14 ม.ค. 2553

ในม่านกาลเวลาฟ้าห่มปก

ในม่านกาลเวลาฟ้าห่มปก (อสท.)เรื่อง ธเนศ งามสมภาพ โสภณ บุรณประพฤกษ์

ดอยผาหลวง ปลายฤดูฝน ณ ความสูง 2,290 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง มองออกไป ทิวดอยรอบ ๆ ตัวราวกับถูกห่มคลุมด้วยผ้านวมสีขาว ลมหนาวพัดกรูปะทะยอดดอยและต้นไม้ ตะวันค่อย ๆ ฉายแสง สายหมอกไหลเอื่อยดั่งผืนผ้านุ่มหนาค่อย ๆ ลอยต่ำลงมาห่มคลุมยอดดอย โมงยามนั้น คล้ายเวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ เปิดโอกาสให้เราเฝ้ามองภาพตรงหน้า สายหมอกลอยลงช้า ๆ คล้ายดั่งว่าผืนผ้าค่อย ๆ ลอยลงมาโอบกอดยอดดอย

เนิ่นนานมาแล้ว ที่คนถิ่นนี้เรียกยอดดอยซึ่งสูงอันดับ ๒ ของบ้านเราว่า "ฟ้าห่มปก"

แทบตลอดปี ท้องฟ้าจะนำพาเมฆหมอกลงมา "ห่มปก" ยอดดอยผาหลวง - ยอดดอยที่สูงที่สุดในแถบนี้ ยิ่งในช่วงฤดูฝน ท้องฟ้าชุ่มฉ่ำจะ "ห่มปก" จนราวกับยอดดอยเลือนหาย

เราเห็นภาพนั้นทุก ๆ วันในขณะเดินทางในอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก ไม่ว่าจะอยู่ทิศใด ยอดดอยผาหลวงจะปรากฏในสายตา บ้างเป็นภาพพร่าเลือนสีคราม บ้างก็ลับหายอยู่ในม่านหมอกหนา

วันหนึ่ง เราเดินทางไปด้านทิศใต้ ยอดดอยมองเห็นราง ๆ กลางเมฆขุ่นเทา แล้วฝนก็โปรยขณะเรามาถึง "น้ำรู" ท่ามกลางละอองฝน ใครบางคนนำเราไปยังลำห้วยสายน้อย ตรงชายป่าริมไหล่ดอยคล้าย จู่ ๆ น้ำทั้งสายก็พรั่งพรูออกมาจากภูเขา สายน้ำสะอาดใส เย็นชื่น ใช้ดื่มกินได้สนิทใจ

ท่ามกลางละอองฝน เราเดินทางต่อไป ไต่ดอยไปตามเส้นทางภูเขา ราวอึดใจจึงมาถึง น้ำตกโป่งน้ำดัง น้ำตกสายย่อมในผืนป่าสมบูรณ์

ความที่เป็นน้ำตกเขาหินปูน จึงมีชั้นเล็ก ๆ ทอดลดหลั่นลงมา ตามชายน้ำอุดมด้วย เฟิร์น บิโกเนีย และบอนใบเล็กใหญ่มากหลาย

ใต้เงาไม้ป่าร่มรื่น ละอองน้ำเย็นชื่นลอยปนละอองฝน แม้ตามโขดหินก็ไม่เคยว่างเปล่า บรรดามอสและไลเคนขึ้นคลุมเป็นพืดสีเขียว ความรู้สึกจึงราวกับว่า ทุกชีวิตดูจะงอกงามง่ายดายเหลือเกินในป่าผืนนี้





