13 มิ.ย. 2553

หลับเป็นยา

โดย : หนูดี-วาริษา เรซ



ตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทย หนูดีก็เข้าคอร์สกิจกรรมแบบ “ตะวันออก” เพราะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ขาดหายไปตลอดเกือบ 10 ปีที่จากบ้านไปอยู่อเมริกา


อันดับแรกๆคือการไปปฏิบัติธรรม และอย่างที่สอง สาม สี่ที่ตามมาคือ ไปเรียนฮวงจุ้ย ไปหาหมอแผนโบราณแบบไทย จีน รวมถึงไปฝังเข็ม เริ่มกินสมุนไพรแบบต่างๆ อยู่เมืองนอกถึงมีก็จริง แต่สิ่งเหล่านี้หายากเกินไปและราคาก็แพงไปสำหรับกระเป๋านักเรียนแบบหนูดีตอนนั้น พอได้ทำ อีกสิ่งที่สนุกตามมาก็คือ การนำข้อมูลที่ได้เห็นตรงหน้า มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราได้เรียนมาแบบตะวันตก

หนูดีเลยรู้สึกเหมือนตัวเองมีสองสมองอยู่ตลอดเวลา หนึ่งคือสมองแบบตะวันตก อีกหนึ่งคือสมองแบบตะวันออก ไม่ว่าจะเห็นอะไร หนูดีจะเริ่มด้วยมุมมองหนึ่ง แล้วไปจบด้วยอีกมุมมองหนึ่งเสมอ หลายครั้งก็ได้ขำกับตัวเองว่า โลกใบเดียวกันนี้ ทำไมมันช่างมีหลายวิธีที่จะมองได้เสียจริงเชียว หรือ บางครั้งก็ได้งงว่า ความเชื่อของตะวันออก ทำไมช่างไปตรงกับงานวิจัยทางตะวันตกเหมือนนัดกันไว้ ทั้งๆความจริงสองสิ่งนี้ถูกคั่นกันด้วยเวลาหลายร้อยปี

ล่าสุด หนูดีเพิ่งไปตรวจร่างกายในแบบจีนโบราณมาค่ะ หมอใช้วิธีจับเส้นพลังปราณ หรือ “การแมะ” นั่นเอง หมอแมะทักหนูดีหลายอย่าง ตรงกับที่ไปตรวจที่โรงพยาบาลมาทั้งหมด แถมยังทักเพิ่มเติมถึงพลังของตับที่อ่อนแรง รวมถึงหัวใจที่เริ่มทำงานได้ไม่เต็มที่ด้วย ทำให้เหนื่อยง่าย บางครั้งนั่งๆอยู่ ไม่ทำอะไรก็เหนื่อยขึ้นมาเฉยๆ ซึ่งตรงเป๊ะกับความรู้สึกของหนูดี รวมถึงเลือดที่ไม่แข็งแรงเท่าที่ควร อุ้มออกซิเจนได้ไม่ดี ทำให้สมองได้ออกซิเจนไม่พอกับที่ต้องการ ส่งผลให้ปวดหัวง่ายอีกด้วย

หนูดีฟังทั้งหมดด้วยความงงๆ รีบจดให้ทันจะได้เอามาอ่านต่อที่บ้านได้ คุณหมอสั่งยาลูกกลอนจีนให้กิน มีโสมธิเบตต่างหากด้วยเป็นแคปซูล รวมถึงกำชับว่า ให้นอนหลับกลางวันระหว่าง 12.40-13.00 ให้ได้ คือ รับประทานอาหารเที่ยงเสร็จก็ให้หลับเลย เพราะเป็นเวลาที่พลังงานร่างกายไปหล่อเลี้ยงหัวใจ และเป็นเวลาฟื้นฟู “หยินทารก” หรือ พลังงานหยินที่เพิ่งเริ่มก่อตัวขึ้นมา ถ้านอนตอนนี้แล้ว จะไม่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกตี1 ตี 2 แล้วตาค้างจน ตี 4 ตี 5 ถึงหลับลงอีกครั้ง

ฟังแล้วชักอยากรู้ว่า นี่เป็นความเชื่อแบบจีนเท่านั้นหรือ แล้วมีหมอตะวันตกท่านไหนไหมที่ได้ทำวิจัยเรื่องนี้บ้าง ในที่สุด ก็มาพบข้อมูลในหนังสือ Take a Nap! Change Your Life. โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชื่อ ดร. ซาร่า ซี เมดนิค ที่ได้ทำวิจัยกับกลุ่มคนที่นอนกลางวันอย่างสม่ำเสมอ และพบว่า คนเหล่านี้มีการทำงานของสมองที่มีประสิทธิภาพกว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้นอนกลางวัน

