17 ม.ค. 2553
เตือนภัย แก๊งไม้จิ้มฟันตุ๋นเงิน
นายแบงก์เตือนชาวบ้านฉลองปีใหม่ระวังแก๊งอุบาทว์หลอกตุ๋นเงิน ใช้มุกเดิมแอบเอาไม้จิ้มฟันเสียบช่องสอดบัตรตู้เอทีเอ็ม เล่นบทเป็นพลเมืองดี ทำทีเข้าช่วย พร้อมล้วงตับแอบดูรหัสผ่าน ระบุถ้าเผลอเจอดีแอบไปกดแน่ แนะลูกค้าต้องแจ้งคอลเซ็นเตอร์อายัดบัตรด่วนไม่งั้นอาจซวยส่งท้ายปี ต้อนรับปีใหม่ นายพล ธนโชติ ผู้อำนวยการ ฝ่ายสนับสนุนช่องทางอิเล็กทรอนิกส์และเครือข่ายการบริการ ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะประธานชมรมธุรกิจบริการเอทีเอ็ม เปิดเผยว่า ช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่จะเป็นช่วงที่การจับจ่ายใช้สอยสะพัด และจะมีประชาชนมากดเงินที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งเป็นจำนวนมาก จึงเป็นเหตุให้กลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสนี้ก่อเหตุหลอกล่อผู้บริโภคในทุกวิธี ทางเพื่อฉ้อโกงแล้วเชิดเงินหนีไปอย่างหน้าตาเฉย
ทั้งนี้วิธีการที่ กลุ่มมิจฉาชีพนี้นำมาใช้จะเป็นวิธีการดั้งเดิมที่เคยทำมาแล้วเมื่อ 4-5 ปีก่อน คือการนำไม้จิ้มฟันหรือวัตถุชิ้นเล็กๆ เข้าไปเสียบไว้ข้างๆ ที่สอดบัตรเอทีเอ็ม ส่งผลให้บัตรติดค้างอยู่ข้างใน และหลังจากนั้นจะมีมิจฉาชีพ 1-2 ราย ซึ่งเข้ามาแสดงตนเป็นบุคคลที่สองทำทีมาให้ความช่วยเหลือ แต่แท้จริงนั้นต้องการล้วงความลับคือรหัสบัตรของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายเผลอกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้จะทำการหยิบไม้จิ้มฟันออก แล้วดึงบัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายแล้วนำไปกดเงินต่อไป หรือไม่ก็อาจคัดลอกข้อมูลจากเครื่องคัดลอกข้อมูลขนาดเล็กที่ติดไว้ในมือ (Handing Skimming) แล้วทำการคัดลอกข้อมูลเพื่อปลอมบัตรและนำไปกดเงินในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม การที่กลุ่มมิจฉาชีพหันกลับไปใช้วิธีการแบบดั้งเดิมนั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ธนาคารพาณิชย์มีการติดตั้งเครื่องคัดลอกข้อมูล (แฮนดิ่ง-สกิมมิ่ง) ไว้ที่ตู้เอทีเอ็มเพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลของลูกค้า ซึ่งถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยจากสถิติความเสียหายทั้งปี 2552 ได้รับรายงานว่ามีผู้เสียหายจากการโดนคัดลอกข้อมูลบัตรเอทีเอ็มทั้งระบบ ธนาคารเพียง 1-2%หรือคิดเป็นมูลค่าเพียงหลักหมื่นบาทเท่านั้น จากก่อนหน้านี้ในปี 2551 ที่มีสถิติเกือบ 100%ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภคคิดเป็นมูลค่าหลาย 10 ล้านบาท
“วิธีการป้องกันความเสี่ยงโดยเบื้องต้นต้องขึ้นอยู่กับผู้บริโภคเอง ซึ่งไม่ควรไว้ใจบุคคลที่สองไม่ว่าจะเป็นญาติ พี่น้อง หรือใครก็ตาม ให้ถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสมาคมธนาคาร ธนาคารพาณิชย์ ชมรมธุรกิจเอทีเอ็ม ก็ได้มีการประชาสัมพันธ์อยู่เสมอว่าควรที่จะต้องระวัง เพราะกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้จะมีเครื่องคัดลอกข้อมูลเล็กๆ ไว้ในมือที่สามารถคัดลอกข้อมูลเราได้ภายในไม่กี่วินาที แล้วนำไปทำบัตรเอทีเอ็มปลอมในภายหลัง และหาจังหวะล้วงเอารหัสบัตรจากเราอยู่ตลอดเวลา พร้อมกันนี้ก็จะคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อลอกล่อผู้บริโภคอยู่เสมอ”นายพล กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มมิจฉาชีพจะไม่สามารถทำอะไรกับบัตรเอทีเอ็มของเราได้เลยหากไม่ทราบรหัส บัตรเอทีเอ็ม แม้จะสามารถคัดลอกข้อมูลจากแถบแม่เหล็กของผู้บริโภคได้แล้วก็ตามที ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคควรระวังคือการป้องกันรหัสบัตรให้ดีที่สุด ซึ่งควรจะต้องเปลี่ยนรหัสบัตรเอทีเอ็มของตนเองอยู่เสมออย่างน้อยก็เดือนละ ครั้ง หรือไม่เกิน 3 เดือนเปลี่ยนหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ หากเกิดกรณีบัตรค้างอยู่กับตู้เอทีเอ็มให้ผู้บริโภคโทรศัพท์ไปยังคอ ลเซ็นเตอร์ของธนาคารนั้นๆ ตามเบอร์โทรศัพท์ที่ติดอยู่ตรงหน้าเครื่อง อย่าเดินหรือละสายตาจากตู้เด็ดขาด โดยถ้าเป็นระบบการป้องกันของธนาคารกสิกรจะทำการตัดระบบไฟของตู้นั้นๆ ทันที ซึ่งธนาคารยอมขาดรายได้แทนความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับลูกค้า
อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าวทางสมาคมธนาคารไทยและชมรมธุรกิจบริการเอทีเอ็มไม่ได้นิ่งนอน ใจ แม้ที่ผ่านมาจะประสบความสำเร็จจากการติดตั้งเครื่องแฮนดิ่ง-สกิมมิ่งมากก็ ตามที่ โดยยังได้มีการหารือร่วมกับบริษัทจำหน่ายเครื่องเอทีเอ็มอยู่เป็นระยะว่า ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะต้องพัฒนาระบบการป้องกันการโจรกรรมในทุกรูปแบบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ ให้มีประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การติดตั้งเครื่องแอนติ-สกิมมิ่งขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ติดตั้งกันเสร็จ เกือบ 100% แล้ว ขณะที่ความเสียหายที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ 1-2%นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผลมาจากผู้บริโภคบางรายอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าเคยถูกโจรกรรม ข้อมูลไป เพราะกลุ่มมิจฉาชีพอาจไม่ได้ทำการกดเงินในทันที แต่จะค่อยๆ ทยอยกดในภายหลัง
นายพล กล่าวอีกว่า ในปี 2553ธนาคารจะยังเดินหน้าพัฒนาระบบการให้บริการผ่านตู้เอทีเอ็มอย่างต่อเนื่องและ เพิ่มขึ้น ทั้งด้านการรับชำระค่าบริการต่างๆ โดยการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความหลากหลายขึ้น นอกจากนี้จะเดินหน้าติดตั้งเครื่องฝากเงินอัตรโนมัติเพิ่มอีก10-20% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1พันเครื่องทั่วประเทศ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น