บ่ายคล้อย ถนนพาเราไต่ดอยสูงขึ้นไป ยอดดอยผาหลวงมองเห็นลิบ ๆ ที่ปลายขอบฟ้า ฝนเริ่มโปรยขณะเรามาถึง น้ำตกปู่หมื่น รอยทางเล็ก ๆ ทอดเข้าไปใต้ร่มเงาไม่ใหญ่ ไม่นานก็ได้ยินเสียงน้ำโจนตกดังก้อง ละอองน้ำลอยปลิวไปทั่ว ยืนอยู่เบื้องหน้าปู่หมื่น คงมีลำธารสายเล็กสายน้อยบนยอดดอยจึงมีน้ำตกใหญ่โตเช่นนี้ได้
ใกล้ ๆ ผาน้ำตก ผมย่อตัวลงดู "ศาล" เล็ก ๆ ซึ่งสานด้วยไม้ไผ่ เป็นศาลซึ่งซาวมูเซอทำไว้เพื่อเลี้ยง "ผีน้ำ" ท่ามกลางละอองน้ำเย็นชื่น ศาลเล็ก ๆ ตรงหน้าไม่เพียงบอกเล่าว่าน้ำตกนี้สำคัญเพียงใด ศาลเล็ก ๆ ซึ่งสานด้วยไม่ไผ่ริมน้ำตก ยังบอกเลา ๆ ว่ายอดดอยสำคัญต่อชีวิตเบื้องล่างเพียงใดด้วย
ที่ฟ้าห่มปก ดูเหมือนว่า "ถนน" จะทอดไปตามไหล่ดอยเสมอ บางเส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยวสูงชัน ทว่าก็แลกมาด้วยทิวทัศน์ชวนมอง ถนนเส้นหนึ่ง พาเราไปยังทิวดอยใกล้ชายแดน ฝนหว่านละอองลงมาบาง ๆ ตามหุบดอยปรากฏสายหมอกขาว
ถึงบ้านห้วยหมากเลี่ยม เราแวะพูดคุยกับพ่อหลวงของบ้านนี้ หมู่บ้านดาระอั้งซึ่งอาศัยป่าดอยถิ่นนี้เลี้ยงชีวิต
"30 ปีที่แล้ว เราอพยพหนีสงครามกันมา" พ่อหลวงมหาวงศ์ นามแก้ว เล่าด้วยสำเนียงไทยเหนือ น้ำเสียงแผ่วเบา พ่อหลวงเล่าว่า หมู่บ้านเดิมนั้นอยู่ในฝั่งพม่า ตั้งอยู่ใจกลางป่า ห่างจากชุมชนใกล้สุดระยะเดิน ๑ วันเต็ม
เรื่องราวของชาวดาระอั้งมีอยู่ว่า พวกเขาเป็นชนเผ่าที่ค่อนข้างเก็บตัว รักสงบ "ดาระอั้ง" หมายถึงคนที่อยู่บนดอย พวกเขาอาศัยอยู่ตามดอยลาย เทือกเขาสูงฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน ที่ซึ่งอุดมด้วยป่าไม้และสัตว์อย่าง เสือ ช้าง กระทิง นกยูง
ภาษาพูดของดาระอั้งคล้ายคลึงกับชาวลัวะ แต่ไม่มีภาษาเขียน จึงใช้ภาษาเขียนของชาวไทใหญ่ และด้วยความใกล้ชิดกัน ไทใหญ่จึงเรียกพวกเขาว่า "ปะหล่อง" ซึ่งหมายถึง "คนภูเขา"
"แรก ๆ เรามากันไม่กี่คน พอรู้ว่าที่นี่สงบ พี่น้องก็ย้ายตามกันมา" พ่อหลวงเล่าช้า ๆ ในแววตายังเจือความหวาดกลัว - หวาดระแวง
ถึงวันนี้ บ้านห้วยหมากเลี่ยมมีผู้อาศัย 180 ครอบครัว ผืนดินเล็ก ๆ ตามไหล่ดอย คือที่มาของข้าวซึ่งใช้กินตลอดปี รายได้หลัก ๆ มาจากการรับจ้างทำไร่ ทำสวนลิ้นจี่
เวลาค่อย ๆ หมุนไป พ่อหลวงค่อย ๆ เล่าเรื่องราวในอดีต ความยากลำบากเมื่อครั้งเดินเท้าข้ามป่าเขาข้ามชายแดน ความโหดร้ายของสงคราม และผืนดินไทยอันสงบสุข ร่มเย็น
เวลาค่อย ๆ หมุนไป ทุกคนเริ่มผ่อนคลาย หลายคนเข้ามาพูดคุยกับเรา ใครบางคนชวนเราไปดู "ชุดเจ้าสาวดาระอั้ง" ที่บ้านฝั่งตรงข้าม