ตัวอย่างหนึ่งคือ ความเชื่อเรื่อง “ความจำ” จากงานวิจัยในอดีตที่เคยให้คนสองกลุ่มเข้ามาในห้องทดลองและอ่านข้อมูลชุดหนึ่งเพื่อให้จำให้ได้ หลังจากนั้น ให้กลุ่มแรกทำข้อสอบทดสอบความจำในทันทีหลังอ่านเสร็จ ส่วนกลุ่มที่สองนั้น ให้กลับไปนอนหลับที่บ้านก่อนหนึ่งคืน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยมาทำข้อสอบ พบว่า กลุ่มที่สองได้คะแนนสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แล้วก็เลยกลายเป็นความเชื่อสามัญประจำบ้านมานานปีว่า การนอนหลับสนิทในตอนกลางคืนช่วยให้สมองทำงานได้ดี และจำได้ดีขึ้นมาก

ดร. เมดนิคได้นำการวิจัยนี้มาทดลองทำซ้ำ แต่คราวนี้ ไม่ให้กลุ่มที่สองกลับไปนอนที่บ้านค่ะ แต่ว่า ให้นอนหลับแค่หนึ่งชั่วโมง ที่เก้าอี้นวมตรงห้องวิจัยนั่นเอง ผลก็ออกมาใกล้เคียงมากกับการนอนหลับตอนกลางคืน คือ กลุ่มที่ได้นอนกลางวันก่อน ทำข้อสอบได้คะแนนดีกว่ากลุ่มที่อ่านแล้วสอบเลยมาก

หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วสนุกค่ะ เพราะได้รวบรวมเอางานวิจัยเกี่ยวกับการนอนกลางวันไว้มากมาย ในงานชิ้นหนึ่งองค์กรนาซ่าได้ทดลองให้พนักงานกลุ่มหนึ่งนอนกลางวันเป็นเวลาประมาณ 30 นาที แล้วพบว่า พนักงานมีประสิทธิผลการทำงานเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบริษัท TRC Lowney Associates แห่ง Silicon Valley ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมหัวก้าวหน้า ได้มีนโยบายให้พนักงาน “นอนกลางวัน” ได้มาตั้งแต่ปี พศ. 2512 ตราบใดที่พวกเขาทำงานเสร็จอย่างมืออาชีพตามเวลาที่กำหนด โดยบริษัทจัดห้องแยกพิเศษที่มีโซฟานุ่มยาวจำนวนมาก ไว้สำหรับพนักงานแยกไปนอนกลางวันก่อนกลับมาทำงานช่วงบ่ายต่อ

น่าเสียดายที่ในสหรัฐอเมริกานั้น National Sleep Foundation หรือ องค์กรการนอนหลับแห่งชาติ ได้ตรวจสอบพบว่า กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทในอเมริกาไม่ยอมรับการนอนกลางวัน แต่ศาสตราจารย์ เจมส์ แมส แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล ผู้เขียนหนังสือขายดี Power Sleep ประมาณการว่า พนักงานอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์แอบนอนกลางวันโดยไม่มีใครรู้อยู่ดี น่าเสียดายนะคะ เพราะการนอนนั้น ดูอย่างไรก็เหมือนสนับสนุนให้พนักงานขี้เกียจ ทั้งที่ความจริงสิ่งนี้ดีกับสมองจังค่ะ

สำหรับผู้ใหญ่อย่างพวกเรา การนอนกลางวันประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ช่วยให้ร่างกายไม่เคร่งเครียดเกินไปในเวลากลางวัน ทำให้เราได้พลังงานสดชื่น พร้อมจะทำงานต่อในตอนบ่าย และที่สำคัญจะช่วยให้เราไม่ตื่นขึ้นมาตาค้างแข็งในช่วงหลังเที่ยงคืนด้วยค่ะ ช่วยให้เราหลับต่อเนื่องได้ตลอดคืน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับคนทำงานหนักในระหว่างวัน

ช่วงนี้ใครมีเวลาอยู่บ้านในวันหยุด ไม่ได้ไปไหน ก็ลองนอนกลางวันดูนะคะ ไม่ต้องรู้สึกผิดว่าเราขี้เกียจ เพราะพอตื่นขึ้นมาครั้งนี้ รับรองว่าคุณจะมีแรงทำงานไปได้เต็มที่จนเกือบหนึ่งทุ่มทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี หมอแนะนำหนูดีว่า รับประทานอาหารเย็นหกโมง แล้วพักได้แล้วค่ะ อย่าลากงานยาวไป เดี๋ยวตาค้าง นอนไม่หลับอีกล่ะแย่เลย

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หากใครคิดจะนอนกลางวันล่ะก็ ขอให้หลับฝันดีนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น: