 2552
กางเกงในมือ 2
- ปกติจะขายอยู่ตัวละ 200 บาท (ต้องห้ามซักนะ ถ้าซักไม่มีคนซื้อ)
- ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย
- แต่ถ้าเอาตัวที่คนขายใส่ คิด 500 (ถอดให้เลย)
- ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงที่จตุจักร (เพื่อนไอ้น้องบิ๋มมันขาย)
- แต่มีอยู่วันหนึ่ง มีลูกค้าผู้ชายคนหนึ่ง ทำทีเป็นหยิบดูของด้วยท่าทางเขินนิด ๆ
- พอเห็นคนน้อย ๆ ก็เอ่ยปากกับหญิงคนขายว่า "น้อง ๆ พี่ขอซื้อตัวที่น้องใส่ น้องขายไหมครับ"
- คนขายตอบทันทีว่า "ขายค่ะ...แต่ตัวละ 500 นะ ถ้าเอา เดี๋ยวถอดให้เดี๋ยวนี้เลย"
- คนซื้อบอกว่า ผมให้ 2000 เลย แต่มีข้อแม้ว่า ต้องให้ผมถอดเองกับมือ
- คนขายคิดนิดนึง "โอเคค่ะ พี่มาหลังร้านเลย"
- พอไปถึง คนขายก็ถกกระโปรงขึ้น แล้วพูดว่า "เอาเลยค่ะ ถอดเองตามสบายเลย"
- ชายคนซื้อก็ค่อย ๆ ถอดกางเกงในลงมาอย่างช้า ๆ จนถึงเข่า จากนั้นเขาก็รีบดึงกางเกงในขึ้นไป ใส่เหมือนเดิมทันที
- สาวคนขายก็เลยถามว่า "อ้าว...ทำไมพี่ไม่ถอดออกไปเลยล่ะคะ"
- ชายลูกค้าตอบว่า "ไม่มีตังค์" ^_______^"
19 วิธีป้องกันบ้านร้อน
หากจะมีบ้านสักหลังที่ยืนหยัดต่อสู้กับแดด ลม ฝนมาเป็นระยะเวลากว่า 19 ปี เชื่อว่าบ้านหลังนั้นคงต้องได้รับการออกแบบจากสถาปนิกอย่างพิถีพิถัน ก่อสร้างด้วยวิศวกรที่เอาใจใส่ มีการดูแลรักษาโดยเจ้าของบ้านด้วยหัวใจ เช่นเดียวกับบ้านของ H&D ที่รับใช้คุณผู้อ่านHome Feature ฉบับนี้จึงได้สรรหาสารพัดวิธีที่จะช่วยป้องกันบ้านจากความร้อนมาฝากกัน จะเป็นอย่างไรนั้นขอเชิญติดตามกันโดยพลัน
วางตำแหน่งบ้านและห้องต้องดูทิศ
1.บ้านหรืออาคารควรออกแบบให้วางตัวขวางทางทิศเหนือใต้ เพราะหลังคาและผนังจะโดนแดดน้อยและสามารถรับลมได้มากกว่าวางตัวอาคารหันไปทางทิศอื่น
2.ออกแบบแปลนบ้านแบบเปิดโล่ง(Open Plan)โดยการลดผนังที่ใช้กั้นห้องต่างๆ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องโถง ห้องรับประทานอาหาร เพื่อช่วยให้บ้านมีการระบายอากาศที่ดี ลมที่ผ่านเข้ามาภายในบ้านจะไหลเวียนดีขึ้น บ้านก็จะร้อนน้อยลง
3.ห้องที่มีการใช้งานน้อยเช่น ห้องเก็บของหรือโรงรถควรออกแบบให้ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเนื่องจากเป็นทิศที่ร้อนมากที่สุดของวัน เพื่อใช้เป็นแนวกันความร้อนให้กับบ้าน
4. ที่จอดรถ ลานซักล้างหรือพื้นผิวที่เป็นคอนกรีตไม่ควรอยู่เหนือลม เพราะลมจะพัดเอาความร้อนที่สะสมอยู่ในพื้นคอนกรีตเข้าสู่บ้าน
ป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าบ้าน
5.หลังคาเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และได้รับแสงตลอดทั้งวัน ไม่ควรมีสีเข้มเพราะสะสมความร้อน และควรมีความลาดชันประมาณ 50-60 องศาเพื่อช่วยบังแดดให้กับหลังคาอีกด้าน
6.ผนังด้านใดของบ้านที่ได้รับแสงมากให้เลือกใช้วัสดุที่ไม่สะสมความร้อน อย่างอิฐมวลเบาหรือก่อผนังสองชั้นร่วมกับการใช้ฉนวนกันความร้อนที่ผนังก็จะช่วยป้องกันความร้อนได้มากขึ้น
7.ผนังชนิดอื่นๆ เช่นผนังกระจกหรือหน้าต่างที่เป็นกระจกควรเลือกใช้กระจกชนิดฉนวนป้องกันความร้อน เช่นกระจกสีเขียวตัดแสงหรือกระจกสองชั้นซึ่งช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในบ้านได้
8.บ้านที่ออกแบบให้มีช่องแสงเพื่อประหยัดไฟ อย่าลืมว่าสิ่งที่มาพร้อมแสงแดดคือความร้อน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องมีช่องแสง ควรเจาะช่องแสงเพื่อรับแสงจากทางด้านทิศเหนือดีที่สุด จะได้แสงที่ไม่ร้อน
9.ออกแบบผนังด้านที่ได้รับความร้อนมากให้มีแผงกันแดดหรือระแนงไม้เพื่อให้กันความร้อนจากแสงกระทบกับผนังบ้านโดยตรง
ระบายอากาศร้อนจากภายในออกสู่ภายนอก
10.อากาศร้อนที่ผ่านเข้ามาในบ้านส่วนหนึ่งจะสะสมอยู่ใต้หลังคาและระบายออกที่ชายคารอบบ้าน การเจาะช่องระบายอากาศที่ชายคาควรอยู่ตรงข้ามกันในทิศเหนือและใต้ เพราะมีลมพัดผ่านประจำ ไม่ควรเจาะทุกด้าน เพราะความร้อนจะระบายออกในช่องที่ใกล้สุด จึงไม่เกิดการไหลเวียนของอากาศใต้หลังคา
11.เช่นเดียวกับการระบายความร้อนบนหลังคา ความร้อนที่เข้ามาในบ้านในระดับหน้าต่างก็ต้องมีการไหลเวียน ภายในห้องควรมีหน้าต่างอย่างน้อยสองด้านเพื่อให้ลมที่ผ่านเข้ามามีทางออก อย่าวางเฟอร์นิเจอร์หรือข้าวของบัง ทางลมอากาศในห้องจะมีการไหลเวียนเพิ่มขึ้นและช่วยลดความร้อนลงได้
12.เพื่อควบคุมการระบายอากาศให้ดียิ่งขึ้น จะติดตั้งพัดลมดูดอากาศที่ฝ้าเพดานเพื่อช่วยระบายอากาศใต้ฝ้าก็ได้ ตำแหน่งการติดตั้งพัดลมควรอยู่ตรงกันข้ามกับจุดที่มีลมพัดเข้าบ้าน
เตรียมพื้นที่ในบ้านให้เหมาะสม
13.เลือกใช้เครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับขนาดของห้อง ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป เพื่อไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักและเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
14.การเลือกเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านก็มีผลต่อการสะสมความร้อน ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เบา โปร่ง มีสีอ่อน เฟอร์นิเจอร์ที่หนาหนักนอกจากจะเก็บความร้อนแล้วยังสะสมฝุ่นละอองอีกด้วย
15.ใช้เฟอร์นิเจอร์บิลท์อินป้องกันความร้อน เช่น ตู้เก็บหนังสือ ชั้นวางโทรทัศน์ ตู้โชว์ โดยออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของผนัง เพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอกที่ผ่านเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง
16.เลือกใช้ผนังเบาทำผนังภายในห้องปรับอากาศจะช่วยลดความร้อนที่สะสมได้ดีกว่าผนังก่ออิฐฉาบปูน แต่กันเสียงได้ไม่ดีเท่าผนังก่ออิฐฉาบปูน
ปรับสภาพแวดล้อมรอบบ้านเพื่อป้องกันความร้อน
17.ปลูกต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสูง เพื่อช่วยลดอุณหภูมิจากลมร้อนภายนอกที่พัดเข้ามาในบ้านและยังได้ร่มเงาในการป้องกันแดดให้กับบ้านได้อีกด้วย
18.ปลูกพืชคลุมดินแทนการเทคอนกรีตในบริเวณบ้าน เช่นที่จอดรถ อาจจะเปลี่ยนมาใช้บล็อกตัวหนอนที่สามารถปลูกหญ้าสลับได้
19.เปลี่ยนจากรั้วทึบเป็นรั้วโปร่ง เพื่อช่วยให้ลมสามารถพัดเข้าบ้านได้สะดวก แถมยังช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้อีกด้วย บางส่วนของรั้วที่เป็นคอนกรีตให้ปลูกไม้เลื้อยเพื่อช่วยลดความร้อนที่รั้วบ้าน
ความเชื่อผิดๆ ...เมื่อจะซื้อรถมือสอง
เต็นท์ต้องย้อมแมวเสมอ - รถบ้านต้องสภาพดีกว่า
ความเชื่อผิด :
คนส่วนใหญ่ยังเชื่อกันอยู่ว่า การซื้อรถมือสองจากผู้ประกอบการ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เต็นท์รถมือสอง ต้องเสี่ยงต่อการย้อมแมว ต้องถูกหลอก มักเอารถเน่ามาหลอกขาย สารพัดจะเละทั้งตัวถังห่วย ชนยับ เครื่องยนต์ช่วงล่างซ่อมแบบขอไปที มีส่วนจริงบ้างเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกเต็นท์ ส่วนรถที่ประกาศขายเองตามหน้านิตยสาร หนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต ตั้งกล่องจอดข้างทางประกาศขาย หรือที่เรียกกันว่า รถบ้าน หลายคนรีบมองว่า น่าจะสภาพดีกว่ารถเต็นท์ เพราะเจ้าของใช้เอง ขายโดยไม่มีคนกลางราคาถูกกว่า รถก็สภาพดีกว่า ไม่มีการย้อมแมว
ความเป็นจริง :
ของมือสองจะมีสภาพดีหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับแหล่งที่ขายเท่าไรนัก ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลและการใช้งานของเจ้าของเดิมและการปรับสภาพของผู้ขาย(ซึ่งอาจเป็นหรือไม่เป็นคนเดียวกับเจ้าของเดิม)เรื่องเต็นท์ย้อมแมว มีมาตลอดและยังมีอยู่เสมอ เพราะหลายคนทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้าน เน้นกำไรสูงๆ ไว้ก่อน ลูกค้ารู้ภายหลังไม่สน แต่เต็นท์หลายแห่งในระยะหลังมานี้ ต้องการทำธุรกิจระยะยาว ไม่รับซื้อรถสภาพแย่ๆ รถที่ขายอยู่ก็มีสภาพดี เพื่อให้ขายง่ายและสร้างชื่อเสียง ในระยะยาว เพื่อให้ลูกค้าคนเดิมวนกลับมาซื้ออีกหรือปากต่อปากบอกเพื่อนๆ ย่อมดีกว่าย้อมแมวขายแล้วลูกค้าสาปส่ง เรื่องนี้ต้องแล้วแต่นโยบายทางธุรกิจ
ส่วนรถบ้านนั้น มีทั้งแท้และเทียม เพราะพ่อค้ารถทราบดีว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่ เชื่อมั่นว่ารถบ้านต้องสภาพดีราคาถูก ผู้ซื้อมักจะชะล่าใจตัดสินใจง่ายไม่ดูละเอียด จึงใช้วิธีเช่าบ้านเอารถไปจอดขายทีละคันสองคัน ซึ่งก็ไม่แพงเท่าไร ค่าเช่าเดือนละไม่กี่พันบาท แล้วอาจจะอยู่อาศัยเองด้วย หรืออาจจะใช้วิธีฝากขายกับคนที่ไว้ใจ ปลอมเป็นรถบ้าน สังเกตได้ว่าผู้ขายจะไม่ค่อยรู้รายละเอียดของรถคันนั้น อ้ำอึ้งเมื่อถูกถามลึกๆ และที่สำคัญคือ ชื่อในสมุดทะเบียน จะไม่ใช่ผู้ขายคนนั้น
ส่วนรถบ้านแท้ๆ ขายโดยเจ้าของจริง ไม่จำเป็นว่ารถจะมีสภาพดี เพราะเขาอาจจะดูแลรถมาไม่ดี จนเต็นท์ไม่รับซื้อหรือไม่รับเทิร์น เลยต้องมาขายเอง เป็นเรื่องแปลกที่รถบ้านซึ่งซ่อมแบบขอไปที ไม่ถูกเรียกว่าย้อมแมว
ความเข้าใจที่ถูกต้อง :
ให้ความเป็นกลางในใจในเรื่องของแหล่งที่ขาย ให้คิดว่าไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็มีโอกาสถูกย้อมแมวได้พอกัน จะได้ไม่ชะล่าใจ
สีสวย คือ สภาพดี อาจเพราะทำมาใหม่
ความเชื่อผิด :
ไม่แปลกที่เมื่อเห็นรถคันใดสีสวยเงางาม ไม่มีรอยเฉี่ยวชนค้างอยู่ หลายคนจะคิดไปก่อนเลยว่า รถคันนี้สภาพดี เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็น เป็นอย่างแรก และไม่ซับซ้อนในการดู ถึงจะซ่อมสีมาหรือพ่นใหม่ทั้งคัน แต่ถ้าทำมาเรียบร้อย ไม่เป็นคลื่นเป็นลอน อย่างน้อยก็ดูดี และอาจทำให้ผู้ซื้อชะล่าใจ ดูส่วนอื่นไม่ละเอียด
ความเป็นจริง :
สีสวยแต่อาจเป็นเพราะซ่อมมาแล้วหรือทำมาใหม่ทั้งคัน หลังจากเกิดอุบัติเหตุ สวยเงางามไม่พอ จำเป็นต้องดูในรายละเอียดว่า ทำไมถึงสีเนียน เป็นสีเดิมจากโรงงานจริง หรือสีพ่นใหม่ ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับอายุของรถด้วย ถ้ารถใหม่อายุไม่เกิน 7-8 ปี ซึ่งเป็นอายุเฉลี่ยของสีจากโรงงานผลิตที่พอจะทนอยู่ได้ ก็ไม่ควรจะมีการทำสีใหม่มาทั้งคัน ถ้าเคยซ่อมสีมาแผลสองแผลพอทำใจได้ หากทำสีมาทั้งคัน สันนิษฐานได้ 2 สาเหตุหลัก คือ เกิดอุบัติเหตุหนักหรือจอดตากแดดขาดการดูแล เพราะรถปีใหม่ๆ นั้นในแวดวงเขาเน้นกันว่าต้องสีเดิมโดยผู้ขายมักจะบอกเน้นมากๆ ถ้าเป็นสีเดิมทั้งคัน เพราะจะชัดเจนว่า รถคันนั้นไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย ส่วนรถเก่าอายุเกิน 10 ปี แน่นอนว่าต้องมีการทำสีมาใหม่ แต่ควรจะใหม่แบบเรียบร้อย ไม่ใช่ใหม่แต่ภายนอก แต่ภายในหมกเม็ดเลอะเทอะ ทำแบบลวกๆ
ความเข้าใจที่ถูกต้อง :
สีเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น สวยแต่เปลือกก็มีเยอะ ถ้าเป็นรถใหม่ สีเดิมจากโรงงานย่อมดีที่สุด หลีกเลี่ยงการซื้อรถปีใหม่ๆ ที่ทำสีมาใหม่ทั้งคัน เพราะยังไงก็ไม่เนี้ยบไม่ทนเท่าสีโรงงาน ส่วนรถเก่าถ้าทำสีมาใหม่ ควรสวยทั้งนอกทั้งใน ละอองสีไม่เลอะเทอะ และอย่าลืมดูส่วนอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย เพราะไม่ใช่สีสวยแล้วตัวถังต้องดีเสมอไป
เคาะ..ป๊องๆๆ บางทั้งคัน อาจบางแค่ภายนอก
ความเชื่อผิด :
ความบางจากการเคาะด้วย มะเหงกนั้น หมายถึง ตัวถังบางมีแต่เหล็กกับเนื้อสี ไม่มีสีโป๊วทับเนื้อเหล็กอยู่ใต้สีชั้นนอก ถ้าเคาะแล้วบาง เสียงก้องๆ ดังป๊องๆๆๆ เสียงไม่ทึบ แสดงว่าบาง ไม่เกิดอุบัติเหตุมา ไม่มีการชน แล้วเคาะซ่อมแล้วโป๊วสีทับ ผู้ขายบางคนรีบบอกเลยว่า รถคันที่จะขายบางทั้งคัน ป๊องทั้งคัน เพื่อแสดงว่าไม่มีการชนหนักมาก่อน ผู้ซื้อจะได้สนใจ
ความเป็นจริง :
การเคาะด้วยหลังมือไปทั่วคันรถ สามารถตรวจสอบความบางของตัวถังด้านนอกได้ว่า มีสีโป๊วทับหรือไม่ แต่การที่ตัวถังในส่วนที่เคาะนั้นบาง ไม่ได้หมายความว่ารถคันนั้นไม่เคยเกิดอุบัติเหตุหนักๆ ทุกชิ้นที่อยู่ภายนอกอาจบาง ทั้งที่รถคันนั้นเคยชนเละมาแล้ว เพราะซ่อมแบบเปลี่ยนทั้งชิ้น เช่น เปลี่ยนประตูทั้งบาน ฝากระโปรงทั้งชิ้นหรือแม้แต่แผ่นหลังคา ถึงจะคว่ำมา ก็เปลี่ยนหลังคาทั้งแผ่นได้ ถ้าซ่อมโดยวิธีเคาะดึงโครงสร้างข้างในแล้ว ชิ้นนอกใช้วิธีเปลี่ยนเอา หลังมือเคาะ ยังไงก็ป๊องๆ ยังไงก็บางทั้งคัน
ความเข้าใจที่ถูกต้อง :
การเคาะตัวถังภาย นอกบอกไม่ได้ว่า รถคันนั้นไม่เคยชน เพราะบอกได้แค่ว่า ชิ้นนั้นไม่เคยชน แต่ข้างในนั้นอาจชนมาเละ แล้วเปลี่ยนชิ้นใหม่ภายนอกมา อะไหล่ตัวถังทั้งแท้ เทียบ เทียม ใหม่ เก่า มีให้เลือกเปลี่ยนอย่างสะดวก เมื่อเคาะฟังเสียงข้างนอกแล้ว ที่สำคัญคือ ต้องดูตะเข็บ รอยเชื่อม รอยอาร์คภายในทุกจุด เท่าที่จะดูได้อย่างละเอียด ถึงจะทราบได้ว่ารถคันนั้นเคย เกิดอุบัติเหตุหนักๆหรือไม่ การเคาะแล้วเสียงป๊องๆ เป็นส่วนประกอบย่อยเท่านั้น ยุคนี้ชิ้นไหนๆ ก็เปลี่ยนกันได้ในราคาไม่แพง
เลขระยะทางบนหน้าปัด อย่าเชื่อมาก
ความเข้าใจผิด :
แม้คนส่วนใหญ่จะพอทราบกันว่า เลขกิโลเมตรบนมาตรวัดระยะทางหรือเรียกกันแบบชาวบ้านว่า ไมล์ (ทั้งที่ไม่ใช่ระยะเป็นไมล์) สำหรับการซื้อ ขายรถมือสองนั้นเชื่อถือแทบไม่ได้ เพราะสามารถหมุนเลขกลับได้ง่าย มีช่างเก่งๆรับทำให้ในราคาคันละ 500-1,000 บาทเท่านั้น แต่ผู้ซื้อก็อดไม่ได้ที่จะดูเลขไมล์ ประกอบการตัดสินใจด้วยเสมอ ดูเลขไมล์แล้ว ก็ไม่ค่อยเชื่อ บางคนยังไล่ไปดูร่องรอยการรื้อหน้าปัดด้วย ส่วนรถที่ใช้เลขไมล์เป็นดิจิตอล คนส่วนใหญ่คิดว่าเปลี่ยนแปลงจากการใช้งานจริงไม่ได้ ทั้งที่บางคันอาจทำ แต่อาจจะยากกว่าแบบอนาล็อก
ความเป็นจริง :
ไม่ควรถือว่าเลขไมล์บนมาตรวัดเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจ ควรดูสภาพส่วนอื่นที่สำคัญมากกว่าการเชื่อตัวเลขบนหน้าปัด เพราะสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ทั้งแบบอนาล็อกและดิจิตอล โดยในแบบหลังนั้น อาจจะใช้วิธีป้อนสัญญาณให้เลขวิ่งเดินหน้าจนกลับมาขึ้นรอบใหม่ก็เป็นได้
ความเข้าใจที่ถูกต้อง :
เลขไมล์แทบไม่มีผลต่อการตัดสินใจ ถ้าสภาพของอุปกรณ์อื่นไม่สอดคล้องกัน เช่น เลขไมล์น้อย แต่เบาะทรุด เปื่อย ปุ่มกดต่างๆ เลอะเลือนหรือถูกกดจนเลี่ยนมนไปหมดแล้ว
รถเต็นท์ราคาแพง - รถบ้านราคาถูก
ความเชื่อผิด :
ความเชื่อนี้ไม่ผิดเท่าไรนัก เพราะรถในเต็นท์ส่วนใหญ่ มักจะมีราคาแพงกว่ารถบ้านแท้ๆ เพราะทำธุรกิจก็ต้องมีกำไร หรือต้องมีค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพ รถเต็นท์ย่อมต้องเนี้ยบ ส่วนรถบ้านนั้นอะไรพังนิดพังหน่อย เฉี่ยว นิดๆ หน่อยๆ แล้วยังไม่ซ่อม ก็ไม่มีใครว่า แต่รถบ้านบางคันอาจจะตั้งราคาไว้แพง เพราะเจ้าของศึกษาราคาจากรถเต็นท์ที่ประกาศไว้ หรือแพงโอเวอร์ไปเลยก็ยังมี และคิดไปเองว่าจะขายได้ราคาตามนั้น ทั้งที่ในเต็นท์นั้นเป็นแค่ราคาตั้ง พอซื้อจริงอาจจะลดได้อีกมากก็เป็นได้
ความเป็นจริง :
ในเต็นท์อาจแพงกว่ารถบ้าน แต่ถ้าซื้อเป็นเงินผ่อนก็สะดวกดี เพราะมีบริการหรือติดต่อแหล่งเงินกู้ให้ได้ หรือถ้าบางเต็นท์ร้อนเงิน หรือใช้นโยบายเงินหมุนเร็ว กำไรนิดหน่อยก็ขายดีกว่าแช่นาน ราคาก็อาจไม่แพง
ความเข้าใจที่ถูกต้อง :
ตั้งเงื่อนไขในการซื้อไว้ว่า ราคาไม่เกี่ยวกับแหล่งที่ขาย จะซื้อที่ไหน ขอให้สภาพดีแล้วมีราคาที่เหมาะสมกันเป็นพอ ถูกแต่สภาพไม่ดี ก็ไม่น่าสน
เต็นท์รับประกัน ซ่อมฟรี ดูแลฟรี ไม่ดีคืนเงิน
ความเชื่อผิด :
บริการหลังการขายตามโฆษณาซ่อมแบบค่าแรงฟรีเป็นระยะยาว คิดว่าช่างจะดี บริการเยี่ยม เสียแต่ค่าอะไหล่ หรือซื้ออะไหล่เข้าไปเองได้
ความเป็นจริง :
เมื่อใช้บริการจริงกลับพบกับสารพัดปัญหา ช่างไม่เก่ง ค่าแรงฟรีจริง แต่บวกลงไปในค่าอะไหล่จนแพงเกินจริงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ จะซื้ออะไหล่ไปให้ก็อิดออด สารพัดจะบอกปัด เป็นเรื่องปกติครับ ขายรถมือสอง 1 คันได้กำไรไม่กี่บาทจะมาดูแลหรือซ่อมฟรีกันในระยะยาวได้อย่างไร แทบไม่เคยเห็นเต็นท์ไหนประกาศออกมาแล้วบริการจริงๆ ได้ดีเลย
ความเข้าใจที่ถูกต้อง :
ไม่ต้องสนใจเงื่อนไขซ่อมแบบค่าแรงฟรี ยกเว้นเรื่องการรับประกันที่บางเต็นท์มีให้ในระยะสั้นเช่น 1 เดือนซ่อมฟรีแบบไม่มีข้อแม้ ก็ควรทำเอกสารรับประกันให้รัดกุมและชัดเจนที่สุด
การเลือกรถยนต์มือสอง แบบที่ผู้ซื้อดูอะไรไม่เป็นเลย นอกจากสีเงาๆ และทดลองขับดู เป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างมาก ถ้าสนใจจริงๆ ควรหาคนที่มีความรู้มากกว่า ถึงจะไม่เก่งมากแต่ก็ยังดี และที่สำคัญคือ ลบความเชื่อผิดๆ ออกไปก่อน !
22 ก.พ. 2552
ข้อเข่าเสื่อม
อาการสำคัญ ของโรคข้อเข่าเสื่อม
-ปวดข้อเข่า รู้สึกเมื่อย ตึงที่น่องและข้อพับเข่า
-รู้สึกว่าข้อเข่าขัด ๆ เคลื่อนไหวข้อได้ไม่เต็มที่
-มีเสียงดังในข้อ เวลาขยับเคลื่อนไหวข้อเข่า
-ข้อเข่าบวม มีน้ำในข้อ
-เข่าคดผิดรูปร่าง หรือ เข่าโก่งซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะพบบางข้อหรือหลายข้อพร้อมกันก็ได้ ในระยะแรก
อาการเหล่านี้มักจะค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ และ เป็น ๆ หาย ๆ
เมื่อโรคเป็นมากขึ้นก็จะมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น เป็นบ่อยขึ้น และอาจจะมีอาการตลอดเวลา
การเอ๊กซเรย์ ข้อเข่าก็จะพบว่ามี
-ช่องของข้อเข่าแคบลง
-มีกระดูกงอกตามขอบของกระดูกเข่าและกระดูกสะบ้า
-ข้อเข่าคดงอ ผิดรูป เข่าโก่งซึ่งลักษณะที่พบนี้ ก็อาจพบได้ในข้อเข่าของผู้สูงอายุปกติทั่วไป โดยที่ไม่มีอาการเลยก็ได้
ดังนั้นการจะบอกว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไม่โดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์สามารถบอกได้ จากประวัติของความเจ็บป่วย อาการ อาการแสดงที่เป็นอยู่ และ การตรวจร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้องเอ๊กซเรย์
การเอ๊กซเรย์จะทำก็ต่อเมื่อแพทย์สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคอื่น สงสัยว่าอาจจะมีภาวะแทรกซ้อน หรือ ในกรณีที่ต้องทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด
แนวทางรักษา มีอยู่หลายวิธี เช่น
-การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
-ทำกายภาพบำบัด
-การกินยาแก้ปวดลดการอักเสบ
-การผ่าตัด เพื่อจัดแนวกระดูกใหม่
-การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ จุดมุ่งหมายในการรักษาทุกวิธีก็คือ ลดอาการปวด ทำให้เคลื่อนไหวข้อได้ดีขึ้น ป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปร่างของข้อ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันหรือทำงานได้เป็นปกติ
การกินยาแก้ปวด หรือ การผ่าตัด ถือว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ถ้าผู้ป่วยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน และ ไม่บริหารข้อเข่า ผลการรักษาก็จะไม่ดีเท่าที่ควร
วิธีการรักษา ที่ได้ผลดี เสียค่าใช้จ่ายน้อย ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง คือ
-การลดน้ำหนัก
-การบริหารข้อ
-การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ข้อแนะนำในการรักษาด้วยตนเอง ดังนี้
1 ลดน้ำหนักตัว เพราะเมื่อเดินจะมีน้ำหนักลงที่เข่าแต่ละข้างประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตัว แต่ถ้าวิ่ง น้ำหนักจะลงที่เข่าเพิ่มเป็น 5 เท่าของน้ำหนักตัว ดังนั้น ถ้าลดน้ำหนักตัวได้ ก็จะทำให้เข่าแบกรับน้ำหนักน้อยลง การเสื่อมของเข่าก็จะช้าลงด้วย
2 ท่านั่ง ควรนั่งบนเก้าอี้ที่สูงระดับเข่า ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาแล้วฝ่าเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี ไม่ควร นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งคุกเข่า นั่งยอง ๆ หรือนั่งราบบนพื้น เพราะท่านั่งดังกล่าวจะทำให้ ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมากขึ้น ข้อเข่าก็จะเสื่อมเร็วขึ้น
3 เวลาเข้าห้องน้ำ ควรนั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก หรือ ใช้เก้าอี้ที่มีรูต้องกลาง วางไว้เหนือ คอห่าน ไม่ควรนั่งยอง ๆ เพราะทำให้ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมาก และเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขา ถูกกดทับ เลือดจะไปเลี้ยงขาได้ไม่ดี ทำให้ขาชา และมีอาการอ่อนแรงได้ ควรทำที่จับยึดบริเวณด้านข้างโถนั่งหรือใช้เชือก ห้อยจากเพดานเหนือโถนั่ง เพื่อใช้จับพยุงตัว เวลาจะลงนั่งหรือจะลุกขึ้นยืน
4 นอนบนเตียง ซึ่งมีความสูงระดับเข่า ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงแล้วฝ่าเท้าจะแตะพื้นพอดี ไม่ควรนอนราบบนพื้นเพราะต้องงอเข่าเวลาจะนอนหรือจะลุกขึ้น ทำให้ผิวข้อเสียดสีกันมากขึ้น
5 หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได
6 หลีกเลี่ยงการยืนหรือ นั่งในท่าเดียวนาน ๆ ถ้าจำเป็นก็ให้ขยับเปลี่ยนท่าหรือขยับเหยียด-งอข้อเข่า เป็นช่วง ๆ
7 การยืน ควรยืนตรง ให้น้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน ไม่ควร ยืนเอียงลงน้ำหนักตัวบนขาข้างใดข้าง-หนึ่ง เพราะจะทำให้เข่าที่รับน้ำหนักมากกว่าเกิดอาการปวด และข้อเข่าโก่งผิดรูปได้
8 การเดิน ควรเดินบนพื้นราบ ใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย(สูงไม่เกิน 1 นิ้ว) หรือ แบบที่ไม่มีส้นรองเท้า พื้นรองเท้านุ่มพอสมควร และ มีขนาดที่พอเหมาะเวลาสวมรองเท้าเดินแล้วรู้สึกว่ากระชับพอดี ไม่หลวมหรือคับเกินไป ไม่ควร เดินบนพื้นที่ไม่เสมอกันเช่น บันได ทางลาดเอียงที่ชันมาก หรือทางเดินที่ขรุขระเพราะจะทำให้น้ำหนักตัวที่ลงไปที่เข่าเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่าย
9 ควรใช้ไม้เท้า เมื่อจะยืนหรือเดิน โดยเฉพาะ ผู้ที่มีอาการปวดมากหรือมีข้อเข่าโก่งผิดรูป เพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวที่ลงบนข้อเข่าและช่วยพยุงตัวเมื่อจะล้ม แต่ก็มีผู้ป่วยที่ไม่ยอมใช้ไม้เท้า โดยบอกว่า รู้สึกอายที่ต้องถือไม้เท้า และไม่สะดวก ทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น และ เสี่ยงต่ออุบัติเหตุหกล้มสำหรับวิธีการถือไม้เท้านั้น ถ้าปวดเข่ามาก ข้างเดียวให้ถือไม้เท้าในมือด้านตรงข้ามกับเข่าที่ปวด แต่ถ้าปวดเข่าทั้งสองข้างให้ถือในมือข้างที่ถนัด
10 บริหารกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อเข่า ให้แข็งแรง เพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อได้ดีขึ้น และสามารถทรงตัวได้ดีขึ้นเวลายืน หรือ เดิน การออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนักที่เข่ามากนัก เช่น การเดิน การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เป็นต้น
โรคข้อเข่าเสื่อมรักษาไม่หายขาด แต่ก็มีวิธีที่ทำให้อาการดีขึ้นและชะลอความเสื่อม ให้ช้าลง ทำให้ท่านสามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะทำได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของท่านเองเป็นสำคัญ
กาแฟ เพื่อสุขภาพ
1. ไม่จริง...ว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ถ้าคุณดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย
2. ไม่รู้ใช่ไหม... กาแฟช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน
3. ต้องดื่มบ่อยๆ... สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย
4. กาแฟดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร... เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ
5. ระวังไว้นิดก็ดี... องค์ประกอบหลักของกาแฟคือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดกาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล
6. ดีแคฟ... ไม่ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย อะไรที่มากหรือน้อยเกินพอดีล้วนมีโทษทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ และรสชาติที่พอดี แล้วจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ
จากประสบการณ์ และ คำแนะนำจากผู้ดูแลสุขภาพ เขาให้คำแนะนำว่า การดื่มกาแฟ 1 แก้วแล้ว ให้ดื่มน้ำ 2 แก้วเป็นอย่างน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ไตทำงานหนักเกินไป โรคที่เกี่ยวเนื่องกับไต และ อวัยวะภายใน จะได้ไม่มีผลจากการดื่มกาแฟครับ...
ลายเซ็นต์ เสริมดวง
ลายเซ็นที่ช่วยส่งเสริมดวงในด้านอำนาจบารมี คือ ลายเซ็นที่เซ็นอักษรตัวแรกให้ใหญ่กว่าตัวอักษรบริวาร ตัวอักษรแรกที่นำหน้าชื่อ ถ้าเซ็นตัวโตๆ ดูโอ่อ่าสง่างาม ไม่มีเส้น มีขีดใดดัดแทงตัวเอง ก็จะส่งผลให้เด่นในทางลาภยศ ชื่อเสียง ดวงจะมีบริวารแวดล้อมเสมอ มีพวกพ้องมากหรือ คนคอยสนับสนุนส่งเสริมด้วยดี เด่นทางบารมี จับงานใด มีแต่ความสำเร็จก้าวหน้าไม่ยาก มักมีโอกาสได้จับงานใหญ่ คนที่เป็นผู้นำคน ควรเซ็นชื่อให้ได้ลักษณะดังกล่าวนี้
ลายเซ็นเสริม "สังคมเด่น"
ลายเซ็นที่เห็นได้ชัดว่าเซ็นเป็นตัวอักษรที่ค่อนข้างกว้าง และเอนขวา จะบอกถึงความเป็นคนกระตือรือร้น และมีทักษะดีในเรื่องการติดต่อคบหากับผู้คน ลายเซ็นลักษณะนี้ ส่งเสริมดวงในด้านสังคม ถ้าชีวิตของคุณค่อนข้างเงียลเหงา หรือถ้าทำงานในลักษณะที่ต้องการความสำเร็จราบรื่นจากการติดต่อพบปะผู้คน ก็ควรลองปรับเปลี่ยนลายเซ็น โดยเซ็นตัวอักษรให้เปิดกว้างขึ้น และเซ็นให้เอนไปทางขวาสักเล็กน้อย ดูรวมแล้วต้องพลิ้วไหวต่อเนื่อง ไม่แข็งเกินไป
ลายเซ็นเสริมดวง "ร่ำรวย โชคดี"
อักษรนำหน้าชื่อตัวและนามสกุล ควรเซ็นให้มีลายเส้นตวัดเป็นรูปลักษณ์คล้ายแอ่งเก็บเงินเก็บทอง ถ้าตัวอักษรขึ้นต้นไม่เอื้ออำนวย ก็เซ็นตัวอักษรใดก็ได้ในชื่อและนามสกุล ให้มีลักษณะเป็นแอ่งเก็บเงิน เพื่อสร้างเสริมดวงการเงินให้เฟื่องฟู เก็บเงินอยู่ หาเงินได้ มีแต่ความร่ำรวยและมีโชคลาภอยู่เสมอ
ลายเซ็นเสริม "ความสำเร็จในอนาคต"ให้เส้นปลายของลายเซ็น ตวัดพุ่งขึ้น หรือเซ็นตัวสุดท้ายใหญ่ขึ้น เพื่อแสดงถึงอนาคตที่ประสบความสำเร็จอย่างดี จะมีบั้นปลายชีวิตที่สุขสบาย และพรั่งพร้อมด้วยลาภยศ
ลายเซ็นเสริม "โชคดี มีเงิน มีเสน่ห์"
ลายเซ็นที่มีการตวัดเส้นสายเป็นลักษณะของช้อน ของถุงเป็นแอ่ง เป็นอ่าง หรืออะไรก็ตามที่คล้ายตัวยู (U) ถือว่าเป็นลักษณะที่ดี ไม่ว่าจะเป็นถุงมน - กลม มีความโค้งหรือเหลี่ยม ถือเป็นสัญลักษณ์ที่เรียกโชคดีมาให้เจ้าของลายเซ็น ซึ่งจะมีเงินมีทองเข้ามา เป็นที่รักใคร่ชื่นชมของผู้คนทั่วไป
ลายเซ็นเสริม "ปัญญาดี เจ้าความคิด"
ลายเซ็นที่เซ็นเป็นรูปสัญลักษณ์ต่างๆ คือ เซ็นอ่านไม่ออก ไม่ได้เซ็นเป็นตัวอักษร แต่ดูคล้ายรูปอะไรบางอย่าง เช่น คล้ายสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม วงรี นอกจากรูปทรงเรขาคณิตแล้ว ยังอาจหมายถึง สัญลักษณ์อื่นๆ เช่น รูปหัวใจ รูปสัตว์ บ่งบอกถึงความเป็นคนมีความคิดลุ่มลึก สมองดี มีความปราดเปรื่อง ใฝ่รู้
ลายเซ็นเสริม "ความเจริญ รุ่งเรือง"
เซ็นชื่อให้อยู่ในโซนสูง หรือมีการลากเส้นขึ้นไปอยู่ในโซนสูงบ้าง เพื่อสร้างเสริมความเจริญรุ่งเรือง (โซนสูง คือ ช่วงที่อยู่เหนือแนวบรรทัดที่เซ็นชื่อ) ผู้ที่เซ็นชื่อและนามสกุล โดยมีการลากเส้นพุ่งขึ้นสู่โซนสูงหลายครั้ง มักจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยดี มีความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง มีความคิดฝันชัดเจน มีชีวิตก้าวหน้าเป็นลำดับ
ลายเซ็นเสริม "ฐานะความมั่นคง"
ให้ขีดเส้นใต้ลายเซ็น ถ้าลากเส้นเป็นเส้นตรงๆ และยาวจากใต้ชื่อไปยังใต้นามสกุล คือ ลากยาวจากตัวแรกของชื่อตัว ยาวไปจนถึงอักษณตัวสุดท้ายของนามสกุล เป็นลักษณะที่ดี ส่งเสริมด้านความมั่นคงของฐานะความเป็นอยู่ จะมีอำนาจวาสนาดี มีบริวารแวดล้อม มีผู้ส่งเสริมสนับสนุนด้วยดี มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี
ลายเซ็นเสริม "เสน่ห์"ลายเซ็นที่จะส่งเสริมเสน่ห์เป็นลายเซ็นที่ควรมีความกลมมน อ่อนช้อย ลายเส้นพลิ้วไหวต่อเนื่อง ไม่เป็นเส้นแข็งๆ ไม่พุ่งตวัดเป็นมุมแหลม
ลายเซ็นเสริม "ความเด่นดัง"
ลายเซ็นที่มีลักษณะเป็นวงกลม หรือวงรี แต่กว้างคล้ายลูกโป่ง การเซ็นลากเส้นสายพลิ้วไหวเชื่อมโยงกันอย่างสมดุล ไม่มีลักษณะตวัดอย่างรุนแรงหรือสะดุดขาดตอนเลย อีกทั้งยังเซ็นชื่อเป็นแนวตั้งตรง แนวโซนบนมีความใหญ่โตเอิกเกริกอลังการ ลักษณะนี้ส่งอิทธิพลทางชื่อเสียง ความสำเร็จอันโดดเด่น ซึ่งจะได้มาจากผลงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ชีวิตของคนที่เซ็นชื่อแนวนี้จะมีความมั่นคงดี ไม่มีตกต่ำ และถ้าในลายเซ็นมีพื้นที่เป็นอ่างเป็นแอ่งมากกว่า 1 จุด เซ็นอย่างนี้จะมีแต่รวยกับรวยเท่านั้น เพราะมีอ่างตักเงินเยอะ
ลายเซ็นเสริม "ความสำเร็จในอนาคต"
ให้ดูตัวท้ายของนามสกุล หรือตัวท้ายของลายเซ็น (ถ้าเซ็นชื่อตัวเดียวก็ดูท้ายชื่อ) ถ้ามีการลากหางที่ยาวออกไป ไม่ว่าจะลากยาวในแนวเส้นตรงหรือยาวเฉียงเอียงสูงขึ้น ก็ถือว่าเป็นลักษณะของเส้นสายลายเซ็นที่ดี บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่งขึ้น พยายามเซ็นโดยตวัดหรือลากเส้นออกไปอีกสักหน่อย เพื่อให้ได้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายในอนาคต
ลักษณะต้องห้ามในลายเซ็น
1.เซ็นตัดตัวเอง ห้ามเซ็นตัดตัวเองในตำแหน่งแรก จะมีความหมายไม่ดีต่อสุขภาพ ร่างกาย เป็นการตัดหือทิ่มแทงตัวเอง หรือเซ็นตัดทุกตำแหน่ง ต้องแก้ไขนะ เป็นเรื่องที่ซีเรียสมากสำหรับลายเซ็น เดี่ยวจะขยายความเรื่องลายเซ็นกับสุขภาพ ตัวอย่างลายเซ็นตัดตัวเอง
2.เซ็นเป็นเส้นแทง หรือ เส้นเพิ่มที่แทงเข้าตัวอักษร เช่น ส ที่มีเส้นหางตัดเข้าไปในตัว หรือ เส้นที่มีหางตวัดลงมาแทงชื่อตัวเอง ล เส้นแทงมีความหมายถึงการทำร้ายตำแหน่งของตัวเอง ตัวอย่างเส้นแทงที่พบบ่อยคือ เกิดจากรูปแบบตัวอักษร ส. ศ. เกิดจากวิธีการเขียน ธ. ร.
3.เซ็นพยัญชนะเกินกรอบ ไม่มีอักษรส่วนเกินออกนอกเส้นกรอบ แต่หลักการคืออย่าเขียนออกนอกกรอบและเขียนเกินตัวอักษร
4.เซ็นพันกัน อย่าเซ็นพันกัน ลายเซ็นที่มีลักษณะที่พันกันยุ่งเหยิงเหมือนเส้นด้าย เปรียบเสมือนชีวิตที่พบกับความยุ่งยาก ไม่สามารถสะสางปัญหาได้ และจะมีอุปสรรคในชีวิต ขาดระบบระเบียบ ขาดการจัดการ ระบบความคิดไม่ดี ส่วนมากลายเซ็นแบบนี้จะเป็นโรคประสาท
5.เซ็นสระยาวเกินไป อย่าลากสระยาวเกินความจำเป็น การลากสระอุ สระอู ยาวเกินไปจะบ่งบอกถึงว่า ลายเซ็นส่วนใหญ่อยู่ในโซนตํ่า สิ่งเหล่านี้จะบอกถึงเรื่องอดีตเก่า ๆ ที่ผ่านมา
6.เซ็นตัวอักษรขาด อย่าลากตัวอักษรขาด หมายความว่า เซ็นพยัญชนะเดียวแต่ยกปากกาขึ้น ทำให้ตัวพยัญชนะขาดออกจากกัน เช่น คำว่า “ปกรณ์” แบบนี้ จะทำให้พยัญชนะนำของตัวอักษรสำคัญขาด อันนี้เสียหายมาก เป็นอันตรายทีเดียว หรือย่างเช่น ทศธรรม ถ้าเขียนอย่างนี้ ความไม่สมบูรณืของตัวอักษรตัวพยัญชนะประธานก็คือความไม่สมบูรณ์ของตัวคุณเอง
7.เซ็นสระที่อยู่หน้าเป็นกำแพง อย่าเซ็นสระเป็นกำแพงกั้นตัวเอง อย่างที่อธิบายไปแล้วในวิธีการเซ็นสระ ซึ่งบางคนอาจจะเห็นว่ายุ่งยากก็สามารถตัดออกจากลายเซ็นได้ โดยไม่เสียหายอะไร
8.เซ็นกลับหลัง อย่าเซ็นกลับหลัง เช่น เซ็น ส. แทนที่จะเป็น ส. ก็เซ็นเป็น s การทำแบบนี้ทำให้ระบบต่าง ๆ ในความคิดผิดปกติ พยัญชนะขาดพลังและขาดทิศทางที่ถูกต้อง
ล้างรถอย่างมืออาชีพ
เดี๋ยวนี้สะดวกสบายกันมากขึ้น สำหรับการทำความสะอาดรถแต่ละครั้ง เพราะมีการให้บริการทั้งแบบอัตโนมัติและแบบอัตโนมือกันให้เกร่อ แต่หลาย ๆ คน ก็ต้องการดูแลทะนุถนอมรถที่รัก ดุจดวงใจด้วยตัวเอง เรามีวิธีล้างรถให้ได้อย่างมืออาชีพมาแนะนำกัน
1. หลาย ๆคนคงเจอกับตัวเองที่เข้าไปล้างรถตามปั๊มแล้วเจอจะๆ กับเครื่องทำฟอง นัยว่าเพื่อให้รถสะอาดมากขึ้น แต่พอหันไปดูก็ชัดๆเลยครับ แฟ๊บกล่องเบอเริ่ม เสร็จสิครับล่ะที่นี้ ทั้งแว๊กที่เคลือบออกมาจากโรงงานและสีพังหมด ยังไม่เห็นกันทันทีหรอกครับ พวกนี้ต้องใช้เวลา พอนานๆเข้า ความคิดที่จะประหยัดเพราะเห็นถูกดี 50-70 บาท ต้องมาตามแก้กันเสียเงินหนักเข้าไปอีก เพราะฉะนั้น จำไว้ให้ดีว่า หากคิดจะล้างรถเองแล้ว ต้องเลือกสรรแชมพูหรือน้ำยาล้างรถที่ใช้เฉพาะเพื่องานนี้ ซึ่งไม่ยากแล้ว มีขายกันถมเถไป
2. ในสภาพปกติ สัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้วที่จะทำความสะอาดรักษารถของคุณ แต่สิ่งที่ไม่ควรลืมก็คือ เมืองไทยเนี่ยอุดมสมบูรณ์ทั้งต้นไม้และนกนี่เต็มไปหมด ทั้งยางไม้และมูลนกเนี่ย มีฤทธิ์ทำลายทั้งแว๊กและสี ใส่ใจสักนิดอย่าปล่อยทิ้งไว้ รีบทำความสะอาดจุดนั้นทันทีเมื่อมีเวลา
3. เรื่องนี้คงหลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับเมืองร้อนอย่างไทย ข้อแนะนำในการล้างรถประการหนึ่งก็คือ พยายามอย่าล้างรถภายใต้แสงแดด ต้องเลือกล้างรถกันในยามแดดร่มลงตกล่ะครับ หลายๆ คนเชื่อว่า ไม่ให้ล้างกลางแดดก็เพื่อหยดน้ำมีสภาพเหมือนเลนส์นูน พอแดดส่งผ่านก็จะไปโฟกัสความร้อนที่สีรถพอดี ซึ่งผลกระทบตรงนี้นั้นน้อยมากครับ เพราะการล้างรถจริง ๆ คงไม่มีใครปล่อยให้รถแห้งเองหรอก แต่ที่เป็นปัญหาจริงๆก็คือบางส่วนของรถจะแห้งเร็วเกินไป ยังไม่ทันฉีดน้ำไล่สิ่งสกปรกหลังล้างด้วย แชมพูก็แห้งแล้ว ทำให้สีรถไม่สะอาดอย่างที่ควรเป็น เทคนิคที่พอจะช่วยได้ก็คือให้จอดรถล้างในที่ใกล้ๆ น้ำซึ่งจะใช้ล้างรถให้เริ่มล้างจากบนสู่ล่าง และชิ้นส่วนเล็กๆที่เป็นก็อย่าเพิ่งให้ความสนใจมากนัก เรามาเก็บกันเป็นจุด ๆ ตอนหลังได้
4. อีกขั้นตอนหนึ่งก็คือล้อและยาง หลายๆคนคิดว่าล้างล้อและยางก็เพื่อให้ยางมันไม่ดูกระด่าง ไม่น่าชม แต่จริงๆแล้วการให้ความสำคัญกับการล้างตรงจุดนี้ยังเป็นการยืดอายุการใช้งานชิ้นส่วน หลายชิ้นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นยางล้อ สีของแม็กซ์หรือกระทะล้อ รวมถึงผ้าเบรก และดิสค์เบรก ที่ทำงาน ให้กับเราทั้งวันในขณะขับขี่วิ่งทั้งวันก็ต้องมีสกปรกกันบ้างล่ะ และสเปรย์เคลือบเงายางรถก็คงต้องเลือก ผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานตรงจุดจริงๆ
5. ล้างรถจนครบสกปรกและฝุ่นละอองหมดไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาทำให้รถเงางามด้วยการเคลือบสีรถ เดี๋ยวนี้ การวิ่งไปศูนย์บริการเพื่อขัดเคลือบสีรถก็ราคาไม่ถูก หากมีเวลาก็ทำเองได้ น้ำยาขัดเคลือบสีรถเกรดเอ หนึ่งขวด ไม่อยู่ในงบไม่เกิน 1,000 บาท แต่ใช้ได้นานจนคุ้ม แต่ต้องยอมรับว่างานเคลือบสีรถด้วยตัวเอง ที่ต้องใช้ความฟิตพอสมควร เพราะน้ำยายี่ห้อไหนที่ว่าแน่ๆขัดเบาๆก็ออก เอาเข้าจริงเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำ เพราะการเคลือบเงาเป็นวิธีการหนึ่งที่ป้องกันหรือลดกระบวนการเกิดสนิม (Oxidation) ได้
การขัดเคลือบเงาก็มีกลยุทธ์เฉพาะเช่นกัน ประการแรกเลย ต้องทำในที่ร่ม เพราะน้ำยา พวกนี้ทำปฏิกิริยากับแสงแดดโดยตรง น้ำยาขัดเคลือบเงาเกือบทุกยี่ห้อจะระบุข้อบ่งใช้ตรงนี้ชัดเจน เสียหายก็โทษใครไม่ได้จริงๆครับ การเคลือบสีต้องทำหลังการล้างรถทุกครั้ง อย่าลืมนะครับว่าการเคลือบสี ต้องมี การขัด หากมีสิ่งปกปรกที่แข็งสักหน่อย อาจเกิดรอยที่ไม่พึงปราถนาบนสีของรถคุณได้ เลือกใช้ผ้านุ่ม หรือ อุปกรณ์ในการเคลือบที่เฉพาะเจาะจงสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ การขัดเคลือบสีด้วยตัวเองไม่เหมือนกับเอารถ เข้าบริการที่ศูนย์เฉพาะกิจด้านนี้นะครับ ที่ศูนย์เราจ่ายแพงแต่เขาทำให้ครบเซ็ท อะไรที่เป็นรอยขนแมว ไปเฉี่ยวอะไรมาเบา ๆ พอเข้าศูนย์รับรองหายหมด แต่สีรถคุณก็จะบางลง ซึ่งมีขั้นตอนการเคลือบแว็ก เข้ามาช่วย ดังนั้น การเคลือบสีด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆสำหรับรอยขนแมว แต่ก็สามารถลดลงได้ หากใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมอย่าใจร้อน รอให้แห้งแล้วค่อยขัด และการขัดก็ให้หมุนเป็นวงกลม พลิกผ้าบ่อยๆ เพื่อให้ได้ด้านผ้าที่สะอาดที่สุดในการขัดแต่ละจุด และก็อย่าเหนื่อยนะครับ บางคนพอขัดเสร็จลากผ้า ออกมาจากตัวถัง แทนที่จะเงาก็ไม่เงากันพอดี
6. เสร็จสิ้นกันสำหรับการล้างสี ก็มาถึงภายในที่ก็คงมีกระบวนการไปแตกต่างกัน แต่จุกจิก และเก็บรายละเอียดมากหน่อย เพราะภายในรถมีซอกเล็กซอกน้อยจำนวนมาก อุปกรณ์หลักก็เห็นจะเป็นเครื่องดูดฝุ่น โดยเฉพาะ ถ้าเป็นเบาะกำมะหยี่ เครื่องดูดฝุ่นอย่างเดียวก็สะอาดเกินพอ ผ้าชุบน้ำพอหมาดๆเช็ดที่ขอบประตู ขอบหน้าต่าง ชิ้นส่วนที่เป็นหนัง พลาสติก หรือยาง ถ้าจะให้ดูดีก็ใช้น้ำยาขัดเงาที่ใช้เฉพาะงานนี้โดยเฉพาะ ลงเอา ซึ่งก็ควรจะทำ เพราะแสงแดดร้อนๆอย่างเมืองไทย จะช่วยทำให้อายุการใช้งานของชิ้นส่วนเหล่านี้ ยากขึ้น แต่ก็แนะนำนะครับว่า ใครที่มีพวงมาลัยแบบหุ้มยางหรือหนัง แค่ผ้าชุดน้ำเช็ดทำความสะอาด ก็น่าจะเพียงพอ หากเคลือบเงาลงไป เวลารถจอดตากแดดมันจะเหนียวมือไปหมด ประการสำคัญในการ ทำความสะอาดภายในก็คือ หลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดสำหรับการนำน้ำยาทำความสะอาดหรืออะไรก็ตาม ที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียไปเช็ดทำความสะอาดเข็มขัดนิรภัย
ขอให้ทุกท่าน โชคดีในการล้างรถด้วยตัวเองครับ และอย่าลืมลองนำวิธีล้างรถให้ได้อย่างมืออาชีพไปใช้
การสังเกตเส้นเลือดในสมองแตก
อิงอิงยืนไม่ค่อยมั่นคง เพื่อนๆ ช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้ แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน 6 โมงเย็น
ถ้าหากเพื่อนๆ รู้จักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็น อัมพฤกษ์หรืออัมพาต แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม. ก็จะมีโอกาสรอด
วิธีวินิจฉัยอาการ
ถ้าคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ ก็สามารถวินิจฉัยอาการได้
โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
S:(smile) -> ให้ผู้ป่วยยิ้ม
T:(talk) -> ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง
R:(raise) -> ให้ผู้ป่วย(ยก)ชูแขนสองข้างขึ้น
อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ใช่แล้ว ส่อ! อาการอันตราย
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบแจ้ง 1669 และเล่าอาการให้ผู้รับสายฟัง
21 ก.พ. 2552
8 วิธีดูแลสุขภาพรับมือกับหน้าร้อน
1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยให้คุณเจ็บป่วยน้อยลง
2. ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก และควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถรับประทานได้
3.ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตาก ลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส หรืออาจทำให้เป็นไข้หวัดได้
4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ
5. ควรเลือกทานอาหารอ่อนๆ ตอนเช้า เช่น ข้าวต้ม เพราะในช่วงเช้ายังไม่ควรทานอาหารที่หนัก ๆ แค่ทานผักผลไม้เยอะ ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารทอดๆ มัน ๆ แห้ง ๆ
6. ควรดูแลสุขภาพของเด็กๆ โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการดำเนินชีวิต
7. สำหรับหญิงตั้งครรภ์ สิ่งที่ควรปฏิบัติในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นไข้หวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัด หรือเย็นจัด
8. บุคคล 3 ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คือ คนสูงอายุ ผู้ที่มีระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี คนที่มีม้ามพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด หรือถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น
เยียวยา 6 อาการยอดฮิตของผู้ชาย
สำหรับอาการผมร่วงของผู้ชายเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ผมร่วงเป็นหย่อมมักเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือเกิดจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเพศชายสูงผิดปกติ ซึ่งจะทำลายโคนรากผมให้เน่าเสียหรืออ่อนแอ และหลุดร่วงในที่สุด รวมถึงสาเหตุสำคัญ ซึ่งจะแสดงออกในเพศชายมากกว่าเพศหญิงก็คือ การสืบทอดทางพันธุกรรม นั่นเอง อาจารย์สาทิสได้แนะนำหลักการเกี่ยวกับการดูแลเส้นผมทั่วๆ ไป โดยกว้างๆ ไว้ว่า รักษาสุขภาพทั่วไปของร่างกายให้ดีเสียก่อน สุขภาพร่างกายดี สุขภาพของเส้นผมก็จะดีตามไปด้วยแต่หากชายใดประสบปัญหาผมร่วงเข้าให้แล้ว เรามีสูตรสมุนไพรป้องกันผมร่วงมาฝากค่ะ
*สมุนไพรกระตุ้นให้ผมงอก*
ผักบุ้ง ใบบัวบก และฟ้าทะลายโจร นำใบชนิดใดชนิดหนึ่งประมาณ 1 กำมือ มาคั้นเอาแต่น้ำ หมักผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก ทอง พันชั่ง ใช้ใบทองพันชั่งสดๆ ในปริมาณพอเหมาะกับบริเวณที่มีปัญหา โดยตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยพอให้เนื้อสมุนไพรเหนียวจับกัน หลังสระผมนำสมุนไพรดังกล่าวมาพอกบริเวณที่ผมร่วง ใช้ผ้าคลุมศีรษะทิ้งไว้ทั้งคืน รุ่งเช้าจึงล้างออก ทำทุกวันติดต่อกัน 2 สัปดาห์ - 1 เดือน (สูตรนี้ช่วยรักษาอาการผมร่วงจากเชื้อรา) มะกรูด ใช้มะกรูดแก่ 2 ผลย่างไฟให้สุกจนนิ่ม เมื่อมะกรูดนิ่มดีแล้ว นำมาขยำกับน้ำอุ่นๆ ทิ้งไว้ให้เย็น กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำที่ได้มาชโลมให้ทั่วศีรษะหลังสระผม นวดกระตุ้นสักครู่ จึงล้างออกด้วยน้ำเปล่า ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ถ้าใช้น้ำซาวข้าวล้างแทนน้ำเปล่าจะทำให้ยาออกฤทธิ์ดีขึ้น) ขิงแก่ นำขิงแก่แง่งขนาดฝ่ามือมาเผาไฟแล้วทุบให้แตก ผสมน้ำแล้วนำไปขยี้ให้ทั่วศีรษะษะ ทิ้งไว้ 20 -30 นาที วันละ 2 ครั้ง ประมาณ 3 - 5 วันจะเห็นผล ด้วยวิธีง่ายๆ ข้างต้นนี้ผู้ชายทั้งหลายก็บอกลาปัญหาผมร่วงหัวล้านกันได้แล้วค่ะ
*อ้วนลงพุง*
สาเหตุสำคัญของการลงพุง เกิดจากการที่ผู้ชายมีภาวะขาดฮอร์โมนเพศ ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายมีการสะสมไขมันบริเวณส่วนต่างๆ มากขึ้น จึงมักจะพบการลงพุงในชายสูงอายุพร้อมๆ กับการลีบเล็กของกล้ามเนื้อ และยิ่งเมื่อรวมกับพฤติกรรมตามใจปาก ไม่ระมัดระวังเรื่องการบริโภคด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผู้ชายอ้วนลงพุงได้ง่าย ที่สำคัญไม่เพียงแต่ทำให้คุณผู้ชายขาดความมั่นใจหรือรู้สึกมีปมด้อยในรูป ร่างของตัวเองเท่านั้น ยังส่งผลเกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมาคุกคามคุณผู้ชายอีกด้วย
สำหรับหนุ่มๆ ที่กำลังมองหาวิธีลดพุงที่ปลอดภัยและได้ผลดี นอกจากจะดูแลเรื่องอาหารการกินอย่างถูกวิธีด้วยอาหารชีวจิตสูตร 2 แล้ว อย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำด้วยนะคะ เพราะทั้งอาหารและการออกกำลังกายจะช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกายให้เป็นปกติดี ขึ้น นอกจากนี้ การดูแลเรื่องของจิตใจก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันค่ะ เรามีแนะนำดีๆ มาฝากค่ะ
*สลายพุงด้วยการสร้างพลังใจ*
ขอให้พิจารณาตัวเองและรู้จักแง่ดีของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตั้งเป้าหมายอย่างมั่นคงกับ ตัวเองว่า เราจะกินให้น้อยลง เราจะกินอย่างฉลาด และเราจะชนะตัวเองให้ได้ เปิดเผยเรื่องนี้ต่อทุกคนในครอบครัว และขอให้ทุกๆ คนช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วย ฝึกผ่อนคลายด้วยการทำ Relaxation เพื่อให้การหมุนเวียนของเลือดในร่างกายและสมองดีขึ้น นอกจากนั้นจิตใจที่แน่วแน่จะสามารถติดต่อกับสมองส่วนกลางได้ แล้วจะสามารถบังคับส่วนที่เป็นนิสัยเกี่ยวกับเรื่องกินได้กลิ่นตัว
สาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวมาจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิง ทำให้ apocrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อที่อยู่บริเวณรักแร้และอวัยวะเพศ ขับออกมามากกว่าปกติ ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้มาก นอกจากนี้ผู้ชายมักขาดการดูแลความสะอาดของร่างกาย อีกทั้งลักษณะงานของผู้ชายและความนิยมออกกำลังกายหนักๆ จึงทำให้เสียเหงื่อมาก และมีกลิ่นตัวมากกว่าผู้หญิง
*สูตรระงับกลิ่นจากธรรมชาติ*
*ต้นตำลึง* ใช้ต้นตำลึงสดๆ (เอาทั้งต้นและใบ) ประมาณ 1-2 กำมือ นำมาตำให้ละเอียดผสมกับปูนแดงเล็กน้อยใช้ทาที่รักแร้ ทิ้งไว้สักครู่ค่อยล้างออก ทำเช่นติดต่อกันเป็นประจำประมาณ 1 สัปดาห์จะช่วยลดอาการกลิ่นเหม็นที่รักแร้ได้
*เปลือกมังคุด* ใช้เปลือกมังคุดแห้ง 1 ส่วน ต้มกับน้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน กรองเอากากออก แล้วนำน้ำต้มเปลือกมังคุดที่ได้ผสมกับน้ำเปล่า 20 ลิตรใช้อาบน้ำ หรือใช้น้ำเล็กน้อยต้มกับเปลือกมังคุดแห้งประมาณ 1-2 กำมือ จะได้น้ำเปลือกมังคุดเข้มข้น ใช้ทาบริเวณรักแร้ ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยระงับกลิ่นกายได้เป็นอย่างดี เพราะเปลือกมังคุดมีสรรพคุณในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย
*มะขามเปียก* ใช้น้ำมะขามเปียกแทนสบู่ตอนอาบน้ำ น้ำมะขามเปียกจะช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการหมักหมมซึ่งเป็นบ่อเกิดของกลิ่นตัว
*ขมิ้นชัน* โดยใช้ผงขมิ้นทาบริเวณรักแร้ ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงล้างออก จะช่วยระงับกลิ่นตัวได้เช่นกัน น้ำ ส้มสายชู ใช้ก้อนสำลีแต้มน้ำส้มสายชู นำมาเช็ดบริเวณใต้วงแขนเพื่อลดปริมาณแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่น ทั้งนี้ไม่ควรใช้หลังโกนขนเสร็จ เพราะจะทำให้แสบมาก *เบคกิ้งโซดา และแป้งข้าวโพด* นำมาทาบริเวณที่มีกลิ่น แป้งข้าวโพดจะช่วยดูดซับความชื้นได้ดี ส่วนเบคกิ้งโซดายังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นได้อีกด้วยค่ะ
*ปัญหาต่อมลูกหมาก*
สาเหตุสำคัญของต่อมลูกหมากอักเสบเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ผ่าน เข้าไปถึงต่อมลูกหมากทางท่อปัสสาวะ พบได้บ่อยในผู้ชายอายุระหว่าง 30-50 ปี อาการสำคัญของต่อมลูกหมากอักเสบ ได้แก่ ถ่ายปัสสาวะบ่อย เจ็บขณะถ่าย ปวดหลัง ปวดเอว อัณฑะบวม เจ็บบริเวณต่อมลูกหมาก และมีน้ำใสๆ ไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ
*ดูแลตัวเองเท่ากับดูแลต่อมลูกหมาก*
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มและอาหารที่ระคายต่อกระเพาะปัสสาวะ เช่น เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำผลไม้ และอาหารเผ็ดๆ
*แก้พฤติกรรม* ถ้าคุณมีปัญหาในการวิ่งเข้าห้องน้ำไม่ทัน ให้ปัสสาวะทุก 3 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่ก็ตาม ควรตั้งนาฬิกาไว้เพื่อเตือน และอย่าให้ท้องผูก ใช้เวลาให้นานขึ้น อย่ารีบร้อนปัสสาวะจนหมดให้ใจเย็นๆ จะช่วยให้เราอั้นปัสสาวะในครั้งต่อไปได้นานขึ้น
*วารีบำบัด* หากคุณเกิดอาการดังกล่าวขึ้นแล้ว ให้นั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นสลับน้ำเย็น ทุกวันหรือวันเว้นวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงต่อมลูกหมากได้มากขึ้น ท่า โยคะบริหารต่อมลูกหมาก เริ่มต้นด้วยการนอนหงาย วางแขนข้างตัว ชันเข่าขึ้น เลื่อนเท้ามาใกล้สะโพก จากนั้นดึงฝ่าเท้าด้านในแตะกัน ปล่อยเข่าให้เลื่อนตกลงมาหาพื้น ค้างท่านี้ไว้สัก 5 นาที โยคะท่านี้จะช่วยกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงต่อมลูกหมากและบริเวณรอบๆได้ดีขึ้น และช่วยลดอาการอักเสบทั่วไปได้ด้วย นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายทุกวัน เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงบริเวณเชิงกราน และการหลั่งน้ำอสุจิ ซึ่งมีประโยชน์ต่อต่อมลูกหมากเช่นกัน
*หย่อนสมรรถภาพทางเพศ*
สาเหตุของการหย่อนสมรรถภาพทางเพศโดยมากมักจะมีหลายสาเหตุร่วมกัน หากมีหลายสาเหตุก็จะทำให้มีโอกาสเกิดมากขึ้น สาเหตุหลักของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ คือ การลดลงของระดับฮอร์โมนเพศชาย นอกจากนี้ยังเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีก ได้แก่ ปัญหาทางกาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น หรือการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา และการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง รวมถึง ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ยาระงับอาการซึมเศร้าบางชนิด และยารักษาโรคต่อมลูกหมากโตบางชนิด
นอกจากนี้ ในบางรายอาจเกิดจากสาเหตุจากปัญหาทางจิตใจ เช่น ความกังวลว่าอวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้ ความขัดแย้งภายในจิตใจเกี่ยวกับเรื่องเพศ ชีวิตสมรส เป็นต้น
*บำบัดด้วยสมุนไพร*
มีสมุนไพรหลากหลายชนิด เช่น ใบแปะก๊วย โสม และขิง ที่มีสรรพคุณเพิ่มการไหลเวียนเลือดทั่วทั้งร่างกาย รวมถึงที่อวัยวะเพศด้วย นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่ช่วยเยียวยาอาการนกเขาไม่ขันให้คุณผู้ชายได้อีก เช่น
ชาคาโมไมล์ ชงดื่มเป็นประจำวันละ 1 ถ้วย กระชายดำ นำกระชายดำ 30 กรัม ต้มในน้ำ 1-2 ลิตร แล้วดื่มแทนน้ำทั้งวัน จะทำให้กระปรี้กระเปร่าและแก้อาการปวดเมื่อย และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย พริกไทย กินวันละ 4-5 แคปซูล จะช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวยมากขึ้น
*สร้างอารมณ์ด้วยน้ำมันหอมระเหย*
*น้ำมันกระดังงา* จะช่วยผ่อนคลายและเร้าความรู้สึกทางเพศ และน้ำมันเจอราเนียม (jeranium) จะช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศที่ถูกเก็บกดจากอาการซึมเศร้าได้ โดยใช้สูดดมไอระเหยหรือใช้หยดลงบนผ้าปูที่นอน 2-3 หยด นอกจากนี้ยังใช้นวดขา หลัง และท้อง เพื่อสร้างสมดุลให้จิตใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการแก้ปัญหาทางเพศได้ค่ะ ภาวะมีลูกยาก
การมีลูกยากของผู้ชายบางคนเกี่ยวข้องกับความบกพร่องทางกายหรือมีแผลเป็นใน ช่องอวัยวะสืบพันธุ์ที่อาจเกิดจากการติดเชื้อ แต่มีไม่น้อยเกิดจากมีเชื้ออสุจิน้อย เพราะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ (ฮอร์โมนกระตุ้นต่อมลูกหมากให้ผลิตอสุจิ) ซึ่งมีสาเหตุปัจจัยหลายประการ เช่น การดื่มสุรา สูบบุหรี่ แม้กระทั่งความเครียด ทั้งนี้ จำนวนอสุจิก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ชี้วัดโอกาสมีลูก อัตราส่วนของอสุจิที่สมบูรณ์และเคลื่อนไหวได้ดีต้องสูงด้วย
*สารอาหารช่วยเพิ่มอสุจิ*
*ไลโคพี*น ช่วยเพิ่มจำนวนอสุจิและทำให้อสุจิเคลื่อนไหวได้ดี พบมากในมะเขือเทศ องุ่นเขียว องุ่นแดง ฝรั่ง
*กรดโฟลิค* สำหรับผู้ชายช่วยเพิ่มจำนวนอสุจิ และยังช่วยบำรุงระบบเจริญพันธุ์ของผู้หญิงให้สมบรูณ์ พบมากในหน่อไม้ฝรั่ง บรอกโคลี ผักขม อะโวคาโด กะหล่ำปลี และพืชตระกูลถั่ว
*วิตามินบี 12* จำเป็นต่อกระบวนการสร้างเซลล์ ถ้าขาดจะทำให้อสุจิลดลงและเคลื่อนที่น้อยลง พบมากในปลาน้ำจืด ปู หอยทะเล ปลาทูน่า และโยเกิร์ต
*วิตามินซี* มีประโยชน์ช่วยทำให้อสุจิมีคุณภาพที่ดี มีความแข็งแรงทนทานต่อปฏิกิริยาทำลายเนื้อเยื่อจากสารเคมีบริเวณปากมดลูกของ ฝ่ายหญิงได้ แหล่งที่พบ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำสีม่วง ผลกีวี สตอเบอร์รี่ มันฝรั่ง ส้ม ส้มจีน พริก
อันตรายจากภาชนะหุงต้ม ในครัว
เมื่อหลายปีที่แล้วนักวิจัยได้เตือนผู้บริโภคว่า *อะลูมิเนียม*อาจ มีส่วนที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ทำให้ผู้บริโภคพากันโยนหม้อ กระทะที่ทำจากอะลูมิเนียมทิ้งเป็นจำนวนมาก แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่าอะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมี ปริมาณเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมหุงต้มอาหารจึงค่อนข้างปลอดภัย
*ภาชนะที่ทำจากสเตนเลส*
เป็นภาชนะที่นิยมใช้รองลงมา สเตนเลสมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล โครเมียม เหล็ก และโมลิบเดนัม จากการวิจัยพบว่าภาชนะเครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลสอาจให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสเตนเลสมีส่วนผสมของโครเมียมและธาตุเหล็กซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อ ร่างกาย เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล่านั้นออกมาปะปนในอาหารเพียงเล็กน้อยจึงไม่ เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่กลับให้ประโยชน์ต่อผู้ที่ขาดโครเมียมและธาตุเหล็ก แต่ขณะเดียวกันสารนิกเกิลอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของผิวหนังได้ในผู้ที่ แพ้นิกเกิล อย่างไรก็ตามนิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่เครื่องปรุงมีฤทธิ์เป็นกรด เช่น การใช้น้ำส้มสายชูหรือซอสมะเขือเทศ สำหรับคนที่มีอาการแพ้สารนิกเกิลก็อาจจะเลือกใช้ภาชนะสเตนเลสที่เคลือบสารอี นาเมลซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด
*ภาชนะที่ทำมาจากทองแดง*
ตอบสนองต่อความร้อนได้ดี แต่ถ้านำมาปรุงอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะสามารถละลายทองแดงออกมาได้ ทองแดงจะเป็นธาตุที่สำคัญต่อร่างกายในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง การได้รับทองแดงในปริมาณเล็กน้อยไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ แต่ถ้าร่างกายได้รับการสะสมทองแดงในปริมาณมากเกินระดับที่ควรมีในเลือด จะทำให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนจากทองแดงเป็นพิษได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ภาชนะที่ทำจากทองแดงจึงได้รับวิวัฒนาการขึ้นมาด้วยการ เคลือบดีบุก แต่ดีบุกที่เคลือบไว้ก็จะมีการเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน ฉะนั้นเมื่อใช้ไปนาน ๆก็ควรจะมีการเปลี่ยนใหม่
*ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอน*
สารชนิดนี้ช่วยป้องกันการติดของอาหาร ทั้งยังทำความสะอาดง่าย และช่วยลดปริมาณไขมันในการปรุงอาหารได้ด้วย เพราะภาชนะหากไม่เคลือบเทฟลอนจะต้องใช้น้ำมันมากขึ้นเวลาผัดหรือทอดเพื่อไม่ ให้อาหารติดกระทะ อนึ่งหากมีการลอกหลุดของสารที่เคลือบปะปนกับอาหารก็จะไม่เกิดอันตรายต่อผู้ บริโภค เนื่องจากเป็นสารที่ไม่เป็นพิษ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้และจะถูกขับถ่ายออกมา
*ภาชนะเซรามิก*
ภาชนะชนิดนี้มีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่ หากมีอยู่ในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ เมื่อนำไปใส่อาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด รวมทั้งมีข้อเตือนว่าไม่ควรใช้ภาชนะประเภทนี้กับ กาแฟร้อน ชาร้อน ซุปมะเขือเทศ และน้ำผลไม้เพราะจะทำให้สารตะกั่วละลายออกมาได้
*สารตะกั่ว*
เป็นอันตรายต่ออวัยวะและระบบต่างๆของร่าง กาย เช่น ตับ ไต ระบบสืบพันธุ์ ระบบหมุนเวียนโลหิตหัวใจ ระบบภูมิต้านทาน และระบบย่อยอาหาร สารตะกั่วจะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะในกระดูกจะสะสมปนกับแคลเซียม เพราะร่างกายไม่สามารถจะแยกระหว่างสารตะกั่วและแคลเซียมได้ ถ้าสารตะกั่วสะสมในปริมาณมากจะทำให้เกิดพิษได้ ถ้าเกิดขึ้นในเด็กสารตะกั่วจะทำลายเซลล์สมอง ทำให้สมรรถภาพในการเรียนรู้เสียไป ยับยั้งการเจริญเติบโตทำให้ร่างกายแคระแกรน และตายในที่สุด
*ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้ภาชนะเซรามิกบรรจุเก็บรักษาอาหาร หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน*
* ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัยในการใช้ภาชนะ *
หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาอาหารเป็นเวลานานๆ ในภาชนะหุงต้ม เมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้ว อาหารที่เหลือควรเก็บไว้ในภาชนะพลาสติกหรือภาชนะที่ทำด้วยแก้ว ทำความสะอาดภาชนะตามคำแนะนำของผู้ผลิต หลีกเลี่ยงการขัดถูที่จะทำให้ผิวหน้าของภาชนะถลอกหรือหลุดลอก
*พลาสติกในครัวเรือนปลอดภัยเพียงใด ?* สารเคมีที่สลายจากพลาสติกสามารถผ่านเข้าไปในอาหารได้ไม่ว่าจะถูกความร้อน หรือไม่ แต่ความร้อนและแสงจะเร่งกระบวนการให้เกิดเร็วขึ้น คำถามที่ตามมาคือสิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประเภทที่ทำลายฮอร์โมน สารประเภทนี้จะรบกวนหรือยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย ลดปริมาณอสุจิ ทำให้เด็กเป็นสาวเร็วกว่าอายุที่ควรและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
* พลาสติกที่สลายตัวสามารถที่จะผ่านเข้าไปปะปนกับอาหาร พบได้มากในภาชนะใช้ใส่อาหารซื้อกลับบ้าน อาหารที่บรรจุในภาชนะประเภทนี้เป็นเวลานานจะมีกลิ่นและรสของพลาสติกชนิดนี้ ติดมาด้วย*
*อาหารประเภทที่เป็นกรดจะดูดซึมสารพลาสติกได้ดีกว่าอาหารชนิด ที่เป็นด่างหรือกรดต่ำ ความร้อนสูงๆ เช่นจากเตาไมโครเวฟ และความเย็นจากตู้เย็นสามารถเพิ่มปริมาณการดูดซึมสารพลาสติกเข้าไปในอาหาร ได้*
แม้แต่พลาสติกที่ใช้กับเตาไมโครเวฟก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อันตรายที่มักเกิดขึ้นคือผู้บริโภคมักใช้ภาชนะพลาสติกที่ไม่ได้ระบุว่าใช้ กับตู้อบไมโครเวฟอุ่นอาหาร ทำให้พลาสติกละลายเข้าไปในอาหารและยังทำลายรสชาติของอาหารที่อุ่น
*ข้อแนะนำสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก
*1.* เวลาอุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ เลือกภาชนะที่ทำจากแก้วหรือเซรามิคแก้ว หลีกการเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกแม้จะระบุว่าปลอดภัยในการใช้กับไมโครเวฟ
*2.* ไม่ใช้พลาสติกห่ออาหารในการปรุงหรืออุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ
*3.* อาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือซีสใช้วัสดุประเภทโฟลีเอ็ทธีลีนห่อเพราะไม่มีสาร พลาสติก หรือถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นห่อด้วยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์หรือกระดาษไข
*4.* อาหารที่เหลือ เก็บไว้ในภาชนะประเภทที่ทำด้วยแก้ว
*5.* ภาชนะพลาสติกที่เก่าชำรุดไม่ควรนำมาใช้ต่อ เตาไมโครเวฟ
*สิ่งที่ผู้บริโภคต้องระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ* คือ ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารประเภทโลหะ กระดาษอะลูมิเนียม นมบรรจุในกล่องกระดาษที่บุด้านในด้วยอะลูมิเนียม จานชามที่มีขอบเป็นโลหะเงินหรือโลหะทอง ไม่ควรใช้กับเตาไมโครเวฟ โลหะ เช่น ลวดที่ใช้มัดถุงพลาสติกควรแกะออก มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการติดไฟและอาจเกิดไฟไหม้ภายในตู้อบไมโครเวฟได้
*สารรังสีที่รั่วจากเตาไมโครเวฟ มีอันตรายเพียงใด * ปริมาณของสารรังสีที่รั่วจากตู้อบไมโครเวฟค่อนข้างต่ำ และไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะก่อให้เกิดอันตราย สิ่งที่แม่บ้านควรระวังเป็นพิเศษ คือ เมื่อวัสดุตามขอบประตูชำรุดหรือหากมีรอยร้าวและรอยแตก เศษอาหารติดอยู่ตามขอบตู้ทำให้ประตูปิดไม่สนิท หรือ การชำรุดของตู้เนื่องจากการขนย้าย หรือเกิดเปลวไฟภายในตู้จะทำให้มีปริมาณรังสีรั่วมากกว่าระดับปกติซึ่งเป็น อันตรายได้
สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใส่เครื่องควบคุมระบบการทำงานของหัวใจ (pacemakers) โดยเฉพาะรุ่นเก่าซึ่งไม่สามารถจะป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจาก ตู้อบไมโครเวฟเหมือนเครื่องควบคุมรุ่นใหม่ ควรอยู่ห่างจากตู้อบไมโครเวฟประมาณ 5 ฟุต และพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
19 ก.พ. 2552
เข้าใจระบบเศรษฐกิจจากควาย
คุณมีควาย 2 ตัว และคุณให้เพื่อนบ้าน 1 ตัว
คอมมิวนิสต์
คุณมีควาย 2 ตัว รัฐเอาไปหมดทั้ง 2 ตัว และให้นมควายคุณบ้าง
ฟาสซิสต์
คุณมีควาย2 ตัว รัฐเอาไปหมด และขายนมให้คุณบ้าง
นาซี
คุณมีควาย 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว และยิงคุณ
บูโรแครต
คุณมีควาย 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว ยิงตายไปหนึ่ง รีดนมตัวที่เหลือ และก็ละเลยไม่หาประโยชน์จากนมที่ได้มา
ทุนนิยม
คุณมีควาย 2 ตัว คุณขายไปหนึ่งตัว และเอาเงินซื้อพ่อควายมา ฝูงควายเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจขยายตัว คุณขายฝูงควายได้เงินมา แล้วก็เกษียณอายุตัวเอง
เอกชนอเมริกัน
คุณมีควาย 2 ตัว ขายไป 1 ตัว และบังคับให้ตัวที่เหลือผลิตนมในปริมาณเท่ากับ 4 ตัวผลิต ต่อมาก็จ้างที่ปรึกษามาวิเคราะห์ว่าทำไมควายจึงตาย
เอกชนฝรั่งเศส
คุณมีควาย 2 ตัว คุณนัดการให้มีประท้วง จราจลกีดขวางถนน เพราะว่าคุณต้องการควาย3 ตัว
เอกชนญี่ปุ่น
คุณมีควาย2 ตัว คุณออกแบบและปรับแต่ง จนมันมีขนาดเท่ากับ 1 ใน 10 ของควายขนาดธรรมดา แต่ผลิตนมได้ 20 เท่าของควายปรกติ แล้วคุณก็สร้างตัวละครการ์ตูนชื่อว่า " Buffkimon" ขายไปทั่วโลก
เอกชนเยอรมัน
คุณมีควาย 2 ตัว คุณรีเอ็นจิเนียร์มันจนมีอายุ 100 ปี กินอาหารเดือนละครั้งและรีดนมตัวเอง
เอกชนรัสเซีย
คุณมีควาย 2 ตัว คุณนับมันและพบว่ามี 5 ตัว คุณก็นับมันอีกครั้งพบว่ามี 42 ตัว และคุณก็นับมันอีกจนพบว่ามี 2 ตัว คราวนี้คุณหยุดนับและเปิดเหล้าวอดก้าอีกขวด
เอกชนสวิส
คุณมีควาย 5,000 ตัว ไม่มีตัวใดเป็นของคุณเลย แต่คุณเก็บเงินจากเจ้าของเป็นค่าดูแล
เอกชนจีน
คุณมีควาย 2 ตัว มี 300 คนรุมรีดนม คุณประกาศว่าคุณมีการจ้างงานเต็มที่ แถมควายของคุณมีผลิตผลสุดยอดและจับผู้สื่อข่าวที่รายงานสถานการณ์จริงเข้าคุก
เอกชนอินเดีย
คุณมีควาย 2 ตัว เพื่อเอาไว้เทิดทูนบูชา
เอกชนอังกฤษ
คุณมีควาย 2 ตัว ทั้ง 2 ตัวบ้าหมด ( โรควัวบ้าเป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในอังกฤษ)
เอกชนอิรัก
ทุกคนคิดว่าคุณมีควายหลายตัว คุณบอกว่าคุณไม่มี แต่ไม่มีใครเชื่อคุณ ดังนั้นจึงถูกบอมบ์แหลกยับเยิน ถูกบุกยึดประเทศ ถึงกระนั้นคุณก็ยังไม่มีควาย แต่อย่างน้อยที่สุด ปัจจุบันคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย
(อันนี้แถม)
เอกชนไทยคุณมีควาย 2 ตัว ตัวหนึ่งสีแดง ตัวหนึ่งสีเหลือง วันๆ มันไม่ยอมให้น้ำนม เอาแต่วิ่งเอาเขาชนกัน จนฟาร์มคุณพังวายวอด
17 ก.พ. 2552
มารู้จักวิธีป้องสิวกันดีกว่า
สบู่โดยทั่วไปส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า พี เอช มากว่า 8 ซึ่งจะสามารถชำระไขมันและสิ่งสกปรกออกไปได้ แต่อย่าลืม ผิวหน้าเราก็จะขาดสมดุลย์ อ่อนแอ แห้ง หยาบกร้านเช่นกัน ดังนั้นสบู่ที่ดีควรชำระสิ่งสกปรกได้ดี และไม่ดึงเอาไขมันบนใบหน้ามากไป ลาโนลิน เลซิติน ในทางเภสัชศาสตร์ มีสารทำความสะอาดล้วน ๆ คือ ซินเดท ซึ่งไม่ใช่สบู่ มีค่าพี เอช ใกล้เคียงผิวหนัง กำจัดสิ่งสกปรกได้ดี และทำลายผิวน้อยที่สุด
การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้แต่งหน้า และเป็นผดผื่น แต่ถ้าผิวหน้ามัน แต่งหน้า คงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าล้างสิ่งสกปรกออกได้ดี และไม่ดึงไขมันออกมากจนเกินไป ค่าพี เอช ประมาณ 5-7 ดีที่สุด โดยรวมควรเป็นสบู่เหลวมากกว่าสบู่ก้อน แต่จะเป็นผลิตภัณฑ์ไหนคงต้องพิจารณาฉลากหรือสอบถามแพทย์ เภสัชกร
ส่วนใหญ่มากกว่า 50 % ของคนไข้ที่มาพบแพทย์มักจะมาด้วยเรื่องสิว และมากกว่า 80% ของคนไข้เหล่านั้นก็จะอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวและน้อยกว่า 5% จะพบหลังอายุ 35 ปี พอเริ่มเข้าวัยรุ่นฮอร์โมนจะกระตุ้นให้เกิดสิว เริ่มด้วยสิวอุตตัน เปลี่ยนเป็นสิวอักเสบ และก็สิวหนอง และก็ทิ้งรอยดำกับแผลเป็นหลุม
แสงแดดแรง ๆ สารเคมี ฝุ่นละออง และอากาศที่แห้ง ก็มีส่วนทำให้เกิดสิวได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าเราเข้าใจสาเหตุและกระบวนการเกิดสิว คงจะสามารถป้องกันการเกิดสิวรวมทั้งหลุมและรอยดำที่จะเกิดขึ้น ไม่ต้องช้ำใจ ไม่ต้องเสียเงินเสียเวลามาก ๆ ในการรักษารอยดำและหลุม รวมทั้งไม่ต้องเสี่ยงกับการรักษาสิวที่ไม่ถูกวิธี นอกจากจะไม่หายแล้วยังอาจจะเพิ่มปัญหาอื่น ๆ บนใบหน้าอีกด้วย
วิธีการรักษารอยดำและแผลเป็นจากสิว รอยดำ แผลเป็นนูน และแผลหลุม เป็นปัญหาหนักใจของคนส่วนใหญ่ เพราะใช้เวลารักษานาน และใช้งบประมาณมากกว่าที่จะรักษาสิวตั้งแน่เนิ่น ๆ คือตั้งแต่ระยะสิวอุดตัน และระยะสิวอักเสบ ซึ่งจะหายได้เร็วกว่า
รอยสิวดำ แพทย์ยังไม่ถือว่า เป็นแผลเป็นเหมือนหลุมหรือรอยนูน ปกติทิ้งไว้สัก 5-6 เดือน ก็พอจะจางหายไปเองได้ แต่ถ้าต้องการให้หายเร็ว ต้องใช้ยาครีมที่มี กรดวิตามิน เอ อาจจะร่วมกับทำการผลัดผิวด้วย AHA ด้วย ก็จะทำให้รอยดำสิวจางหายได้เร็วกว่าเดิม
ส่วนรอยนูนกับหลุมสิว ถ้าทิ้งไว้ก็อยู่กับเราไปตลอดชีวิต แผลเป็นนูนที่เกิดตามหลังสิวอักเสบมักเกิดบริเวณจมูก, คาง, และขมับ แพทย์จะพิจารณาให้ยาทาและฉีดยาเข้าที่รอยนูนให้ยุบ การรักษาแผลเป็นนูนเนี่ย ต้องปรึกษาแพทย์โดยตรง เพราะเครื่องสำอางทั่วไป ช่วยให้นูนนุ่มขึ้นเท่านั้น แทบจะไม่สามารถทำให้ยุบได้เลย
สำหรับรอยหลุมสิว การรักษาเริ่มตั้งแต่ เพียงแค่ทายาครีมกระตุ้นการผลัดผิวชั้นหนังกำพร้า พร้อมกับกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่และกระตุ้นชั้นหนังแท้ ต่อมาก็ร่วมกับการผลัดผิวด้วย AHA เพิ่มเติมด้วยเทคนิค แต้มน้ำยา TCA กระตุ้น ถ้าเป็นมากๆ อาจพิจารณากรอผิวหน้าด้วยเครื่องกรอ หรือ เลเซอร์ก็ได้ วิธีการต่างๆ แพทย์จะต้องตรวจและให้ข้อแนะนำ เพื่อความเหมาะสมของคนไข้แต่ละรายไป จากหลักฐานงานวิจัย ไม่มีเครื่องสำอางใดทาแล้วรักษาหลุมสิวได้ สำหรับไอออนโตโฟเรสิส ผลงานวิจัยยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าช่วยได้จริงหรือไม่
สุนัข:เซนต์เบอร์นาร์ด
สุนัขพวกนี้จมูกไว ดมรู้ว่ามีคนจมอยู่ใต้หิมะแม้จะลึกหลายๆ ฟุต สุนัขจะออกวิ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 ตัว เป็นการวิ่งลาดตระเวนในระหว่างที่เกิดพายุหิมะถล่ม หรือหลังจากที่เกิดพายุหิมะแล้ว เพื่อค้นหาคนเดินทางที่ประสบอันตรายติดอยู่ในกองหิมะ เมื่อพบกับผู้เคราะห์ร้าย สุนัข 2 ตัวจะนอนลงบนหิมะแนบชิดร่างกายของผู้นั้น เพื่อให้ความอบอุ่น และสุนัขอีกตัวหนึ่งจะเลียตามใบหน้าเพื่อช่วยให้มีสติฟื้นคืนมา
ในขณะเดียวกันสุนัขอีกหนึ่งตัวในกลุ่มจะวิ่งย้อนกลับไปยังสถานที่พัก เพื่อแจ้งเหตุร้ายให้นักบวชทราบ และพามายังสถานที่เกิดเหตุ "ถังไม้เล็กๆ" ที่ผูกติดคอมีไว้เพื่อใส่เหล้าหรือยาไว้ให้ผู้ประสบภัยเปิดกินได้ เป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และมีผ้าห่มผูกติดหลังเอาไว้เพื่อให้ผู้ประสบภัยห่มกันหนาว
นอกจากนี้สุนัขเซนต์ฯ ยังได้กลับมาตามคนไปช่วยคนจากหลุมหิมะและพากลับมายังที่พักได้ นอกเหนือจากความสามารถในการค้นหาเส้นทางและประสาทในการดมกลิ่น ซึ่งสามารถทำให้ค้นหาร่างของมนุษย์ซึ่งถูกฝังอยู่ใต้หิมะ สุนัขยังมีชื่อเสียงในการมีสัมผัสที่หกที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งทำให้มันทราบว่าพายุหิมะกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว จะมีการรายงานอย่างทันท่วงที โดยที่สุนัขจะเปลี่ยนจุดยืนอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ภายในเวลาไม่กี่อึดใจที่พายุหิมะจะเกิดและถล่มตรงจุดนั้น ซึ่งจะทำให้ร่างถูกฝังอยู่ใต้หิมะ หรือน้ำแข็งหนักหลายตัน
ในครั้งแรกนักบวชได้เลือกเอาสุนัขจากดินแดนใกล้เคียงไปเลี้ยง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสุนัขพันธุ์โมลอสเชี่ยน ต่อมาก็คือสุนัข "เซนต์เบอร์นาร์ด" นั่นเอง เป็นวีรกรรมที่กล่าวขานกันตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์
ชาวอังกฤษในตอนต้น ค.ศ. 1810 ได้สั่งนำเข้าสุนัขที่ใช้ในสถานที่พักคนเดินทางเข้ามาในประเทศ เพื่อเสริมสายเลือดสุนัขพันธุ์มาสตีฟที่มีอยู่ ซึ่งมีการอ้างอิงถึงสายพันธุ์ เป็นเวลาหลายปีที่ถูกเรียกว่า "สุนัขศักดิ์สิทธิ์" ในประเทศเยอรมันนีราวปี ค.ศ. 1828 มีการเสนอให้เรียกชื่อว่า อัล เพนค็อก ในปี ค.ศ. 1833 นักเขียนคนหนึ่งชื่อ ดาร์เนียล วิลสัน ได้พูดถึงสุนัขเป็นครั้งแรกที่เรียกว่า เซนต์ เบอร์นาร์ด แต่จนกระทั่งปี ค.ศ. 1865 ชื่อเซนต์ เบอร์นาร์ดจึงปรากฏขึ้นอย่างแน่ชัด และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880 จึงได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ
สุนัขพันธุ์เซนต์ เบอร์นาร์ดประสบกับปัญหาอันเนื่องมาจากสายพันธุ์เริ่มอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก เพราะกันอยู่แต่สายพันธุ์เดียว ( Inbreeding) ประกอบกับโรคภัยไข้เจ็บ นักบุญจึงต้องการให้มีการผสมข้ามพันธุ์ เพื่อเพิ่มขนาดและพลังความแข็งแกร่งใหม่ให้สุนัข จึงเลือกสุนัขพันธุ์ นิวฟาวด์แลนด์ ซึ่งในขณะนั้นมีขนาดใหญ่กว่าสุนัขพันธุ์เซนต์ เบอร์นาร์ด ผลของการผสมข้ามพันธุ์นี้ ได้ผลเป็นที่พึงปรารถนาในทุกๆ ด้าน และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำลายรูปแบบและลักษณะนิสัยของเซนต์ เบอร์นาร์ดเลย
อย่างไรก็ตาม จากการผสมข้ามพันธุ์ ทำให้ได้สุนัขพันธุ์เซนต์ เบอร์นาร์ดขนยาวขึ้นมาเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้จนถึงปี ค.ศ. 1830 สุนัขเซนต์ เบอร์นาร์ดทั้งหมดมีขนสั้น ปีต่อๆ มาของการผสมพันธุ์ทำให้มีเซนต์ เบอร์นาร์ดเกิดขึ้นอย่างมากมายในหุบเขาของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในประเทศเยอรมันนี ประเทศยุโรปอื่นๆ รวมทั้งอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : เป็นสุนัขที่มีพละกำลัง รูปร่างสูงได้สัดส่วน แข็งแร่งและมีมัดกล้ามเนื้อในทุกส่วน ศีรษะแข็งแรง เป็นสุนัขที่มีท่าทางฉลาดเฉลียวมากที่สุด สุนัขที่มีหน้ากากสีดำจะทำให้ดูเข้มขึ้นแต่ไม่ทำให้ลักษณะโดยส่วนรวมเสียไปแต่อย่างใด
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ช่างประจบประแจง สอนง่าย จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมาช้านานทั่วทุกมุมโลก
ศีรษะ : มีความแข็งแกร่งมาก มีขนาดใหญ่โตและกว้าง กระดูกแก้มอยู่สูง มีสันกระดูกเหนือตาชัดเจนมาก ผิวหนังที่หน้าผากเหนือตาเป็นรอยย่นจนเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นแนวเส้นเข้าไปรวมที่เส้นกลางศรีษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสุนัขกำลังตื่นตัว รอยย่นจะเห็นได้ชัดมากขึ้น การที่มีรอยย่นมากจนเห็นชัดเกินไปไม่เป็นที่นิยม ความลาดเอียงของกะโหลกศีรษะ มายังจมูกจะหักมุมค่อนข้างมาก
จมูก : จมูกจะสั้นไม่เรียวเล็กตรงปลาย และความลึกในแนวดิ่งที่ฐานของจมูกต้องมากกว่าความยาวของจมูก สันของจมูกไม่โค้งแต่จะเป็นแนวตรง ในสุนัขบางตัวจะหักเล็กน้อย ร่องกลางศรีษะตื้นเห็นได้ชัดเจนและค่อนข้างกว้าง
ปาก : ริมฝีปากไม่บางจนเกินไป แต่จะโค้งอย่างสวยงามมายังขอบด้านล่างและเหลื่อมริมฝีปากล่างเล็กน้อย ริมฝีปากล่างต้องไม่ห้อยมากไป ฟันควรมีความแข็งแรงและสบกันพอดี ลักษณะขากรรไกรล่างสั้น แม้จะพบในสุนัขตัวที่มีความพร้อมสวยงามก็เป็นลักษณะที่ไม่นิยม ถ้าขากรรไกรบนสั้นถือว่าเป็นข้อบกพร่อง ปากที่เป็นสีดำเป็นลักษณะที่ได้รับความนิยม
หู : มีขนาดปานกลาง ตั้งอยู่ในตำแหน่งค่อนข้างสูงที่บริเวณฐาน ห่างจากศีรษะเล็กน้อย แล้วพับงอลงมาด้านข้างแนบอยู่กับศีรษะ ใบหูนิ่มมีลักษณะสามเหลี่ยมปลายมนยาวออกไปเล็กน้อย ทางด้านปลาย ขอบหูด้านหน้าอยู่แนบชิดกับศีรษะ โดยที่ขอบหูด้านหลังอาจอยู่ห่างจากศีรษะเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสุนัขอยู่ในท่าเตรียมพร้อม
ตา : ตั้งอยู่ทางด้านหน้ามากกว่าทางด้านข้าง มีขนาดปานกลาง สีน้ำตาลเข้ม มีแววตาฉลาดและเป็นมิตร มีความลึกปานกลาง เปลือกตาด้านล่างปิดไม่สนิท จึงทำให้เกิดรอยย่นที่มุมตาด้านใน หนังตาที่หย่อนมากเกินไป จนทำให้เห็นต่อมน้ำตาอย่างชัดเจน หรือมีสีแดงมาก เปลือกตาหนาและตามีสีจางเกินไปเป็นลักษณะที่ไม่นิยม
ลำคอ : ชูตั้งสูงและในขณะปฏิบัติหน้าที่ลำคอจะตั้งตรง นอกจากนั้นแล้วจะอยู่ในแนวระนาบ การเชื่อมต่อของศีรษะและคอจะเห็นได้ชัด โดยบริเวณต้นคอมีมัดกล้ามเนื้อมากและด้านข้างมีความกลม ซึ่งทำให้มองเห็นว่าลำคอสั้น จะมีส่วนหนังที่ยื่นลงมาบริเวณใต้คอจนเห็นได้ชัด แต่ถ้าชัดมากเกินไปจะไม่เป็นที่นิยม
หัวไหล่ : กว้างและมีความลาดเอียง มีมัดกล้ามเนื้อมากและมีพละกำลัง ส่วนสูงสุดของไหล่จะมองเห็นได้ชัดเจน
หน้าอก : มีความโค้งมาก ลึกพอประมาณ ไม่ยื่นลงไปต่ำกว่าข้อศอก หลัง : กว้างมากเป็นแนวเส้นตรงจนถึงสะโพก จากตรงนี้จะค่อยๆ ลาดลงไปจนถึงส่วนท้าย และประสานกลมกลืนกัน จนไม่เน้นร่องรอยเข้าไปยังส่วนโคนหาง ส่วนท้ายของตัวพัฒนาขึ้นมาอย่างดี ขามีมัดกล้ามเนื้อมาก
ท้อง : แยกออกจากส่วนเอวที่มีพละกำลังมากจนเห็นได้ชัด ลอยสูงขึ้นเล็กน้อย
หาง : ใหญ่และยาว มีน้ำหนัก ขณะพักจะห้อยลงม้วนงอเล็กน้อย ในช่วงหนึ่งในสามของหางส่วนปลาย ซึ่งไม่ถือว่าเป็นข้อบกพร่องในสุนัขที่มีลักษณะดีหลายตัว หางจะอยู่ในลักษณะปลายงอนเล็กน้อย เพราะฉะนั้นจึงอยู่ในรูปของอักษร " f " ในขณะเคลื่อนไหวหางจะชูขึ้น แต่ไม่ถึงขนาดชูตั้งตรงหรือม้วนหางอยู่เหนือหลัง การที่ปลายหางม้วนลงเล็กน้อยเป็นลักษณะที่ยอมรับได้
ขน : ดก หนาแน่นมาก โดยมีความยาวพอประมาณ ขนหยิกเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับม้วนงอและไม่ยุ่งเป็นกระเซิง ตามปกติที่หลังโดยเฉพาะจากบริเวณส่วนท้ายจนถึงก้นขนจะหยิกมากกว่า เป็นเงื่อนไขที่กำหนดในสุนัขขนสั้น หางจะมีขนเป็นพุ่ม โดยมีขนดกหนาแน่นยาวปานกลาง ขนหางที่หงิกงอไม่เป็นที่นิยม หางที่ขนด้านใดด้านหนึ่งที่เรียกว่า flag tail เป็นข้อบกพร่อง ที่ใบหน้าและหูจะปกคลุมด้วยขนที่สั้นและอ่อนนุ่ม ขนที่ยาวกว่าที่ฐานของหูเป็นที่ยอมรับได้ ขาหน้ามีขนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต้นขาจะมีขนค่อนข้างมาก
สี : ขาวกับแดงหรือแดงกับขาว สีแดงจะมีหลายเฉดสี แถบสีเทากับมีจุดสีขาว สีแดงและสีเหลืองออกน้ำตาลจะมีคุณค่าเท่ากัน รอยแต้ม ( marking ) ที่จำเป็นคือ หน้าอก เท้าและปลายหาง สีแดงขาวและแต้มสีขาว จะเป็นที่นิยมมากถ้ามีสีเดียวหรือไม่มีสีขาวจะไม่นิยม สีอื่นๆ ทั้งหมดถือว่าเป็นข้อบกพร่อง เว้นแต่เฉดสีที่นิยมกันที่มีอยู่ที่ศีรษะและหู ( หน้ากาก )
ขนาด : ตัวผู้สูงอย่างน้อย 27.5 นิ้ว ตัวเมียสูงอย่างน้อย 25.5 นิ้ว
ข้อบกพร่อง : สิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่ผิดไปจากมาตรฐาน เช่นหลังคดและหลังยาวไม่ได้สัดส่วน ข้อเท้าขาหลังโค้งงอมากไป ส่วนท้ายของลำตัวเป็นเส้นตรง มีขนขึ้นบริเวณนิ้วเท้า ข้อเท้าแบบวัว และข้อเท้าขาหน้าอ่อนแอ
สุนัข:เชา เชา
เชา เชาเริ่มมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษในปี 1880 โดยพระนางเจ้าวิคตอเรียทรงให้ความสนพระทัย สมาคมสุนัขพันธุ์เชา เชาได้ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในอังกฤษในปี 1895 สุนัขพันธุ์เชา เชามีความสามารถในการดมกลิ่นเป็นเลิศ มีความเฉลียวฉลาดในกลวิธีการล่าสัตว์
ปัจจุบันสุนัขพันธุ์เชา เชาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ในบ้านเราจัดได้ว่าได้รับความนิยมอยู่ในเกณฑ์สูงและจัดได้ว่าเป็นสุนัขที่ค่อนข้างมีระดับ เหตุเพราะว่าเป็นสุนัขที่มีราคาค่อนข้างสูง จากการที่เชา เชามีขนหนาแน่นปกคลุมอยู่ทั่วตัว ทำให้ร่างกายอุ้มความร้อน ดั้งนั้นเชา เชาจึงชอบอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น ในสภาพอากาศที่ร้อนอย่างบ้านเรา มักจะทำให้เหนื่อยง่ายและเฉื่อยชา แต่อย่างไรก็ตามการที่เชา เชามีการขยายพันธุ์ในหลายๆ รุ่น ทำให้สามารถปรับสภาพกับอากาศในเมืองไทยได้พอสมควร
มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : เชา เชาเป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยพละกำลัง ลำตัวสั้นกระทัดรัด มีความแคล่วคล่องว่องไวและตื่นตัวอยู่เสมอ มีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและมีโครงสร้างที่สมดุลมาก ลำตัวเป็นสี่เหลี่ยม ศีรษะกว้างและแบน สันจมูกกว้างและสั้น มีขนขึ้นหนาแน่นโดยเฉพาะที่รอบคอ ขาใหญ่ตั้งตรงและแข็งแรง ขนมีความมันเป็นประกาย ลักษณะเด่นของเชา เชาคือ มีความเป็นเอกลักษณ์ มีความสง่างามและมีความเป็นธรรมชาติ เปรียบเสมือนกับเป็นราชสีห์ หน้าตาดุดันแข็งขัน สงบและว่างท่าอย่างสุขุมเป็นผู้ดี มีความเป็นอิสระและมีการตัดสินใจที่ดี
ศีรษะ : มีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดรูปร่าง มีกะโหลกศีรษะแบนกว้าง มีสต๊อปชัดเจน ลักษณะหน้าตาฉายแววของความทรนงองอาจ สันจมูกสั้นและกว้างเมื่อเทียบกับความยาวของกะโหลกจากตาจนถึงปลายจมูก ริมฝีปากเต็มและยื่น
ฟัน : ฟันขาว แข็งแรง สบกันพอดี
จมูก : จมูกใหญ่ กว้างและมีสีดำ ถ้าจมูกมีลายจุดหรือมีสีอื่นที่เห็นได้ชัดเจนนอกจากสีดำถือว่าขาดคุณสมบัติ ยกเว้นเชา เชาที่มีดำ, น้ำเงิน จมูกอาจมีสีน้ำเงินได้ ลิ้นมีสีดำออกน้ำเงิน เนื้อเยื่อในปากออกสีดำ ถ้าลิ้นมีสีชมพูแดงหรือมีจุดสีแดงจนเห็นได้ชัดเจนถือว่าขาดคุณสมบัติ
ตา : มีสีดำขนาดปานกลาง รูปร่างเรียวคล้ายผลอัลมอนด์ ขอบตาสีดำ
หู : ใบหูเล็ก ตรงปลายหูมีความโค้งมนเล็กน้อย หูแข็งตั้งขึ้น เอียงออกด้านข้างและด้านหน้าเล็กน้อย ถ้าหูตกข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างถือว่าขาดคุณสมบัติ
ลำตัว : สั้นกระทัดรัด มีซี่โครงผายออก ความสูงของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของลำตัว เส้นหลังตรงขนานกับพื้น
คอ : ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ คอกลม มีความยาวพอเหมาะ แข็งแรง ทำให้ดูสง่างาม
อก : กว้างและลึกเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ลึกจรดข้อศอก ถ้าอกแฟบถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรง
ขาหน้า : ขาหน้าตั้งตรง กระดูกมีขนาดใหญ่ มีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ข้อเท้าขาหน้าตั้งตรงตั้งฉากกับพื้น เท้าชี้ตรงไปข้างหน้าไม่บิดซ้าย - ขวา เท้ามีลักษณะหนากลม เท้าชิด เล็บตัดสั้น
ขาหลัง : มีกระดูกใหญ่ ขาหลังท่อนบนประกอบด้วยกล้ามเนื้อ มองจากด้านหลังขาหลังตรง และขนานห่างกันพอเหมาะ ข้อเท้าหลังตรงตั้งฉากกับพื้น มองจากด้านข้าง สะโพก หัวเข่าและข้อเท้าจะเป็นเส้นตรงเดียวกัน เท้าหลังมีลักษณะคล้ายเท้าหน้า
เอว : มีขนาดสั้นและลึก ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ
ขน-สี : มี 2 ชนิด คือ ชนิดขนสั้นและชนิดขนยาว มีขนที่ดกหนา เส้นขนเหยียดตรง ขนชั้นนอกค่อนข้างหยาบ ขนชั้นในนุ่ม มีสีสดใสและเป็นสีเดียวกันตลอด อาจมีเฉดสีแตกต่างออกไปเล็กน้อยตรงแผงคอ ที่หางและที่ก้น เชา เชามีสีดำ, สีเทา, สีแดง, สีครีม ที่สำคัญคือ เชา เชาต้องมีสีเดียวตลอดทั้งตัว
หาง : โคนหางอยู่ในระดับสูง หางพาดแนบหลัง
ส่วนสูงและน้ำหนัก : สูงประมาณ 17 - 20 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 24 - 27 กิโลกรัม
การเคลื่อนไหว : มีความมั่นคง สง่างาม ขณะวิ่งขาตึง ยกเท้าไม่สูง คอเชิด