อันที่จริง ในหมู่บ้านยังไม่มีงานมงคลใด ๆ แต่ด้วยน้ำใจ หญิงสาวซึ่งมีฝีมือเย็บปักเสื้อผ้ายินดีที่จะสวมชุดที่เธอเย็บไว้ให้เราชื่นชม ผ้าถุงสีแดงสดนั้นดูเข้ากันกับเสื้อตัวเล็ก ๆ สีฟ้า ตามชายแขนประดับด้วยด้ายสีและเครื่องเงินทั้งหมดดูงดงาม ลานตา ที่เอวของหญิงสาวมี "เข็มขัด" หลายเส้นคาดรอบ มีทั้งเงินและหวาย "เราเรียกว่า "หน่องว่อง" เครื่องประดับสำคัญของเรา" หญิงสาวอธิบาย ขั้นตอนสุดท้ายคือการโพกผม ผ้าทอสีแดงสดคาดลายดำ ขาว ชมพู และเขียว ค่อย ๆ โอบคลุมเส้นผมยาวสลวย เมื่อเป็นมุ่นมวยดีแล้วจึงประดับด้วยสร้อยเงินเส้นยาว อีกทั้งเหรียญเงินวามวาว...
เย็นแล้วที่เรากลับลงมาจากบ้านห้วยหมากเลี่ยม ยอดดอยผาหลวงเลือนหายอยู่ในเมฆฝน ถ้อยคำร่ำลายังกังวานในความทรงจำ
นึกภาพวัน "ลักหนี่" หรือวันปีใหม่ที่พ่อหลวงเล่า งานเลี้ยงรื่นเริงจะมีขึ้น ทุกคนจะกลับคืนบ้าน ชายหนุ่มและหญิงสาวจะได้สานสัมพันธ์ต่อกัน ผ่านมา 30 ปี ใต้เงื้อมเงาดอยผาหลวง ชีวิตเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ หลายชีวิตได้ปักหลักสร้างบ้านใหม่ หนุ่มสาวหลายคนจะได้เริ่มต้นบทใหม่ของชีวิตในวัน "ลักหนี่" ปีนี้
ใต้แสงอบอุ่น ดอยผาหลวงดูยิ่งใหญ่เหลือเกินยามแหงนคอมอง วันนี้ท้องฟ้ากระจ่างใส ใบไม้เขียวฉ่ำน้ำฝน ลำห้วยอาบแสงแดดเช้าเป็นประกายสีเงินยวง
เราเดินทางมุ่งขึ้นเหนือ เส้นทางภูเขานำเราเข้าใกล้ยอดดอยช้า ๆ ผ่านป่าดิบเขา ทอดผ่านดงสนสามใบอันร่มรื่น มุมมองข้างทางคือทิวดอยซับซ้อนกระจ่ายเตา ถึงทางแยกไปหน่วยจัดการต้นน้ำดอยผาหลวง ถนนดินเริ่มคดเคี้ยว เป็นหลุมร่องลึก มิตรร่วมทางซึ่งทำหน้าที่สารถี จดจ่อกับทางดอยเบื้องหน้าไม่วางตา ป่าดิบเขาสมบูรณ์เริ่มปรากฏสองข้างทาง นกเด้าลมดงบินนำหน้ารถไป มันเปรียบดั่งสัญลักษณ์ของฤดูหนาว การปรากฏตัวนั่นหมายถึง สายลมหนาวเริ่มเดินทางมาเยือนแล้ว


บ่ายคล้อย ทางภูเขานำเราขึ้นมาถึงม่อนกิ่วลม ที่ความสูง 1,924 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง อากาศเริ่มหนาวเย็น อุณหภูมิ 24 องศาเซลเซียส ที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว กุหลาบป่า "คำแดง-คำขาว" กำลังบานดอกสะพรั่ง ลมหนาวพัดผ่านทิวสนคล้ายเสียงฝนโปรย แดดอุ่นฉายส่อง อากาศปลอดโปร่ง มองเห็นตัวอำเภอฝางเป็นจุดเล็ก ๆ เบื้องล่าง
เช้าวันถัดมา เราตื่นราวตี 4 เตรียมตัวเดินขึ้นยอดดอยผาหลวง อุณหภูมิลดลงอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส ท้องฟ้าผุดพราวด้วยดวงดาว ตัวอำเภอฝางเริ่มเปิดไฟสว่างเรือง
เราเดินฝ่าลมหนาวขึ้นยอดดอย ผ่านม่อนวัดใจ รอยทางเริ่มทอดขึ้นไปในป่าโบราณ ไม้ยืนต้นสูงใหญ่ ตามลำต้นและกิ่งก้านห่อหุ้มอยู่ด้วยพรรณไม้มากหลาย ทั้งมอส ไลเคน เฟิร์น กล้วยไม้ หยดน้ำเกาะพราวเป็นเม็ดใส ทุกอย่างดูเขียวชอุ่ม เย็นตา คล้ายต้นไม้สวมเสื้อสีเขียวนุ่มหนา
เสียงนกเล็ก ๆ ร้องแว่ว รอยหมูป่าฝูงใหญ่เพิ่งผ่านไปหมาด ๆ วิชาญ - เพื่อนพิทักษ์ป่า ก้มลงดูรอยตีนซึ่งตามฝูงหมูป่าไป แล้วให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นเสือไฟ สัตว์ตระกูลแมวขนาดตัวราว ๆ หมาพันธุ์ไทย แดดอบอุ่นเริ่มฉายส่อง ตามพื้นป่าเต็มไปด้วยลูกไม้หล่นเกลื่อน ปลายฤดูฝนเช่นนี้ ผืนป่าดูสมบูรณ์เป็นพิเศษ ตามคาคบไม้อุดมด้วยลูกไม้มากหลาย ตลอดทางขึ้นยอดดอย ลูกก่อแป้นหล่นเกลื่อนนองดิน เชื้อเชิญให้สัตว์ต่าง ๆ ลิ้มลองเนื้อในมันหวาน
05.42 นาฬิกา รอยทางค่อย ๆ ทอดออกสู่สันดอยโล่ง หมอกเย็นชื่นลอยผ่านไปเป็นสาย คล้ายจู่ ๆ เรามาพบตัวเองยืนอยู่ ณ จุดจุดหนึ่ง ตะวันดวงแดงฉายแสงตรงปลายขอบฟ้า เบื้องล่างปรากฏทิวเขาซับซ้อน คล้ายผืนดินยับย่นสีเขียว พรมแดนไทยและรัฐฉานเผยตัวอยู่เบื้องหน้า ทิวดอยและผืนป่าเลือนหายไปกับโค้งชอบฟ้า
ณ ความสูง 2,291 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง คล้ายดั่งว่าเรามาเยือนสถานที่ซึ่งมีเพียงคำเล่าขาน ยืนอยู่บนนี้ ราวกับเราร่วมเป็นประจักษ์พยานในปรากฏการณ์บางอย่าง คล้ายดั่งพิธีกรรมแห่งขุนเขา ปรากฏรุ้งทอดโค้งอยู่เหนือเงาของเรา แดดอุ่นสาดส่อง ลมหนาวพัดหวีดหวิว สายหมอกขาวค่อย ๆ ลอยลงต่ำ คล้ายเวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ สายหมอกลอยลงช้า ๆ ดั่งว่าผืนฟ้าค่อย ๆ ลอยลงมา













ไม่มีความคิดเห็น: