31 ส.ค. 2551

100 เคล็ดลับไดเอต

เคล็ดลับการไดเอท เพื่อหุ่นสวยเพรียวงาม ถ้าทำได้หมด 100 ข้อนี้รับรองหุ่นคุณจะต้องดีตามที่หวังไว้แน่ แต่ถ้าเพิ่งเริ่ม ก็ลองเริ่มซัก ข้อ 2 ข้อจะเป็นไรไป...

1. ตั้งเป้าหมายเล็กๆไว้ก่อน เช่น จะลดให้ได้สักกิโลในเดือนนี้ อย่าตั้งเป้าไว้ยิ่งใหญ่เกินไป

2. แทนน้ำตาลในชาหรือกาแฟด้วยสารให้ความหวานสังเคราะห์แทน

3. ดื่มน้ำเย็นจัด จะทำให้ร่างกายใช้แคลอรี่มากขึ้นในการปรับอุณหภูมิน้ำให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกาย

4. บอกบริกรให้เอาตะกร้าขนมปังออกจากโต๊ะอาหารของคุณ

5. จิบชาเขียวเพื่อช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารได้ดีกว่า

6. เอามันทอดกับเพร็ทเซลเก็บไว้ให้ไกลๆมือ

7. บริโภคอาหารเช้าทุกๆวัน

8. ออกกำลังกายตอนเช้าทุกวันเป็นสิ่งแรกเพราะร่างกายจะใช้พลังงานเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีกว่า

9. ดื่มชาหรือกาแฟในช่วงพัก เพื่อให้รู้สึกอยากอาหารน้อยลง

10. ออกกำลังกายเวลาอากาศหนาวเย็นจะเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีกว่านอนซุกอยู่ในที่อบอุ่น

11. หากอยากบริโภคป๊อปคอร์นให้เลือกแบบไม่ใส่เกลือและเนย

12. เอาอาหารกลางวันจากบ้านไปกินที่ออฟฟิศ ประหยัดทั้งแคลอรี่และเงินในเวลาเดียวกัน

13. ปิดทีวีเวลาบริโภคอาหารแต่ละมื้อ

14. เลือกเข้าร้านอาหารที่มีอาหารแคลอรี่ต่ำหรืออาหารปลอดไขมันบริการ

15. งดเข้าร้านอาหารแบบบุฟเฟต์หรือแบบเหมาจ่ายนอกบ้าน

16. เลือกผลิตภัณฑ์นมแบบ non-fat แทนแบบธรรมดา

17. อย่าบริโภคอาหารเวลาขับรถ

18. บริโภคของว่างมื้อเล็กๆรองท้องก่อนไปงานปาร์ตี้เสมอ

19. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ความเหนื่อยจะทำให้คุณหิวและกินมากขึ้น

20. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่างน้อย 20 ครั้งต่อคำ ก่อนจะกลืนมันลงไปทุกครั้ง

21. ยกน้ำหนัก 20 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญไขมันกลายเป็นกล้ามเนื้อ

22. จัดโปรแกรมการออกกำลังให้เป็น 10 นาทีต่อรอบ เพื่อให้ทำมันได้ง่ายและบ่อยกว่า

23. จอดรถให้ไกลจากออฟฟิศหรือห้างเพื่อจะได้เดินออกกำลัง

24. บริโภคไฟเบอร์ให้มากขึ้นจะได้อิ่มเร็วขึ้น

25. เลือกน้ำสลัดแบบไขมันต่ำหรือปลอดไขมันจะดีที่สุด

26. จัดให้มีอาหารประเภทโปรตีนในมื้ออาหารทุกมื้อ เพราะร่างกายจะใช้เวลาย่อยโปรตีนนานกว่าคาร์โบไฮเดรต

27. หายใจลึกๆยาวๆหลายๆครั้งก่อนกินอาหารแต่ละมื้อ

28. ใช้บันไดแทนลิฟต์ให้ได้มากที่สุด

29. เพิ่มการบริโภคแคลเซียมเพราะได้มีผลวิจัยอกมาว่า แคลเซียมช่วยเรื่องน้ำหนักได้ดีกว่า

30. อย่าบังคับตัวเองให้บริโภคให้หมดจานเพราะเสียดายของเหลือ

31. นางแบบ คลอเดีย ชิฟเฟอร์ มีอาหารว่างประจำคือองุ่นดำหรือน้ำมะเขือเทศ

32. บริโภคผักสดแทนผักที่ผ่านการปรุงแล้ว

33. ใส่อาหารมื้อเย็นครึ่งหนึ่งที่คิดจะกินลงในชามข้าวหมาตัวโปรดก่อนทุกครั้ง

34. หากเผลอตามใจปากมากเกินไปบ้าง อย่าเอาเหตุนี้มาล้มเลิกความตั้งใจ แต่ให้รีบกลับไปที่โปรแกรมไดเอตที่เคยทำประจำวัน

35. หาเพื่อ่นสนิทมาทำโปรแกรมลดน้ำหนักด้วยกัน จะได้สนุกขึ้น

36. เลือกทาสีเล็บหรือถักนิตติ้งเวลาดูทีวีแทนการหยิบขนมใส่ปาก เพื่อไม่ให้มือว่างด้วย

37. บริโภคของหวานปิดท้ายมื้ออาหารเพื่อบอกร่างกายว่า มื้อนี้สิ้นสุดลงแล้ว อย่าหาอะไรใส่ปากอีก

38. แช่องุ่นไว้ในช่องแช่แข็ง เพื่อเป็นของหวานยามต้องการ

39. เวลาไปกินข้าวนอกบ้าน ห้ามเข้าร้านพิซซ่าหรือภัตตาคารอาหารจีนเด็ดขาด

40. บริโภคผลไม้เช่นแตงโม ซึ่งอุดมด้วยน้ำ เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำและผลไม้นี้ยังมีแคลอรี่ต่ำอีกด้วย

41. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ

42. จดรายการของทุกชนิดที่บริโภคในแต่ละวันอย่างถี่ถ้วน และดูว่ามีอะไรเกินจำเป็น

43. สั่งน้ำแร่หรือโซดาเปล่าๆเพื่อตัดแอลกอฮอล์และแคลอรี่ที่จะรับลงไปครึ่งหนึ่ง

44. เคี้ยวหมากฝรั่งปลอดน้ำตาลเพื่อไม่ให้บริโภคของว่างพร่ำเพรื่อเกินไป

45. ปรับปรุงรายการอาหารประจำวัน ลดน้ำตาลและไขมันลงให้มากที่สุด

46. พยายามบริโภคอาหารโดยใส่จาน อย่าหยิบกินจากถุงหรือบรรจุภัณฑ์โดยตรง วิธีนี้จะทำให้คุณลดพฤติกรรมบริโภคพร่ำเพรื่อลงได้

47. เติมพริกหรือพริกไทยลงในอาหรเพื่อช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารของคุณ

48. อย่าบริโภคอาหารในช่วงเวลา 3 ชม. ก่อนเข้านอนเป็นอันขาด

49. เลือกออมเล็ตไข่ขาวล้วนเพื่อให้ร่างกายได้รับแคลอรี่น้อยกว่า

50. เปิดเพลงเต้นออกกำลังในช่วงเบรกระหว่างวัน

51. เพื่อจะลดน้ำหนักในช่วงแรกให้ได้ผล ให้บริโภคเฉพาะโปรตีนและผักติดต่อกันสัก 2-3 วัน

52. ดาราสาว ซัลม่า ฮาเย็ก จะนำอาหารส่วนตัวไปบริโภคเองทุกครั้ง เพื่อเลี่ยงปัญหาบริโภคมากเกินไปจากความเหนื่อยในการทำงาน

53. ความเหนื่อยทำให้คุณอ้วนขึ้นจากการบริโภคมากขึ้น ควรหาเวลาพักผ่อนให้พอ

54. บริโภคอาหารทุกๆ 3 ชม. เพื่อให้ระบบการเผาผลาญอาหารทำงานได้ดีที่สุด

55. เช่าหนังตลกมาดูบ่อยๆ เพราะการหัวเราะเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีที่สุด

56. แทนที่จะนัดเพื่อนออกไปกินข้าวเย็นนอกบ้าน ให้นัดกันไปเดินออกกำลังแทน

57. อย่าชั่งน้ำหนักตัวบ่อยเกินสัปดาห์ละครั้ง

58. อบหรือนึ่งอาหารที่จะบริโภคแทนการทอดให้ได้มากที่สุด

59. อย่าหวังว่าจะลดน้ำหนักได้ในชั่วข้ามคืน เพราะการลดน้ำหนักลงถาวร ต้องใช้เวลาสักระยะ

60. เติมถั่วลงในมื้ออาหารให้มากขึ้น พืชนี้อุดมด้วยโปรตีนและไฟเบอร์ ทั้งยังมีไขมันต่ำด้วย

61. ลองบริโภคมื้อเย็นโดยไม่สวมชุดใดๆที่หน้ากระจกบานใหญ่ๆดู รับรองว่าจะกินได้น้อยลง

62. ทำสลัดผักชามใหญ่ๆบริโภควันละมื้อทุกวัน

63. แขม่วท้องทุกครั้งเมื่อนั่งบนเก้าอี้จะช่วยให้หน้าท้องเรียบตึง

64. อย่าตัดไขมันออกโดยสิ้นเชิงในการบริโภค

65. อนุญาตให้ตัวเองบริโภคอาหารที่ชอบสัปดาห์ละครั้ง จากนั้นกลับไปที่โปรแกรมไดเอตของคุณ

66. ดื่มน้ำที่มีมะนาวฝานอยู่ด้วย 1 ซีก และห้ามเติมน้ำตาลเป็นอันขาด

67. ติดรูปของดาราที่มีรูปร่างที่คุณฝันถึงไว้หน้าตู้เย็น

68. เข้าสปาหรือทำซาวน่าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดเซลลูไลต์ลงให้ได้

69. ให้รางวัลกับตัวเอง เช่น ไปดูหนังสนุกๆหรือซื้อชุดสวยๆตัวใหม่ เมื่อสามารถบรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักที่ตั้งไว้ในแต่ละครั้ง

70. ใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที เพื่อเต้นแอโรบิกทุกๆวัน

71. เวลาไปซื้ออาหารเข้าบ้าน พยายามเข้าร้านแบบเฮลธ์ช็อป ซึ่งที่นั่นจะมีของเหมาะกับสุขภาพให้เลือกบริโภคมากที่สุด

72. เอาขวดเกลือไปวางไว้ไกลๆหรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นขวดเครื่องเทศป่นแทน

73. วัดรอบเอวก่อนที่จะไดเอตไว้ก่อนเพื่อให้รู้ผลความสำเร็จของคุณ

74. อยากหยิบช็อคโกแลตเข้าปากงั้นหรือ ขอเปลี่ยนเป็นพุดดิ้งปลอดไขมันหรือช็อคโกแลตร้อนไม่ใส่น้ำตาลแทนจะดีกว่า

75. บริโภคผักเป็นอย่างแรกก่อนอาหารชนิดอื่นๆบนโต๊ะทุกครั้ง

76. จัดกิจกรรมสุดสัปดาห์ให้ดีๆว่าควรจะมีอะไรให้ทำมากกว่าการนั่งกินอาหารมื้อใหญ่ๆบนโต๊ะ

77. เติมรสต่างๆลงในมื้ออาหารแบบไขมันต่ำของคุณ เช่น เครื่งอเทศ น้ำส้มไซเดอร์หรือกระเทียม

78. ลองเป็นนักมังสวิรัติ เหมือนที่กวินเนต พัลโทรว์ทำ จะได้มีรูปร่างสวยๆแบบเธอบ้าง

79. วางแผนการบริโภคไว้ล่วงหน้าทุกมื้อ

80. เติมเมล็ดงาคั่วลงในมื้ออาหารเพื่อให้ร่างกายได้ไขมันที่มีคุณภาพ

81. เลือกขนมปังโฮลแกรนที่อุดมด้วยธัญพืชแทนขนมปังขัดขาวทุกชนิด

82. ควรเลือกบริโภคเฉพาะเนื้อเซอร์ลอยด์ที่ปลอดไขมันเท่านั้น

83. บรรดานางแบบจะเผยเคล็ดลับว่า จะบริโภคแต่โปรตีนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เมื่อต้องการดูผอมเพรียวลง

84. ดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆ ก่อนที่จะบริโภคของว่าง บางทีคุณอาจจะแค่กระหายน้ำ ไมได้ต้องการจะบริโภคอาหารก็ได้

85. บริโภคของว่างหลังจากการออกกำลังกาย เพื่อเติมพลังให้กล้ามเนื้อ

86. ปั่นจักรยานออกกำลังไปด้วยขณะที่ดูโทรทัศน์อยู่

87. เลือกบริโภคถั่วอบแห้งไม่ใส่เกลือหรือผลไม้อบแห้งแบบหวานธรรมชาติเป็นของว่างเพื่อให้อิ่มได้นานขึ้น

88. ใช้จานเล็กๆหรือถ้วยเล็กๆตักอาหารเพื่อหลอกตาตัวเองเมื่อมันเต็มแล้ว

89. เมื่อรู้สึกทรมานจากการหิวของว่างมื้อบ่าย ให้ลองลุกขึ้นออกไปเดินเล่นแทนการหาของกินใส่ปาก

90. ให้ยืนขึ้นทุกครั้งที่คุณรับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทที่ต้องคุยกันนานๆ

91. เลือกบริโภคอาหารออร์แกนิกส์จะช่วยลดน้ำหนักลงได้ จากคำบอกของคริสตีนา อากีเลร่า

92. ลองเป็นสมาชิกชมรมไดเอตสักแห่งเพื่อควบคุมความตั้งใจของคุณให้เป็นรูปธรรมและมีเพื่อนไดเอตด้วยกัน

93. ทำแซนด์วิชไปกินเอง ใส่ผักกาด โปรตีนไขมันต่ำและผักต่างๆให้มากที่สุด

94. เคี้ยวอาหารให้ช้าลง แล้วคุณจะกินได้น้อยลงด้วย

95. บอกตัวเองบ่อยๆว่า ไม่มีอะไรดีเท่ารู้สึกว่าตัวเองผอมลงได้หรอก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คุณ

96. ให้บริโภคหนักในช่วงกลางวันไม่ใช่ช่วงเย็น

97. ออกกำลังด้วยการวิ่งทุกๆวันจะดีที่สุด เป็นคำแนะนำจาก ดรูว์ แบร์รี่มอร์ที่บอกว่า เธอสามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 20 ปอนด์จากวิธีนี้

98. ตั้งงบประมาณเกี่ยวกับการบริโภคต่อเดือน และทำตามนั้นให้ได้มากที่สุด ผันงบประมาณอาหารที่เคยซื้อไปเป็นเสื้อผ้าสวยๆหรือเครื่องสำอางที่อยากได้มานาน

99. ลืมไปเลยว่ามีเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมอยู่ในโลก และดื่มชาสมุนไพรต่างๆแทน

100. การกระโดดเชือกช่วยเผาผลาญแคลอรี่และลดน้ำหนักได้ดีอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นอุปกรณ์กีฬาที่พกสะดวกด้วย

10 วิธีสำหรับหน้าท้่องแบนราบ

จะดีแค่ไหนถ้าหน้าท้องยื่นๆของหนุ่มสาวที่ทำงานออฟฟิศจะยุบลงบ้าง เอาเป็นว่าเราขอแนะนำ 10 วิธีที่จะทำให้หน้าท้่องแบนราบยิ่งขึ้น ทดลองนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างน้อยสักวันละ 3-4 ข้อเพื่อหน้าท้องที่แบนราบทุกวัน

1. ทานผลไม้่ที่มีกากใยสูงและไม่หวานจัด ประมาณ 1 ถ้วย เพื่อแก้ัปัญหาท้องผูกซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหน้าท้องบวม

2. ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ เพราะน้ำมีส่วนช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่

3. งดเครื่องดื่มประเภทคอกเทล เพราะมีแคลอรี่สูงแถมยังเพิ่มปริมาณฮอร์โมนคอทิซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด เจ้าฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เกิดการสะสมไขมันที่ช่วงท้องมากขึ้น

4. นั่งตัวตรง การนั่งโน้มไปด้านหน้าจะทำให้หน้าท้องดูใหญ่ ควรนั่งตัวตรงให้หลังส่วนล่างพิงพนักเก้าอี้เพื่อช่วยพยุงหลังเอาไว้

5. ทำสวน ปลูกต้นไม้ ช่วยเผาผลาญพลังงาน และทำให้คลายเครียดด้วย

6. ขยับสะโพก เช่น การเล่นฮูลา ฮูป จะช่วยให้กล้ามเนื้อช่วงกลางลำตัวได้เคลื่อนไหว

7. เล่นกอล์ฟ นอกจากได้ออกกำลังช่วงแขนและลำตัวแล้วยังต้องเดินเยอะมากๆ หากไม่้สะดวกไปออกรอบ ทดลองเดินขึ้น-ลงบันไดแทนการขึ้นลิฟท์ก็ไม่เลว

8. ยกขาบ้าง เวลานอนดูโืทรทัศนฺ์ให้ลองนอนราบ วางขาทั้งสองข้างไว้บนเก้าอี้ เกร็งหน้าท้องพร้อมยกศีรษะ ไหล่และหลังขึ้นมาให้พ้นพื้นแล้วค้างไว้สัก 5 วินาที ทำซ้ำสัก 10-12 ครั้ง

9. ยกสะโพกขึ้นนิด นอนราบกับพื้น แขนวางข้างลำตัว ชันขาขึ้นให้หัวเข่้าทั้งสองตั้งฉากกับพื้น เกร็งหน้าท้องแล้วค่อยๆยกสะโพกให้พ้นพื้นสัก 2 -3 นิ้ว ค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำสัก 10-12 ครั้ง

10. เกร็งหน้าท้องแบบทแยงมุม นอนราบกับพื้น ชันขาทั้งสองข้างขึ้น วางข้อเท้าขวาไว้บนเข้าซ้าย แขนประสานไว้ใต้ศีรษะ จากนั้นค่อยๆเกร็งหน้าท้อง ยกลำตัวขั้นโดยให้ข้อศอกหันไปหาหัวเข่าซ้าย ค้างไว้ 5 วินาที ค่อยๆลดระดับลำตัวลง ทำซ้ำ 10-12 ครั้ง จากนั้นให้เปลี่ยนข้าง

โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปคุณค่าน้อยกว่าซีเรียล

อย่างที่เข้าใจกันดีแล้วว่าอาหารเช้าสำคัญต่อสุขภาพอย่างยิ่ง แต่บางครอบครัวไม่มีเวลาที่จะเตรียมอาหาร เลยพึ่งพวกอาหารเช้ากึ่งสำเร็จรูปประเภทธัญพืชหรือที่เรียกว่า "ซีเรียล" แทน เพิ่มรสชาติและคุณค่าด้วยนม หรือถ้ามีผลไม้เหลือก็ประเคนเข้าไปด้วยให้อยู่ท้อง

แต่ถ้าจะเลือกระหว่างซีเรียลแบบอบกรอบเทกินกับนม หรือซีเรียลแบบต้มให้พองดีกว่ากัน นักวิจัยจากสเปนแนะว่า ซีเรียลกรอบกินแบบเย็นมีคุณค่ากว่าซีเรียลแบบต้มประเภทโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป หรือพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ผลวิจัยพบว่า กระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการผลิตอาหารเช้ากึ่งสำเร็จรูปเหล่านี้ คือตัวการสำคัญที่ทำให้คุณค่าทางอาหารเสียไป ปฏิกิริยาดังกล่าวเรียกว่า ปฏิกิริยาเมลลาร์ด เป็นปฏิกิริยาระหว่างกรดอะมิโนกับน้ำตาล โดยมีความร้อนสูงตั้งแต่ 100 องศาเซลเซียสขึ้นไปเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา แม้ว่าปฏิกิริยาดังกล่าวจะทำให้อาหารทอดกรอบมีรสชาติถูกปาก แต่เวลาเดียวกันทำให้คุณค่าทางอาหารสูญเสียไปด้วย

ก่อนหน้านี้ นักวิจัยจากสเปนเช่นเดียวกันได้ออกผลวิจัยที่กล่าวถึงภัยจากอาหารทอดด้วยความร้อนสูง และกระทรวงสาธารณสุขยังได้เตือนการรับประทานอาหารทอดอย่างปาท่องโก๋ และกล้วยแขกทอดด้วย

ทีมงานได้นำอาหารกล่องซีเรียลเย็น 60 ชนิด มาศึกษาวัดปริมาณสารเคมีที่เรียกว่า "ฟูโรไซน์" ซึ่งเป็นสารเคมีที่เกิดจากกระบวนการเมลลาร์ด ถ้ายิ่งพบฟูโรไซน์มากเท่าไร แสดงว่าคุณค่าโปรตีนลดลงมากเท่านั้น ทีมวิจัยพบว่าอาหารเช้าซีเรียลกรอบที่ทำจากข้าวสาลี ข้าวเจ้า และข้าวโพด มีสารฟูโรไซน์ไม่ต่างกันนัก และมีแนวโน้มจะมีสารฟูโรไซน์น้อยกว่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีคุณค่ามากกว่าอาหารเช้าประเภทที่ต้องใช้ความร้อนให้พองตัวเพื่อรับประทานอย่างพวกโจ๊ก

แม้ว่ากระบวนการผลิตอาหารเช้าประเภทซีเรียลชนิดแผ่นกรอบกับชนิดต้มให้พองจะคล้ายกัน แต่อาหารเช้าประเภทที่ต้องใช้อุณหภูมิที่สูงกว่าเพื่อให้เนื้ออาหารพองตัว ยิ่งต้องใช้ความร้อนมากเท่าไร ปฏิกิริยาเมลลาร์ดจึงมากขึ้นเท่านั้น คุณค่าของอาหารยิ่งสูญเสียไปมากขึ้น

Do you Know?? 150 อาการป่วยแฝงมากับรอบเดือน

เคยทราบหรือไม่ว่า ในช่วงมีรอบเดือนนั้น จะมีอาการป่วยแฝงมาถึง 150 ชนิดด้วยกัน

อาการนี้เรียกว่า PMS หรือ Premenstrual Syndrome แบ่งเป็น 5 กลุ่ม

อาการแรก คือ ร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ขี้ลืม เหนื่อยง่าย ควรทานอาหารไขมันต่ำ ทำสมาธิ เล่นโยคะ

อาการที่สอง หงุดหงิดโมโหง่าย เกิดจากร่างกายขาดน้ำตาล ควรหาของว่างทานระหว่างวัน

อาการที่สาม เต้านม หน้าท้อง และมือเท้าบวม น้ำหนักขึ้น ควรลดการบริโภคเกลือ ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีโปรตีน ไฟเบอร์สูง วิตามินบี 6 และ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

อาการที่สี่ ปัญหา สิว ฝ้า ปวดศีรษะ และ หลัง งดอาหารหวานจัด แอลกอฮอล์ บุหรี่ และ สารกระตุ้นทุกชนิด
อาการสุดท้าย หิวบ่อย ควบคุมโภชนาการและหากิจกรรมทำ เพื่อพักเรื่องกินหรือทานผลไม้

คนอ้วน..เสี่ยงมะเร็งลำไส้

ผลวิจัยพบว่า ความอ้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากที่สุด มากกว่าการสูบบุหรี่หรือการมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้

ดร.โจเซฟ แอนเดอร์สัน และคณะนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยสโตนีบรู้คในนครนิวยอร์กของสหรัฐ กล่าวว่า สตรีที่มีติ่งเนื้องอกก่อนเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่มักเป็นคนอ้วน แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า เหตุใดความอ้วนทำให้สตรีเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้น

สันนิษฐานว่า อินซูลินและฮอร์โมนไอจีเอฟวัน ที่คล้ายอินซูลินอาจเป็นสาเหตุในเรื่องนี้ เพราะคนอ้วนที่มีไขมันรอบพุงมาก มักมีอินซูลินและฮอร์โมนไอ

“5 อ.” เคล็ดลับ ฟิตปั๋ง แบบผู้ชายวัยทอง

ความเชื่อเก่าๆ ของคนโบราณที่ยึดติดว่า “ผู้ชาย” เป็นเพศอมตะ เช่นนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าร่างกายจะเสื่อมสลายไปอย่างง่ายดาย ซึ่งอันที่จริงแล้วสุขภาพของผู้ชายนั้นก็เสื่อมสลายไปพร้อมๆ กับเพศหญิง เพียงแต่ว่าจะเสื่อมช้ากว่าเท่านั้นเอง เพื่อให้คุณผู้ชายตระหนักถึงการมีสุขภาพดีในเชิงป้องกันจึงเป็นที่มาของการผนึกกำลังร่วมกันระหว่าง เอส เมดิคอล สปา และนิตยสารจีเอ็ม จัดสัมมนา “แพลตตินั่ม เฮลท์ ฟอร์เมน”
พ.ญ.พักตร์พิไล ทวีสิน กรรมการผู้จัดการเอส เมดิคอล สปา กล่าวถึงเทรนด์ของการดูแลสุขภาพของผู้ชายว่า “โดยปกติคนทั่วไปจะไปโรงพยาบาลหรือหันมาสนใจสุขภาพเมื่อเจ็บป่วย แต่สองสามปีที่ผ่านมาเริ่มมีกระแสของ แอนตี้-เอจจิ้ง เกิดขึ้นซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันมากกว่าจะรอให้เกิดโรคหรือสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งกระแสนี้คนฝั่งยุโรปเริ่มตื่นตัวกันมากขึ้นเห็นได้จากอายุเฉลี่ยของคนสูงขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี หรือดังคำกล่าวที่ว่า “สุขภาพดีจนนาทีสุดท้ายของชีวิต”

ผู้ชายแพลตตินั่ม คือ ผู้ชายที่อยู่ในวัยที่สุขภาพเริ่มเสื่อม มีความผิดปกติของร่างกาย เริ่มจากนอนไม่หลับ หงุดหงิด ซึมเศร้า เหงา เครียด หลงๆ ลืมๆ ตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ไม่ได้ กล้ามเนื้อฝ่อ ไขมันสะสม ผมบางลง รวมไปถึงการมีโรคแทรกซ้อนอย่างโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้น เพราะความเสื่อมของร่างกายหรือฮอร์โมนบกพร่อง

โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชายเวลาเกิดพร่องฮอร์โมนๆ จะลดลดลงพร้อมๆ กันทีละหลายตัว อาการส่วนใหญ่มักจะเป็นอาการทางด้านจิตและอารมณ์นำมาก่อนมากกว่าอาการทางกาย สำหรับอาการทางจิตที่แสดงเป็นอันดับแรก คือ เริ่มมองโลกในแง่ร้าย หงุดหงิดง่าย หรือมีอาการซึมเศร้า เบื่อโลก ขาดความมั่นใจในตัวเอง
ปกติแล้วฮอร์โมนเพศชาย 90% สร้างในเวลากลางคืน และสร้างมากที่สุดในตอนเช้า ดังนั้นการจะมีฮอร์โมนเพศที่สมบูรณ์ต้องมาจากการนอนที่มีคุณภาพด้วยซึ่งจะหลั่งสาร “เมลาโทนิน” ออกมาจากใต้สมองช่วยให้หลับสนิท เพราะเมื่ออายุมากขึ้นร่างกายก็จะสร้างเมลาโทนินลดลง นอกจากฮอร์โมนเพศชายที่ร่างกายสร้างระหว่างการนอนแล้วยังมี โกรทฮอร์โมนซึ่งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายช่วยยืดเวลาให้ร่างกายเสื่อมช้าลง”

ผศ.นพ.พันธุ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ คุณหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพทางเพศ กล่าวถึงสูตรสำเร็จในการดูแลสุขภาพของคุณผู้ชายว่า “เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายสร้างเมลาโทนินลดลงทำให้การนอนแย่ สิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลับอย่างมีคุณภาพ คือ การออกกำลังกายโดยถ้าจะให้ผลดีต้องออกกำลังกายประมาณ 300 นาที ต่อ สัปดาห์ หรือเดินประมาณวันละ 10,000 ก้าว

นอกเหนือยังมีสูตรสำเร็จในการยืดเวลาแห่งความหนุ่มของตัวเองได้อีกทาง คือ การปรับไลฟ์สไตล์โดยยึดหลักทฤษฎี 5 อ. ได้แก่ “อาหาร” เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงขนมขบเคี้ยว อาหารที่มีไขมันสูง ของทอด อาหารฟาสต์ฟู้ดส์ แต่ให้เน้นรับประทานผลไม้สด ดื่มน้ำสะอาดไม่ต่ำกว่า 8 แก้ว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ และคาเฟอีนที่มากเกินไป รวมไปถึงอาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์ประเภทนม

ต่อมา คือ “ออกกำลังกาย” อย่างน้อยสัปดาห์ละ 300 นาทีจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ส่วน “อากาศ” หลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นมลพิษ และหาอากาศบริสุทธิ์ รวมทั้งฝึกหายใจลึกๆ ให้ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างทั่วถึงแถมยังเป็นการฝึกสมาธิอีกด้วย

อีกเรื่อง คือ “อารมณ์และจิตใจ” ต้องเป็นคนมองโลกในแง่ดี อย่าหวาดระแวง วิตกจริต การบอกตัวเองทุกๆ เช้าว่า วันนี้จะเป็นวันที่ดีของเรา ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จและมีผลทำให้วันนั้นเป็นวันที่ราบรื่น สุดท้าย “อินเลิฟ” การมีความรักจะส่งผลให้ร่างกายผลิตเอนดอร์ฟิน หรือ สารแห่งความสุขออกมา ทำให้อารมณ์ดี ที่สำคัญต้องรักตัวเอง ค้นหาสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองที่สำคัญต้องรักตัวเอง พร้อมค้นหาสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองเสมอ เพียงเท่านี้คุณผู้ชายทั้งหลายก็สามารถยืดเวลาแห่งความหนุ่มได้อย่างมีสุขภาพดี

เมล็ดธัญพืชช่วยป้องกันโรคหัวใจ

เป็นข่าวดีของผู้ที่ชอบรับประทานเมล็ดธัญพืชแบบทั้งเมล็ด หรือ Whole Grain Cereals เนื่องจากมีผลการศึกษาของคณะวิจัยจาก Brigham and Women's Hospital and Harvard Medical School ยืนยันว่า การรับประทานเมล็ดธัญพืชแบบทั้งเมล็ด จะช่วยลดอัตราการตายจากโรคหัวใจได้

ผลงานวิจัยชิ้นนี้เป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่าง การรับประทานอาหารเช้าที่ผลิตด้วยธัญพืชทั้งเมล็ด เปรียบเทียบกับการรับประทานอาหารเช้า ที่ผลิตด้วยเมล็ดธัญพืชที่ผ่านการขัดสีแล้ว โดยติดตามเก็บข้อมูลอัตราการตายทั้งหมด และการตายอันเนื่องมาจากโรคหัวใจในกลุ่มคนเพศชาย เฉพาะที่เป็นแพทย์ จำนวนมากกว่า 86,000 คน อายุเฉลี่ยระหว่าง 40 - 84 ปี ในช่วงระยะเวลา 5 ปี 6 เดือน ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารเช้าที่ประกอบด้วยธัญพืชทั้งเมล็ด จะช่วยลดอัตราการตายทั้งที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ และไม่เกี่ยวข้องลงได้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น อายุ ดัชนีมวลกาย การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และจากการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มเพศชายที่ไม่เคยรับประทาน หรือรับประทานน้อยมาก กลับกลุ่มเพศชายที่รับประทานธัญพืชเป็นประจำวันละ 1 มื้อ พบว่ากลุ่มที่รับประทานเป็นประจำมีเพียง 20% ที่พบการตายเนื่องจากโรคหัวใจ

ฉะนั้นซีเรียลธัญพืชทั้งเมล็ดกับนมชามโตในมื้อเช้า

เลี่ยง"ชา กาแฟ อาหารเค็ม" เหตุ"กระดูกเปราะ"

นอกจากรูปร่าง หน้าตา ที่ต้องดูแลให้สดชื่น สดใส อยู่เสมอแล้ว "กระดูก" ก็เป็นอีกหนึ่งอวัยวะสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะหากวันใดวันหนึ่งเกิดอาการกระดูกพรุน กระดูกเปราะขึ้นมา ร่างกายจะสูญเสียการทรงตัว!! ดังนั้น ศูนย์กระดูกและข้อโรงพยาบาลวิภาวดี จึงจัดงาน "คืนความสดใส...ให้กระดูกคุณ" ขึ้น

นพ.ปิยะพันธ์ ธาราณัติ แพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ บอกว่า กระดูกต่างจากกล้ามเนื้อที่เสริมสร้างกันไม่ได้ง่ายๆ โดยผู้หญิงอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป และผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป กระดูกจะปิดตัวและรอวันเสื่อม ในขณะที่ร่างกายไม่หยุดดูดแคลเซียมไปใช้งานทุกๆ วัน ดังนั้น ถ้าไม่ดูแลให้ถูกวิธีอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับกระดูกตามมาได้

"วิธีป้องกัน คือ ต้องรับแคลเซียมให้เพียงพอต่ออายุ โดยปกติอาหารไทยต่อมื้อจะมีแคลเซียม 400-500 มิลลิกรัม ขณะที่ร่างกายคนเราต้องการ 1,200-1,500 มิลลิกรัม จึงควรรับประทานแคลเซียมเม็ดเสริมเข้าไป หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อ เช่น เวทเทรนนิ่ง, เพิ่มความแข็งแรงระบบหัวใจ-หลอดเลือด เช่น แอโรบิค เอ็กเซอร์ไซส์, เพิ่มความคงทนต่อการใช้งาน เช่น จ๊อกกิ้ง วิ่งมาราธอน และเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ เช่น โยคะ ไท้เก๊ก เป็นต้น ทั้งนี้ ควรออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัยและพละกำลังของตนเองด้วย ถ้าหักโหมมีเสียงกระดูกลั่นก๊อกแก๊ก นั่นเป็นสัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์"

ด้าน พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์วัยวัฒน์ เมดดิไซน์ แนะนำหลักโภชนาการว่า หลักการรับประทานอาหาร ไม่ใช่แค่รับประทานครบ 3 มื้อ แต่ต้องรับประทานสารอาหารให้ครบถ้วน ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งต้องเพิ่มสารอาหารที่เสริมสร้างความหนาแน่นให้กระดูก อาทิ "แคลเซียม" มีมากในงาดำและพริกไทยดำ รับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ "แมงกานีส-แมกนีเซียม-ฟอสฟอรัส" พบในน้ำสับปะรด ดื่มวันละ 1 แก้ว ช่วยป้องกันการสลายของกระดูก "วิตามินดี" พบในแสงแดดตอน 8 โมงเช้า และ 4 โมงเย็น "โบรอน" พบมากในกะหล่ำปลี ช่วยเพิ่มเอสโตรเจน ซึ่งสารอาหารเกือบทั้งหมดอยู่ในผักใบเขียวและผลไม้ ตัวอย่าง สลัด 1 จาน มีแคลเซียมทั้งสิ้น 700 มิลลิกรัม

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ และอาหารรสเค็ม ซึ่งมีส่วนทำให้กระดูกเปราะง่าย นอกจากนี้ยังมี "กูรู" ด้านกีฬา มาเผยถึงการออกกำลังกายสำหรับผู้มีปัญหากระดูกด้วย เริ่มจาก "อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ" มาสอนโยคะ และ ผศ.ดร.ราตรี เรืองไทย สอนการออกกำลังกายในน้ำ เนื่องจากในน้ำมีแรงดัน สามารถลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ พัฒนาระบบไหลเวียนของเลือดและหัวใจ และทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีปัญหาเรื่องกระดูกและข้อ รวมถึงผู้สูงอายุ สามารถเล่นง่ายๆ ด้วยตนเองด้วยการเดินช้าๆ ในน้ำ แบะขาไป 45 องศา และใช้มือวักน้ำดันไปข้างหน้า เดินไปกลับไปวัน 2 รอบ

ได้สูตรเด็ดไปบำรุงกระดูกกันแล้ว นำไปทำตามกันได้

อาหารต้านอนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระ หรือ free-radical เป็นสารที่มีองค์ประกอบทางเคมีที่ทำร้ายสุขภาพของคนเรา ซึ่งเจ้านี้ ร่างกายเราจะได้รับจากมลภาวะที่เป็นพิษ ไม่ว่าจะน้ำ อากาศ หรือจากควันบุหรี่ แต่สิ่งที่อันตรายที่สุด คือมันมาจากอาหารที่คนเรากินนี้เอง

นอกจากนี้ ร่างกายเราเองยังสามารถที่จะผลิตเจ้าอนุมูลอิสระนี้ขึ้นมาในช่วงที่มีการเผาผลาญพลังงาน แต่ในภาวะปกติ ร่างกายสามารถรักษาความสมดุลของเจ้าอนุมูลอิสระ แต่หากเมื่อไรก็ตามที่เราได้อนุมูลอิสระจากภายนอกเข้ามามากๆ นั้นแหละครับที่จะเข้าสู่ช่วง "oxidative stress" นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

ก่อนอื่นที่เราจะรู้ว่าอาหารประเภทไหนที่ต่อต้านเจ้าอนุมูลอิสระ เราควรจะมารู้จักว่า วิตามินและเกลือแร่อะไรบ้างที่มีบทบาทสำคัญต่อการต่อต้านเจ้าอนุมูลอิสระ

(1) วิตามิน - วิตามินสำคัญที่ต่อต้านอนุมูลอิสระคือ วิตามิน C, E และ เบต้า แคโรทีน

(2) เกลือแร่ - ตัวสำคัญคือ เจ้า เหล็ก และ ซีลีเนียม

(3) สารอาหารอื่นๆ - ตัวสำคัญคือ ฟลาโนวอยส์ และ โพลีฟีนอล

มีอะไรบ้างที่มีหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ที่นี้มาดูว่าเจ้าพวกนี้มีอยู่ในอาหารกลุ่มใดบ้างเริ่มที่

วิตามินซี - แน่นอนว่ามีมากใน ผลไม้ และ ผัก ผลไม้อย่าง ส้ม มะนาว เกรฟฟรุต มะระกอ สตอเบอรี ส่วนผัก ก็อย่าง พวกกะหล่ำ หรือบร็อคโคลี ผักขมก็มีเยอะ

วิตามินอี - มากที่สุดในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันคาโนลา และ วีท เยอม นอกจากนี้ยังมีใน ถั่ว อะโวคาโด ผักสีเขียวและพวกธัญพืช

เบต้า-แคโรทีน - จะพบมากในผลไม้สีเขียวหรือสีเหลืองเข้ม นอกจากนี้ยังมีในแครอท ฟักทอง ถั่วเขียว บร็อคโคลี แอปปิคอท

ฟลาโนวอย - มีมากในผักและผลไม้ ชา ถั่วเหลือง

โพลีฟีนอล - มีอยู่ในธัญพืช โดยเฉพาะ ข้าวฟ่าง อีกทั้งมีในผลไม้ โดยเฉพาะองุ่น นอกจากนี้ยังพบในชา ไวน์ และชอคโกแลต

เหล็ก - พบมากในเนื้อสัตว์และปลา นอกจากนี้ยังมีในธัญพืชต่างๆ

ซีลีเนียม - พบในผักและธัญพืช แต่พวกนี้จะต้องถูกปลูกในดินที่มีสารซีลีเนียมมากๆด้วย

คราวนี้เราก็รู้แล้วว่า อาหารพวกไหนบ้างที่ทำให้เราห่างไกลจากโรคต่างๆ

รอบเดือนกับการออกกำลังกาย

การมีประจำเดือน เป็นเรื่องของธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งของชีวิต ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย รวมทั้งมนุษย์เราด้วยและแน่นอน การมีประจำเดือนเป็นเรื่องของสตรีเพศเท่านั้น ผู้ชายไม่เกี่ยว เพราะเพศชายไม่มีสิทธิ์ที่จะมีประจำเดือน ว่าไปแล้ว การมีประจำเดือนนั้น มันมีทั้งข้อดีข้อเสีย

ข้อดีที่เห็นได้ชัด ก็คือ มันช่วยบ่งบอกถึงสถานภาพของทางร่างกายว่า ขณะนี้นั้นเป็นอย่างไร เช่น พอจะมีลูกได้หรือยัง หรือยังพอจะมีลูกได้อีกหรือไม่ หากถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว นั่นก็หมายความว่า ไม่มีประจำเดือนออกมาให้เห็นกันอีก และบอกว่ารังไข่ได้หยุดทำงานแล้ว และบอกว่านั่นถึงเวลาแล้วนะ ที่คุณผู้หญิง จะต้องคิดถึงฮอร์โมนเสริม

แต่ดูเหมือนว่าการมีประจำเดือนนั้นจะมีข้อเสียมากกว่าข้อดีที่เห็นชัดก็คือ การเสียเลือด เลือดที่ออกมาเป็นรอบเดือนนั่นแหละ มันคือเลือดดี ๆ ทั้งนั้น ขณะที่หลาย ๆ คน เข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นเลือดเสีย เลือดเสียที่ร่างกาย จำเป็นต้องขับออกมา ถ้าหากไม่ขับออกมา ในแต่ละรอบเดือน มันหมายถึง การเก็บสะสมเลือดเสียไว้ ภายในร่างกาย แล้วสักวันหนึ่ง มันจะเป็นเหตุทำให้บ้าได้

เป็นความเข้าใจผิดทั้งเพแหละครับ หากเลือดประจำเดือนไม่มีออกมา ก็แสดงว่า คุณไม่ต้องเสียเลือด มันก็เท่านั้นเอง ขณะที่ต้นเหตุของการไม่มีรอบเดือนออกมาต่างหาก ที่ต้องรับรู้ และต้องแก้ไข จึงพอสรุปว่า ข้อเสียของการมีรอบเดือนอันแรกก็คือ การเสียเลือดนั่นเอง ยังมีข้อเสียอีกกองพะเนิน จนกระทั่งเรียกว่า เป็นกลุ่มอาการ ที่ไม่พึงประสงค์ ที่เกิดขึ้นร่วมกับการมีรอบเดือน เป็นต้นว่า อาการปวดศีรษะ อาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ ปวดท้อง และที่แน่ ๆ ก็คือ ทำให้สมาธิ และประสิทธิภาพ ของร่างกายลดน้อยลง ในช่วงที่มีรอบเดือน ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้จะมีผลต่อการทำงานของร่างกาย เป็นต้นว่า นักเรียนที่กำลังมีรอบเดือน ก็จะทำให้ไม่มีสมาธิกับการเรียนเท่าที่ควร และจะมีผลกระทบ อย่างชัดเจน กับเหล่านักกีฬาที่เป็นผู้หญิงทั้งหลาย หากว่าเกิดมีรอบเดือนขึ้นมาพอดีกับ ช่วงของการแข่งขัน นั่นก็จะทำให้ความสามารถลดน้อยลงไป และอาจทำให้ถึงกับแพ้ ได้เลยทีเดียว ผมจึงเข้าใจว่า ระดับนักกีฬาอาชีพทั้งหลายที่เป็นผู้หญิง เขาคงจะต้องหาทาง ทำให้ไม่มีรอบเดือนเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน ในช่วงของการแข่งขัน นี่ผมก็เพิ่งได้ดูเทนนิส U.S. OPEN ผ่านไปหยก ๆ ฝีไม้ลายมือระดับพระกาฬทั้งนั้น หากใครเกิดไม่สบายไปเพียงนิดเดียว ก็มีสิทธิ์แพ้อีกฝ่ายได้ทันที เพราะฝีมือแต่ละคนนั้น ใกล้เคียงกันมาก ทุกคนต้องฟิตเปรี๊ยะ ชนิดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงจะผ่านการแข่งขัน แต่ละครั้งไปได้ หากเกิดมีประจำเดือนขึ้นมา ในช่วงนั้นพอดี ฮิงกิส ก็ฮิงกิสเถอะครับ อาจจะแพ้แทมมารีนของเราได้ง่าย ๆ

ดังนั้นการมีรอบเดือนกับการเป็นนักกีฬานั้น ดูเหมือนจะมีความหมายต่อกันมิใช่น้อย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ นั่นเป็นเรื่องของกีฬาอาชีพที่เกี่ยวกับอาชีพของเขา ที่เขาต้องทำให้ดีที่สุด แต่สำหรับเรา ๆ ประเภทสมัครเล่นนั้น การมีรอบเดือน กับการเล่นกีฬา หรือคนออกกำลังกาย ดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคอะไรมากมายนัก เพราะเราหรือคุณเองก็มิได้หวังอะไรมาก กับการออกกำลังกาย หรือการเล่นกีฬา การแพ้หรือชนะ มิได้หมายถึงสิ่งที่ต้องการ แต่เป็นการออกกำลังกาย การเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพเสียมากกว่า ดังนั้นทางการแพทย์เองก็มิได้ห้าม หรือจะแนะนำอะไรเป็นพิเศษ กับคุณผู้หญิงที่จะออกกำลังกาย ขณะที่กำลังมีรอบเดือน เพียงแต่ว่าการออกกำลังกายนั้น ควรจะพิจารณาความเหมาะสม เช่น คุณจะลงสระว่ายน้ำ ขณะที่กำลังมีรอบเดือนอยู่ในวันหนัก ๆ นั้น ก็ดูกระไรอยู่ จริงมั๊ยครับ ขณะที่คุณสามารถออกกำลังกาย เล่นกีฬาประเภทอื่น ๆ ได้อีกตั้งหลายชนิด ก็อย่าได้ไปคิดอะไรมากกับการมีรอบเดือน

ในข้าวโพดสุกมีสารล้างพิษ

ทราบหรือไม่ว่า ในข้าวโพดสุกก็มีสารล้างพิษ

วันนี้เกร็ดความรู้มีมาฝากกัน...นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ

รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า

ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูง

การต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10,25 และ 50 นาที

พบว่า ยิ่งต้มนานจะทำให้มีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22,44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

สารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกาย และยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือในเวลานานขึ้นรู้อย่างนี้แล้ว หันมาทานข้าวโพดเพื่อสุขภาพกันดีกว่า.

Balance Your Life every 10 years

แม้ว่าชีวิตมนุษย์จะหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บหรือความเสื่อมของร่างกายไม่ได้ แต่สามารถปรับปรุงชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุข โดยการหาวิธีรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องดูแล ภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีพร้อมๆ กับการฟิตร่างกาย ให้พร้อมสำหรับสุขภาพในอนาคต 20-29 วัยแห่งการบั่นทอนสุขภาพ

เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างชีวิตวัยเรียนและชีวิตการทำงาน สาวๆ วัยนี้จึงเต็มไปด้วยพลังงานและความกระตือรือร้นต่อ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ รอบตัว จึงไม่น่าแปลกที่การดำเนินชีวิตจะค่อนข้างสมบุกสมบัน เช่น การอ่านหนังสือเรียนจนดึกดื่น การทำงานอย่างเคร่งเครียดไม่มีเวลาพักผ่อน หรือแม้กระทั่งร่วมฉลองทุกสุดสัปดาห์กับเพื่อนๆ ด้วยการดื่มและท่องราตรี แม้จะได้เปรียบเรื่องอายุ ร่างกายฟื้นตัวเร็ว แต่หากยังคงใช้ชีวิตแบบสุดขั้วเป็นประจำ ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น

โรคอ้วน มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันสูง เนื่องจากหาซื้อง่ายและสะดวกรวดเร็ว หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมาก เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน โดยเฉพาะชาหรือกาแฟร้อน-เย็น ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและคาเฟอีน ซึ่งหากรับประทานมากกว่า 3 แก้วต่อวันมีผลต่อการดูดซึมของวิตามินและเกลือแร่

การปวดประจำเดือน มักเป็นอาการยอดนิยมของผู้หญิงวัยทำงาน การปวดประจำเดือนเกิดจากหลายสาเหตุตั้งแต่พันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต ภาวะความเครียดและอาหาร แต่เราสามารถบรรเทาอาการปวดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเบื้องต้น เช่น การงดดื่มชาและกาแฟ การออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 30 นาทีประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี6 หรือน้ำมันอีฟนิ่งพรีมโรสก่อนเวลามีประจำเดือน เพื่อบรรเทาอาการปวด

รู้จักดูแลถนอมตับที่อาจทำงานหนักเกินไป โดยเฉพาะคนรับประทานอาหารที่มีรสเค็มและมีปริมาณไขมันสูง หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้และหันไปรับประทานผักผลไม้มากๆ แทน เพื่อเร่งการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จากการวิจัยพบว่าการดื่มน้ำบีทรูทคั้นสดๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษใน ร่างกายได้ดี 30-39 วัยแห่งการเตรียมพร้อมรับมือจากความเสื่อมต่างๆ

หากพูดถึงอายุเมื่อขึ้นเลข 3 หลายคนรู้สึกเขินหรือบ่ายเบี่ยงที่จะตอบทุกครั้งที่มีคนถาม อย่างไรก็ตามลักษณะภายนอกที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพหรือการดำเนินชีวิตเท่าไรนักหากเปรียบกับความแข็งแรงของร่างกาย ช่วงอายุนี้จึงควรเน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้นและออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูอวัยวะ ต้านความเสื่อมจากภายในสู่ภายนอก

ป้องกันโรคกระดูกพรุนก่อนวัย ภาวะมวลกระดูกสูงสุด (peak bone mass) จะหยุดอยู่ช่วงอายุ 30-35 ปี หลังจากนั้นร่างกายจะรักษาระดับมวลกระดูกไว้คงที่ จนกระทั่งอายุมากขึ้น ร่างกายจะดึงเอาแคลเซียมจากกระดูกไปใช้ ทำให้กระดูกบางและแตกง่าย เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนในอนาคต ดังนั้นช่วงอายุดังกล่าวจึงไม่ยังไม่สายเกินไปที่จะสะสมแคลเซียมให้กระดูก โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เช่น เต้าหู้ นม โยเกิร์ต ผักใบเขียว ปลากระป๋องหรือปลาซาร์ดีนที่รับประทานได้ทั้งกระดูกและผลไม้ต่างๆ

เพิ่มพลังเมตาโบลิซึม เคยมีรายงานกล่าวว่าทุก 10 ปีที่อายุมากขึ้นน้ำหนักจะเพิ่มประมาณ 5 กิโลกรัม ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายลดประสิทธิภาพการทำงานลง ประกอบกับตนเองยังรับประทานอาหารปริมาณเท่าเดิมและมีวิถีชีวิตเหมือนเดิม ซึ่งหากยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตก็อาจเป็นสาเหตุของโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ดังนั้นวิธีพื้นฐานในการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานคือ รับประทานคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนอย่างพอเหมาะ ลดปริมาณไขมันลง เพิ่มผักหรือผลไม้ในแต่ละมื้อให้มากขึ้น บางคนอาจลองรับประทานอาหารปริมาณครั้งละน้อยๆ แต่รับประทาน วันละหลายๆ มื้อ เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และป้องกันไม่ให้รับประทานอาหารจุบจิบระหว่างมื้อใหญ่ๆ

เพิ่มพลังให้ผิวสวย ไร้ริ้วรอย ผู้หญิงวัยนี้สามารถฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส ไร้ริ้วรอยก่อนวัยด้วยการนอนหลับให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง ประกอบกับรับประทานผลไม้และผักมากๆ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินอีมาก เช่น นม ไข่ ถั่ว ผักโขม มะเขือเทศ เป็นต้น รวมถึงการรับประทานน้ำ ให้ได้วันละ 7-8 แก้ว เพื่อเร่งกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ผลัดเซลล์เก่าภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการทาครีมบำรุงและครีม- กันแดด ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจ้า เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่น แห้งกร้าน เป็นสาเหตุทำให้มีริ้วรอยก่อนวัย 40-49 วัยแห่งการปรับตัวเท่าทันโรค

ช่วงนี้ถือวัยที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการทำงานภายในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหมดประจำเดือน (menopause) ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเท่านั้นแต่ยังมีผลกระทบต่ออารมณ์และจิตใจอีกด้วย

การรับมือจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เนื่องจากเมื่อเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะหยุดการทำงาน ทำให้มีผลต่อการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ เช่น ผิวแห้งและแพ้ง่าย เกิดอาการร้อนวูบวาบ ความดันโลหิตสูง ปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ ช่องคลอดแห้งมีอาการคันและแสบ ภาวะนอนไม่หลับและโรคกระดูกพรุน ทั้งนี้เราสามารถรับมือกับโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยการปรึกษาแพทย์ ขอคำแนะนำในการรับประทานฮอร์โมนทดแทนเพื่อบรรเทาอาการข้างต้น นอกจากนี้ยังต้องหมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ต้องมีใยอาหาร แคลเซียมมากๆ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกเสื่อมมากยิ่งขึ้น โดยการรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งประกอบด้วยเอสโตรเจนจากธรรมชาติ เช่น ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ธัญพืชและผักผลไม้ต่างๆ เป็นต้น

รับมือกับภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำตำหนิเมื่อเจอผู้หญิงสูงวัยที่หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวนว่า “อยู่ในภาวะหมดประจำเดือน” ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ ถูกต้อง (ไม่นับนิสัยส่วนตัว) ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเผชิญเมื่อถึงวัย แต่เราสามารถ ควบคุมและจัดการกับอารมณ์แปรปรวนหรือความเครียดนี้ได้ โดยการหากิจกรรมที่ผ่อนคลายจิตใจ เช่น ฟังเพลงเบาๆ ท่องเที่ยวกับครอบครัว พูดคุยปรึกษากับเพื่อน เป็นต้น และที่สำคัญควรงดสูบ-บุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องระวังโรคร้ายอื่นๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำทุกปี

50-59 วัยแห่งการปรับสมดุลชีวิตสู้โรคภัย หลายคนในช่วงวัยนี้ประสบภาวะโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ ทั้งนี้แม้ว่าจะรู้อาการของโรคและวิธีการรักษา แต่ก็ยังต้องการความดูแลเอาใจใส่ต่อสุขภาพและการควบคุมไม่ให้โรคร้ายแรงขึ้นโดยไม่ประมาท พื้นฐานของการดูแลรักษาไม่ให้โรคกำเริบหรือเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ คือ การทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะต่อโรคนั้นๆ

ยกตัวอย่างเช่น โรคเบาหวาน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง ควรเน้นผักและผลไม้ที่ไม่มีน้ำตาลมากและให้ใยอาหารสูง ไม่สวมเสื้อผ้าหรือใส่รองเท้าบีบรัดมากเกินไปและดูแลร่างกายไม่ให้เกิดบาดแผล โดยเฉพาะบริเวณเท้า หลังอาบน้ำตอนเย็นทุกวันให้ใช้กระจกส่องฝ่าเท้าเพื่อเช็คว่ามีแผลหรือไม่ หากตรวจพบว่ามีแผลให้รีบทำความสะอาดและเฝ้าระวังไม่ให้แผลลุกลาม หรือให้รีบไปพบแพทย์ทันที

โคเลสเตอรอลสูง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ส่วนหนังและไขมันสัตว์ รวมถึงอาหารทะเลต่างๆ ทั้งนี้สำหรับบางคนที่ต้องรับประทานยาที่แพทย์แนะนำก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ และหมั่นออกกำลังกายเพื่อช่วยการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดให้ดียิ่งขึ้น

โรคไขข้อ พยายามควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน เพราะจะทำให้กระดูกและข้อแบกรับน้ำหนักมาก ทำให้อาการปวดยิ่งรุนแรงมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การลุกนั่ง นอกจากนี้ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เน้นประเภทที่ไม่กระเทือนข้อเข่า เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ รำไทเก็ก ชี่กง ฯลฯ

ดังนั้นผู้หญิงควรเอาใจใส่ดูแลความสวยงามและสุขภาพร่างกายไปพร้อมๆ กัน โดยเริ่มตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ทั้งนี้หากอายุมากคิดจะกลับไปสุขภาพดีเหมือนเดิมย่อมเป็นไปไม่ได้ เป็นสัจธรรมของธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการดูแลตามสภาพของวัยอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นและมีความสุข

10 วิธี ลดแคลอรีส่วนเกิน

ในแต่ละวิธีต่อไปนี้จะทำให้สาวๆ ลดปริมาณแคลอรีที่กำลังจะลงไปรวมอยู่ที่พุงกลมๆ ไปได้ตั้งเกือบๆ 100 แคลอรีแน่ะ

1. เวลาจะเจียวไข่ให้ใส่ผักสด เช่น หัวหอม มะเขือเทศ เห็ดสดลงไปด้วย และใช้วิธีทอดด้วยน้ำแทนจะทำให้อิ่มท้องเร็วขึ้น และน้ำมันที่ตัดออกไปก็คือการกำจัดไขมันที่จะเข้าสู่ร่างกายโดยตรง

2. เปลี่ยนจากทานข้าวขาวมาทานข้าวกล้องและเปลี่ยนจากขนมปังขาวธรรมดามาทานขนมปังโฮลวีตแทน เส้นใยในข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีตจะช่วยเรื่องขับถ่าย ทำให้น้ำหนักลดลงได้

3. เลิกทานขนมปังพร้อมเนย จะช่วยกำจัดปริมาณแคลอรีได้ถึง 75 กิโลแคลอรี ต่อขนมปัง 1 แผ่น

4. ทานข้าวน้อยลง 1 ทัพพีสามารถลดได้ 80 แคลอรี ทำทั้ง 3 มื้อกำจัดไป 240 แคลอรี

5. เปลี่ยนขนาดแก้วที่ใส่น้ำผลไม้ให้เล็กลง หรือถ้าดื่มจากกล่องก็ลดขนาดจากกล่อง 250 cc. มาเป็น 200 cc. แทน

6. เวลาจะเติมน้ำตาลในชาหรือกาแฟให้เปลี่ยนมาใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลสามารถลดได้ 32 แคลอรี

7. ใช้นมพร่องมันเนยแทนครีมเทียม

8. เวลาทานสลัดผัก ลดปริมาณน้ำสลัดลง 1 ช้อนโต๊ะ จะลดแคลอรีได้ 60 แคลอรี ถ้าลดปริมาณน้ำสลัดแบบน้ำใสลง 1 ช้อนโต๊ะ จะกำจัดไปได้อีก 45 แคลอรี

9. ทานอาหารเช้าที่ให้พลังงานต่ำ เช่น แกงจืดผักใส่เต้าหู้หรือผัดผักใส่เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและอาหารใน 1 มื้ออนุญาตให้มีอาหารประเภททอดหรือผัดได้แค่ 1 อย่างเท่านั้น

10. ถ้าใส่น้ำตาลเพียงครึ่งซองหรือลดปริมาณน้ำตาลจาก 2 ช้อนชา (2ก้อน) เป็น 1 ช้อนชา (1 ก้อน) จะลดได้ 15 แคลอรี

ความรู้เรื่อง Scanner

สแกนเนอร์ คืออุปกรณ์ซึ่งจับภาพและเปลี่ยนแปลงภาพจากรูปแบบของแอนาลอกเป็นดิจิตอลซึ่งคอมพิวเตอร์ สามารถแสดง, เรียบเรียง, เก็บรักษาและผลิตออกมาได้ ภาพนั้นอาจจะเป็นรูปถ่าย, ข้อความ, ภาพวาด หรือแม้แต่วัตถุสามมิติ สามารถใช้สแกนเนอร์ทำงานต่างๆได้ดังนี้

• ในงานเกี่ยวกับงานศิลปะหรือภาพถ่ายในเอกสาร
• บันทึกข้อมูลลงในเวิร์ดโปรเซสเซอร์
• แฟ็กเอกสาร ภายใต้ดาต้าเบส และ เวิร์ดโปรเซสเซอร์
• เพิ่มเติมภาพและจินตนาการต่าง ๆ ลงไปในผลิตภัณฑ์สื่อโฆษณาต่าง ๆ

สแกนเนอร์แบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. แบบเลื่อนกระดาษ (Sheet-fed scanner)
2. แบบแท่นนอน (flatbed scanner)
3. แบบมือถือแบบเลื่อนกระดาษ (sheet-fed scanner)

สแกนเนอร์แบบนี้จะรับกระดาษแล้วค่อย ๆ เลื่อนหน้ากระดาษแผ่นนั้นให้ผ่านหัวสแกนซึ่ง อยู่กับที่ ข้อจำกัดของสแกนเนอร์ แบบเลื่อนกระดาษ คือสามารถอ่านภาพที่เป็นแผ่นกระดาษได้เท่านั้น ไม่สามารถ อ่านภาพจากสมุดหรือหนังสือได้ แบบแท่นนอน (Flatbed scanner)

สแกนเนอร์แบบนี้จะมีกลไกคล้าย ๆ กับเครื่องถ่ายเอกสาร เราแค่วางหนังสือหรือภาพไว้ บนแผ่นกระจกใส และเมื่อทำการสแกน หัวสแกนก็จะเคลื่อนที่จากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ข้อจำกัดของสแกนเนอร์ แบบแท่นนอนคือแม้ว่าอ่านภาพจากหนังสือได้ แต่กลไกภายในต้องใช้ การสะท้อนแสงผ่านกระจกหลายแผ่น ทำให้ภาพมีคุณภาพไม่ดีเมื่อเทียบกับแบบแรก

การทำงานของสแกนเนอร์แบบแท่นนอน
แสงจากหลอดไฟกระทบกับหน้าหนังสือด้านที่วางแนบแผ่นกระจก โดยบริเวณที่เป็นสีขาวจะสามารถสะท้อนแสงได้มากกว่า บริเวณที่มีสีทึบกว่า

มอเตอร์ที่ติดอยู่กับหัวสแกนจะค่อย ๆ เลื่อนหัวสแกนเนอร์จากปลายด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง โดยที่หัวสแกนเนอร์ของสแกนเนอร์ จะมีตัวรับแสงได้ละเอียดถึง 1/90,000 ต่อตารางนิ้ว

ข้อมูลดิจิตอลที่ได้ถูกส่งเข้าคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่ซอฟต์แวร์กราฟฟิก หรือซอฟต์แวร์อ่านตัวอักษร (Optical Character Recognition software) สามารถนไปใช้งานได้

แสงสะท้อนจากหน้าหนังสือตกกระทบสู่หมู่กระจกซึ่งจะเรียงตัวทำมุมได้พอเหมาะกับเลนส์ ของสแกนเนอร์ได้ตลอดเวลา

แสงที่ผ่านเลนส์จะรวมตัวกันทำให้มีความเข้มมากขึ้นจะผ่านตกกระทบลงบนไดโอดรับแสงซึ่ง เรียงตัวกันอยู่ที่หลังของเลนส์ ไดโอดดังกล่าวทำหน้าที่เปลี่ยนค่าความเข้มของแสงให้เป็นสัญญาณ ไฟฟ้า โดยแสงที่มีความเข้มมาก ก็จะทำให้สัญญาณ แรงดันไฟฟ้าที่มีค่ามากขึ้นตามไปด้วย

วงจรแปลงอนาลอกเป็นดิจิตอล (A-D:Analog-to-Digital Converter) แปลงสัญญาณอนาลอก ที่ได้จากไดโอด ให้เป็นสัญญาณดิจิตอล ซึ่งใช้แทนจุดที่เป็นสีขาวและดำ มีความละเอียดของข้อมูลสูง สแกนเนอร์แบบสีทำงานคล้าย ๆ กันเพียงจะสแกน 3 ครั้ง แต่ละครั้งจะสแกนเก็บความเข้มของแสง ที่ผ่านตัวกรองแสงสีแดง เขียว และน้ำเงิน และนำมารวมกันเป็นภาพในขั้นสุดท้าย แบบมือถือ

สแกนเนอร์แบบนี้ผู้ใช้ต้องเลื่อนหัวสแกนเนอร์ไปบนหนังสือหรือรูปภาพเอง สแกนเนอร์ แบบมือถือได้รวม เอาข้อดีของสแกนเนอร์ ทั้งสองแบบเข้าไว้ด้วยกันและมีราคาถูก เพราะกลไกที่ใช้ไม่ สลับซับซ้อน แต่ก็มีข้อจำกัด ตรงที่ว่าภาพที่ได้จะมีคุณภาพแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอ ในการเลื่อนหัวสแกนเนอร์ของผู้ใช้งาน นอกจากนี้หัวสแกนเนอร์แบบนี้ยังมีหัวสแกนที่มีขนาดสั้น ทำให้ อ่านภาพบนหน้าหนังสือขนาดใหญ่ได้ไม่ครบ 1 หน้า ทำให้ต้องอ่านหลายครั้งกว่าจะครบหนึ่งหน้า ซึ่งปัจจุบันมีซอฟต์แวร์หลายตัว ที่ใช้กับสแกนเนอร์ แบบมือถือ ซึ่งสามารถต่อภาพที่เกิดจากการสแกนหลายครั้งเข้าต่อกัน สิ่งที่จำเป็นสำหรับการสแกนภาพมีดังนี้

• สแกนเนอร์
• สาย SCSI สำหรับต่อจากสแกนเนอร์ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์
• ซอฟต์แวร์สำหรับการสแกนภาพ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของสแกนเนอร์ให้ สแกนภาพตามที่กำหนด
• สแกนเอกสารเก็บไว้เป็นไฟล์ที่นำกลับมาแก้ไขได้อาจต้องมีซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนด้าน OCR
• จอภาพที่เหมาะสมสำหรับการแสดงภาพที่สแกนมาจากสแกนเนอร์
• เครื่องมือสำหรับแสดงพิมพ์ภาพที่สแกน เช่น เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์หรือสไลด์โปรเจคเตอร์ ประเภทของภาพที่เกิดจากการสแกน แบ่งเป็นประเภทดังนี้

1. ภาพ Single Bit
ภาพ Single Bit เป็นภาพที่มีความหยาบมากที่สุดใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูล น้อยที่สุดและ นำมาใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ แต่ข้อดีของภาพประเภทนี้คือ ใช้ทรัพยากรของเครื่องน้อยที่สุดใช้พื้นที่ ในการเก็บข้อมูลน้อยที่สุด ใช้ระยะเวลาในการสแกนภาพน้อยที่สุด Single-bit แบ่งออกได้สองประเภทคือ

- Line Art ได้แก่ภาพที่มีส่วนประกอบเป็นภาพขาวดำ ตัวอย่างของภาพพวกนี้ ได้แก่ ภาพที่ได้จากการสเก็ต
- Halftone ภาพพวกนี้จะให้สีที่เป็นโทนสีเทามากกว่า แต่โดยทั่วไปยังถูกจัดว่าเป็นภาพประเภท Single-bit เนื่องจากเป็นภาพหยาบๆ

2. ภาพ Gray Scale
ภาพพวกนี้จะมีส่วนประกอบมากกว่าภาพขาวดำ โดยจะประกอบด้วยเฉดสีเทาเป็นลำดับขั้น ทำให้เห็นรายละเอียดด้านแสง-เงา ความชัดลึกมากขึ้นกว่าเดิมภาพพวกนี้แต่ละพิกเซลหรือแต่ละจุดของภาพอาจประกอบด้วยจำนวนบิตมากกว่า ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น

3. ภาพสี
หนึ่งพิกเซลของภาพสีนั้นประกอบด้วยจำนวนบิตมหาศาล และใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก ควาามสามารถในการสแกนภาพออกมาได้ละเอียดขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าใช้สแกนเนอร์ขนาดความละเอียดเท่าไร

4. ตัวหนังสือ
ตัวหนังสือในที่นี้ ได้แก่ เอกสารต่างๆ เช่น ต้องการเก็บเอกสารโดยไม่ต้อง พิมพ์ลงในแฟ้มเอกสารของเวิร์ดโปรเซสเซอร์ ก็สามารถใช้สแกนเนอร์สแกนเอกสาร ดังกล่าว และเก็บไว้เป็นแฟ้มเอกสารได้ นอก จากนี้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถใช้ โปรแกรมที่สนับสนุน OCR (Optical Characters Reconize) มาแปลงแฟ้มภาพเป็น เอกสารดังกล่าวออกมาเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถแก้ไขได้

ความรู้เรื่อง Printer

เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อทำหน้าที่ในการแปลผลลัพธ์ที่ได้จาก การประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปของอักขระหรือรูปภาพที่จะไปปรากฏอยู่บนกระดาษ นับเป็นอุปกรณ์แสดลงผลที่นิยมใช้ เครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท

1. เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot Matrix Printer) เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์เป็นเครื่องพิมพ์ที่นนิยมใช้งานกันแพร่หลายมากที่สุด เนื่องจากราคา และคุณภาพการพิมพ์อยู่ในระดับที่เหมาะสม การทำงานของเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ใช้หลักการสร้างจุด ลงบน กระดาษโดยตรง หัวพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ มีลักษณะเป็นหัวเข็ม (pin) เมื่อต้องการพิมพ์สิ่งใดลงบนกระดาษ หัวเข็มที่อยู่ในตำแหน่งที่ประกอบกันเป็น ข้อมูลดังกล่าวจะยื่นลำหน้าหัวเข็มอื่น เพื่อไปกระแทกผ่านผ้าหมึก ลงบนกระดาษ ก็จะทำให้เกิดจุดขึ้น การพิมพ์แบบนี้จะมีเสียงดัง พอสมควร ความคมชัดของข้อมูลบน กระดาษขึ้นอยู่กับจำนวนจุด ถ้าจำนวนจุดยิ่งมากข้อมูลที่พิมพ์ลงบนกระดาษก็ยิ่งคมชัดมากขึ้น ความเร็ว ของเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์อยู่ระหว่าง 200 ถึง 300 ตัวอักษรต่อวินาที หรือประมาณ 1 ถึง 3 หน้าต่อนาที เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ เหมาะสำหรับงานที่พิมพ์แบบฟอร์มที่ต้องการซ้อนแผ่นก๊อปปี้ หลาย ๆ ชั้น เครื่องพิมพ์ชนิดนี้ ใช้กระดาษต่อเนื่องในการพิมพ์ ซึ่งกระดษาประเภทนี้จะมีรูข้างกระดาษทั้งสองเอาให้ หนามเตยของเครื่องพิมพ์เลื่อนกระดาษ

คุณภาพของงานพิมพ์เอกสารโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งขึ้นกับประสิทธิภาพของเครื่องพิมพ์ เครื่องพิมพ์เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญสำหรับนำข้อมูลที่ประมวลผลแล้วพิมพ์ลงบนกระดาษตามที่ต้องการ เครื่องพิมพ์ที่ใช้กันในปัจจุบันมีหลายแบบ หลายยี่ห้อ เครื่องพิมพ์ที่มีผู้นิยมใช้งานสูงชนิดหนึ่งคือเครื่องพิมพ์แบบจุด (dot matrix printer)

เครื่องพิมพ์แบบจุดเป็นเครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก มีราคาถูก คุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ใช้งานได้ทั่วไป การที่เรียกว่าเครื่องพิมพ์แบบจุด เพราะรูปลักษณะตัวอักษรที่พิมพ์ออกมาจะเป็นจุดเล็ก ๆ อยู่ในกรอบ เช่น ตัวอักษรที่มีความละเอียดในแนวทางสูงของตัวอักษร 24 จุด และความกว้างแต่ละตัวอักษร 12 จุด ขนาดแมทริกซ์ของตัวอักษรจะมีขนาด 24x12 จุด การพิจารณาซื้อเครื่องพิมพ์แบบจุด ควรพิจารณาคุณลักษณะที่สำคัญของเครื่องพิมพ์ดังต่อไปนี้

1. จำนวนเข็มของหัวพิมพ์ เครื่องพิมพ์ที่ใช้ทั่วไปหัวพิมพ์มีเข็มเล็ก ๆ จำนวน 9 เข็ม แต่ถ้าต้องการให้งานพิมพ์มีรายละเอียดมากหรือมีรูปแบบตัวหนังสือสวยขึ้น หัวพิมพ์ควรมีจำนวนเข็ม 24 เข็ม การพิมพ์ตัวหนังสือในภาวะความสวยงามนี้เรียกว่า เอ็นแอลคิว (News Letter Quality : NLQ) ดังนั้นเครื่องพิมพ์ที่หัวพิมพ์มีเข็มจำนวน 24 เข็ม จะพิมพ์ได้สวยงามกว่าเครื่องพิมพ์ที่หัวพิมพ์มีเข็มจำนวน 9 เข็ม

2. คุณภาพของหัวเข็มกับงานพิมพ์ หัวเข็มเป็นลวดที่มีกลไกขับเคลื่อน ใช้หลักการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า หัวเข็มที่มีคุณภาพดีต้องแข็ง สามารถพิมพ์สำเนากระดาษหนาได้สูงสุดถึง 5 สำเนา คุณสมบัติการพิมพ์สำเนานี้เครื่องพิมพ์แต่ละเครื่องจะพิมพ์ได้ไม่เท่ากันเพราะมีคุณภาพแรงกดไม่เท่ากัน ทำให้ความชัดเจนของกระดาษสำเนาสุดท้ายต่างกัน

3. ความละเอียดของจุดในงานพิมพ์ ความละเอียดของจุดในงานพิมพ์จะขึ้นอยู่กับขนาดของหัวเข็มและกลไกการขับเคลื่อนของเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่น เช่น 360x360 จุดต่อนิ้ว 360x180 จุดต่อนิ้ว คุณภาพการพิมพ์ภาพกราฟิกขึ้นอยู่กับคุณลักษณะนี้

4. อุปกรณ์ตรวจสอบหัวพิมพ์ เครื่องพิมพ์แบบจุดบางรุ่นจะมีอุปกรณ์ตรวจสอบหัวพิมพ์ เช่น การตรวจสอบความร้อนของหัวพิมพ์ เพราะเมื่อใช้พิมพ์ไปนาน ๆ หัวพิมพ์จะเกิดความร้อนสูงมาก แม้มีครีบระบายความร้อนแล้ว ก็อาจไม่พอเพียง ถ้าความร้อนมาก อุปกรณ์ตรวจความร้อนจะส่งสัญญาณให้เครื่องพิมพ์ลดความเร็วของการพิมพ์ลง ครั้งเมื่ออุณหภูมิลดลงก็จะเพิ่มความเร็วของการพิมพ์ไปเต็มพิกัดอีก

การตรวจสอบความหนาของกระดาษ เครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์ตรวจสอบกระดาษ ถ้าป้อนกระดาษหนาไปจะทำให้หัวพิมพ์เสียหายได้ง่าย ตัวตรวจสอบความหนาจะหยุดการทำงานของเครื่องพิมพ์ เมื่อตรวจพบว่ากระดาษหนาเกินไป เพื่อป้องกันความเสียหายของหัวพิมพ์ นอกจากนี้ยังสามารถสอบว่ากระดาษหมดหรือไม่อีกด้วย

5. ความเร็วของการพิมพ์ ความเร็วของการพิมพ์ มีหน่วยวัดเป็นจำนวนตัวอักษรต่อวินาที การวัดความเร็วของเครื่องพิมพ์ต้องมีคุณลักษณะการพิมพ์เป็นจุดอ้างอิง เช่น พิมพ์ได้ 300 ตัวอักษรต่อวินาที ในภาวะการพิมพ์แบบปกติ และที่ขนาดตัวอักษร 10 ตัวอักษรต่อนิ้วแต่หากพิมพ์แบบเอ็นแอลคิว (NLQ) โดยทั่วไปแล้วจะลดความเร็วเหลือเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น การทดสอบความเร็วในการพิมพ์นี้อาจไม่ได้เท่ากับคุณลักษณะที่บอกไว้ ทั้งนี้เพราะขณะพิมพ์จริง เครื่องพิมพ์มีการเลื่อนหัวพิมพ์ขึ้นบรรทัดใหม่ ขึ้นหน้าใหม่ การเลื่อนหัวพิมพ์ไปมาจะทำให้เสียเวลาพอสมควร ความเร็วของเครื่องพิมพ์แบบจุดในปัจจุบันมีตั้งแต่ 200-500 ตัวอักษรต่อวินาที

6. ขนาดแค่พิมพ์ เครื่องพิมพ์ที่ใช้งานกันอยู่ในขณะนี้มีขนาดแคร่ 2 ขนาด คือใช้กับกระดาษกว้าง 9 นิ้ว และ 15 นิ้ว หรือพิมพ์ได้ 80 ตัวอักษร และ 132 ตัวอักษรในภาวะ 10 ตัวอักษรต่อนิ้ว

7. ที่พักข้อมูล คุณลักษณะในเรื่องที่พักข้อมูล (buffer) ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการพิมพ์งานนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์จะส่งข้อมูลลงไปเก็บในที่พักข้อมูล ถ้าที่พักข้อมูลมีขนาดใหญ่ก็จะลดภาระการส่งงานของคอมพิวเเตอร์ไปยังเครื่องพิมพ์ได้มาก ขนาดของที่พักข้อมูลที่ใช้มีตั้งแต่ 8 กิโลไบต์ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม เครื่องพิมพ์บางรุ่นสามารถเพิ่มเติมขนาดของที่พักข้อมูลได้ โดยการใส่หน่วยความจำลงไป ซึ่งต้องซื้อแยกต่างหาก

8. ลักษณะการป้อนกระดาษ การป้อนกระดาษเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้งานเครื่องพิมพ์ คุณลักษณะที่กำหนดจะต้องชัดเจน การป้อนกระดาษมีตั้งแต่การใช้หนามเตย ซึ่งจะใช้กับกระดาษต่อเนื่องที่มีรูด้านข้างทั้งสองด้าน เครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่มีหนามเตยอยู่แล้ว การป้อนกระดาษอีกแบบหนึ่ง คือ การใช้ลูกกลิ้งกระดาษโดยอาศัยแรงเสียดทานซึ่งเป็นคุณลักษณะของเครื่องพิมพ์ทั่วไ ป เครื่องพิมพ์บางรุ่นมีการป้อนกระดาษแบบอัตโนมัติ เพียงแต่ใส่กระดาษแล้วกดปุ่ม Autoload กระดาษจะป้อนเข้าไปในตำแหน่งที่พร้อมจะเริ่มพิมพ์ได้ทันที การป้อนกระดาษเป็นแผ่น ส่วนใหญ่จะป้อนด้วยมือได้ แต่หากต้องการทำแบบอัตโนมัติจะต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว อุปกรณ์นี้จะมีลักษณะเป็นถาดใส่กระดาษอยู่ภายนอกและป้อนกระดาษไปทีละใบเหมือนเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์บางเครื่องสามารถป้อนกระดาษเข้าเครื่องได้หลายทาง ทั้งจากด้านหน้า ด้านหลัก ด้านใต้ท้องเครื่อง หรือป้อนทีละแผ่น การป้องกระดาษหลายทางทำให้สะดวกต่อการใช้งาน

9. ภาวะเก็บเสียง เครื่องพิมพ์แบบจุดเป็นเครื่องพิมพ์ที่มีเสียงดัง ดังนั้นบางบริษัทได้พัฒนาภาวะการพิมพ์ที่เสียงเบาเป็นปกติ เพื่อลดภาวะทางเสียง

10. จำนวนชุดแบบอักษร เครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่จะมีจำนนชุดแบบอักษร (font) ภาษาอังกฤษ ที่ติดมากับเครื่องจำนวน 4 ถึง 9 ชุด ขึ้นกับเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่นชุดแบบอักษรนี้สามารถเพิ่มได้โดยใช้ตลับชุดแบบอักษรภาษาไทย ก็เป็นสิ่งสำคัญ เครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่ที่ขายในเมืองไทยได้รับการดัดแปลงใส่ชุดแบบอักษรภาษาไทยไว้แล้ว

11. การเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ การเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตามมาตรฐานสากลมีสองแบบ คือแบบอนุกรมและแบบขนาน เครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่มักต่อกับคอมพิวเตอร์ โดยมีสายนำสัญญาณแบบ DB25 คือมีขนาดจำนวน 25 สาย การต่อกับเครื่องพิมพ์จะต้องมีสายเชื่อมโยงนี้ด้วย หากต้องการต่อแบอนุกรม จะต้องกำหนดลงไปในเงื่อนไข เพราะเครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่จะมีตัวเชื่อมต่ออนุกรมเป็นเงื่อนไขพิเศษ
12. มาตรฐานคำสั่งการพิมพ์ เนื่องจากเครื่องพิมพ์ Epson ได้รับความนิยมมานาน ดังนั้น มาตรฐานคำสั่งการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ Epson จึงเป็นมาตรฐานที่เครื่องพิมพ์เกือบทุกยี่ห้อใช้ อย่างไรก็ตามเครื่องพิมพ์ไอบีเอ็มก็มีมาตรฐานของตนเองและเครื่องพิมพ์บางยี่ห้อก็ใช้ตาม

หากจะต่อเครื่องพิมพ์เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช เครื่องพิมพ์จะต้องมีคุณลักษณะในเรื่องภาวะการพิมพ์แตกต่างออกไป คือเป็นแบบโพสท์สคริปต์ (postscript)

การพิมพ์สี เครื่องพิมพ์บางรุ่น มีภาวะการพิมพ์แบบสีได้ การพิมพ์แบบสีจะทำให้งานพิมพ์ช้าลง และต้องใช้ริบบอนพิเศษ หรือ ริบบอนที่มีสี

การสั่งงานที่แป้นสั่งงานบนเครื่อง ปัจจุบันเครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่จะมีปุ่มควบคุมการสั่งงานอยู่บนเครื่องและมีจอภาพแอลซีดีขนาดเล็กเพื่อแสดงภาวะการทำงาน

2. เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink-Jet Printer) เครื่องพิมพ์พ่นหมึก เป็นเครื่องพิมพ์ที่มีคุณภาพการพิมพ์ที่ดีกว่าเครื่องพิมพ์แบบดอตแมทริกซ์ โดยสามารถพิมพ์ตัวอักษรที่มีรูปแบบ และขนาดที่แตกต่งกันมาก ๆ รวมไปถึง พิมพ์งานกราฟิกที่ให้ผลลัพธ์ คมชัดว่าเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ เทคโนโลยีที่เครื่องพิมพ์พ่นหมึก ใช้ในการพิมพ์ก็คือ การพ่นหมึกหยดเล็ก ๆ ไปที่กระดาษ หยดหมึกจะมีขนาดเล็กมาก แต่ละจุดจะอยู่ในตำแหน่งที่เมื่อประกอบกันแล้ว เป็นตัวอักษร หรือรูปภาพ ตามความต้องการ

เครื่องพิมพ์พ่นหมึกมีความเร็วในการพิมพ์ มากว่าแบบดอตแมทริกซ์ มีหน่วยวัดความเร็วเป็นในการ พิมพ์เป็น PPM (Page Per Minute) ซึ่งเร็วกว่าเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์มาก อย่างไรก็ตามถ้าเป็นการพิมพ์ กราฟิกหรือตัวอักษรที่มีรูปแบบในเวลาเดียวกัน เครื่องพิมพ์พ่นหมึกจะทำงานได้ช้าลง กระดาษที่ใช้กับเครื่อง พิมพ์พ่นหมึกจะเป็นขนาด 8.5 X 11 นิ้ว หรือ A4 ซึ่งสามารถพิมพ์ได้ ทั้งแนวตั้งที่เรียกว่า "พอร์ทเทรต" (Portrait) และแนวนอนที่เรียกว่า "แลนด์สเคป" (Landscape) โดยกระดาษจะถูกวางเรียงซ้อนกัน อยู่ในถาด และถูกป้อน เข้าไปในเครื่องพิมพ์ที่ละแผ่นเหมือนเครื่องถ่ายเอกสาร

3. เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer) เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เป็นเครื่องที่มีคุณสมบัติเหมือนกับเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก แต่สามารถทำงาน ได้เร็วกว่า โดยเครื่องพิพม์เลเซอร์ สามารถพิมพ์ตัวอักษรได้ทุกรูปแบบและทุกขนาดรวมทั้งสามารถพิมพ์งาน กราฟิกที่คมชัดได้ด้วย เครื่องเลเซอร์ใช้เทคโนโลยี เดียวกับเครื่องถ่ายเอกสาร คือยิงเลเซอร์ไปสร้างภาพบน กระดาษในการสร้างรูปภาพ หรือตัวอักษรบนกระดาษ หน่วยวัดความเร็วของเครื่องพิมพ์เลเซอร์จะเป็น PPM เช่นเดียวกับ เครื่องพิมพ์พ่นหมึกในปัจจุบัน ความสามารถ ในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์คุณภาพสูง สามารถพิมพ์ได้หลายร้อยหน้าต่อนาที ซึ่งเหมาะ กับงานในองค์กรขนาดใหญ่ จะนำไปใช้งานในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ ส่วนคุณภาพงานพิมพ์ของเครื่องจะวัด ด้วยความละเอียดในการสร้างจุดลงในกระดาษ ขนาด 1 ตารางนิ้ว เช่นความละเอียดที่ 300 dpi หรือ 600 dpi หรือ 1200 dpi เครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ก็จะมีทั้งเครื่องพิมพ์เลเซอร์แบบ ขวา-ดำ และเครื่องพิมพ์ เลเซอร์แบบสี ซึ่งเครื่องพิมพ์เลเซอร์แบบสีจะมีราคาแพงมาก แต่งานพิมพ์ที่ได้ออกมาก็มีคุณภาพสูง

เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (laser printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่กำลังได้รับความนิยม เครื่องพิมพ์นี้อาศัยเทคโนโลยีไฟฟ้าสถิตย์ที่พบได้ในเครื่องถ่ายเอกสารทั่วไปโดยลำแสงจากไดโอดเลเซอร์จะฉายไปยังกระจกหมุน เพื่อสะท้อนไปยังลูกกลิ้งไวแสง ซึ่งจะปรับตามสัญญาณภาพหรือตัวอักษรที่ได้รับจากคอมพิวเตอร์ และกราดตามแนวยาวของลูกกลิ้งอย่างรวดเร็ว สารเคลือบบนลูกกลิ้งจะทำปฎิกิริยากับแสงแล้วเปลี่ยนเป็นประจุไฟฟ้าสถิตย์ ซึ่งทำให้ผงหมึกเกาะติดกับพื้นที่ที่มีประจุ เมื่อกระดาษพิมพ์หมุนผ่านลูกกลิ้ง ความร้อนจะทำให้ผงหมึกหลอมละลายติดกับกระดาษได้ภาพหรือตัวอักษร

เนื่องจากลำแสงเลเซอร์ได้รับการควบคุมอย่างแม่นยำ ทำให้ความละเอียดของจุดภาพที่ปรากฎบนกระดาษสูงมาก งานพิมพ์จึงมีคุณภาพสูงทำให้ได้ภาพและตัวหนังสือที่คมชัดสวยงาม การพิมพ์ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์จะไม่ส่งเสียงดังเหมือนเครื่องพิมพ์แบบจุด แต่จะเงียบเหมือนเครื่องถ่ายเอกสาร

เครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่นิยมนำมาใช้งานกับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะมีความเร็วของการพิมพ์ประมาณ 6 ถึง 24 หน้าต่อนาที โดยมีความละเอียดของจุดภาพประมาณ 300 จุดต่อนิ้ว จึงทำให้ได้ภาพกราฟิกที่สวยงามและตัวหนังสือที่คมชัด มีชุดแบบอักษรหลายชุด เครื่องพิมพ์เลเซอร์ระดับสูงจะมีความเร็วของการพิมพ์สูงขึ้นคือตั้งแต่ 20 หน้าต่อนาทีไปจนถึง 70 หน้าต่อนาที เครื่องพิมพ์เลเซอร์ระดับสูงนี้จะมีราคาแพง ไม่เหมาะต่อการนำมาใช้งานในสำนักงานทั่วไป

เครื่องพิมพ์เลเซอร์ยังมีการพัฒนาต่อไป โปรแกรมสร้างภาพกราฟิกจะมีขีดความสามารถสูงขึ้น สามารถสร้างและวาดภาพในลักษณะเป็นชิ้นส่วนวัตถุมาผสมผสานกันให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น โปรแกรมต่าง ๆ จะต้องแปลงข้อมูลภาพมาเป็นจุดภาพ แล้วจึงส่งข้อมูลจุดภาพไปยังเครื่องพิมพ์ ภาพที่สร้างและแสดงผลออกที่เครื่องพิมพ์จะใช้เวลายาวนานหลายนาทีต่อภาพ เครื่องพิมพ์เลเซอร์ยุคใหม่จะมีหน่วยประมวลผลหรือไมโครโพรเซสเซอร์อยู่ภายในสำหรับรับข้อมูลภาพเพื่อแบ่งเบาภาระงานของคอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกันจะมีหน่วยความจำขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับเก็บข้อมูลภาพได้มากขึ้น

คำสั่งหรือภาษาเพื่ออธิบายข้อมูลภาพที่นิยมใช้กับเครื่องเลเซอร์รุ่นใหม่นี้ ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาโพสท์คริปต์ จนนิยมเรียกเครื่องพิมพ์นี้ว่า เครื่องพิมพ์โพสท์คริปต์ ในการเลือกซื้อเครื่องพิมพ์เลเซอร์มาใช้งานจะต้องพิจารณาคุณลักษณะต่างๆ ดังนี้

1. คุณภาพของการพิมพ์ หน่วยบอกคุณภาพจะระบุเป็นจุดภาพ เริ่มจาก 300 จุดภาพต่อนิ้วขึ้นไปจนถึง 600 จุดภาพต่อนิ้ว ถ้าจำนวนจุดภาพต่อนิ้วสูงมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ภาพคมชัดมากขึ้นเท่านั้น

2. ความเร็วของการพิมพ์ เครื่องพิมพ์เลเซอร์ระดับใช้งานทั่วไปจะมีอัตราความเร็วของการพิมพ์ประมาณ 6 ถึง 24 หน้าต่อนาที ซึ่งอัตราความเร็วของการพิมพ์ตามที่ระบุไว้ในคุณลักษณะของเครื่องอาจจะไม่ถูกต้องนัก ผู้ใช้อาจทดสอบความเร็วด้วยงานพิมพ์ต่าง ๆ กัน เช่นพิมพ์เอกสารแบบไม่เว้นบรรทัด เอกสารแบบเว้นบรรทัดและภาพกราฟิก โดยมีชุดแบบอักษรต่าง ๆ กัน แล้วจดบันทึกเวลาเพื่อเปรียบเทียบผล

3. หน่วยความจำของเครื่องพิมพ์ เครื่องพิมพ์เลเซอร์จะมีหน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูลตัวอักษรและภาพเอาไว้ ตามปกติจะมีหน่วยความจำอยู่ 512 กิโลไบต์ถึง 1 เมกะไบต์ และสามารถขยายเพิ่มเติมได้อีก เครื่องที่มีหน่วยความจำสูงกว่า ราคาแพงกว่าจะทำงานได้เร็วกว่า เพราะคอมพิวเตอร์สามารถส่งข้อมูลภาพไปพิมพ์ได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาส่งข้อมูลหลาย ๆ ครั้ง

4. พล็อตเตอร์ (plotter) พล็อตเตอร์ เป็นเครื่องพิมพ์ชนิดที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลต่างๆ ลงบนกระดาษเหมาะสำหรับงาน เกี่ยวกับการเขียนแบบทางวิศวกรรม (เขียนลงบนกระดาษไข) และงานตกแต่งภายใน สำหรับวิศวกรรมและสถาปนิก

พล็อตเตอร์ทำงานโดยใช้วิธีเลื่อนกระดาษ โดยสามารถใช้ปากกาได้ 6-8 สี ความเร็วในการทำงานของ พล็อตเตอร์มีหน่วยวัดเป็นนิ้วต่อวินาที (Inches Per Secon : IPS) ซึ่งหมายถึงจำนวนนิ้วที่พล็อตเตอร์สามารถ เลื่อนปากกาไปบนกระดาษ

เบิร์นแผ่นดิสก์อย่างไรไม่ให้เสีย ด้วย 5 วิธีง่ายๆ

แต่ด้วยเทคนิคง่ายๆ 5 ข้อนี้ ก็จะช่วยให้คุณสามารถลดความผิดพลาดลงและหลีกเลี่ยงปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นในระหว่างการเบิร์นแผ่นซีดีหรือดีวีดีได้มากขึ้น

1.โปรดติ๊กฟังก์ชัน verify: ถ้ามีกฎทองในการเบิร์นแผ่นซีดี/ดีวีดีแล้วล่ะก็ การใช้ซอฟต์แวร์ที่มีฟังก์ชันการ verify หรือ validate เพื่อเปรียบเทียบการเขียนแผ่นกับการอ่านแผ่น ก็จะเป็นอะไรที่ดีเยี่ยมเอามากๆ ถึงแม้ว่าฟังก์ชันการ verify ไม่ได้เพิ่มโอกาสในการเบิร์นแผ่นให้สำเร็จ แต่มันจะช่วยให้คุณรู้ถึงปัญหาในระหว่างการเบิร์นแผ่นดิสก์ได้ แม้ว่าคุณจะเบิร์นแผ่นสำเร็จก็ตาม แต่ในเวลาเล่นแผ่นก็มีโอกาสเกิดบั๊กขึ้นได้เสมอ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพราะแผ่นดิสก์ไม่ดีแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นจากการเริ่มต้นเขียนแผ่นที่ไม่ดีต่างหาก เพราะฉะนั้น ติ๊ก validate ไว้ด้วย

2. ใช้สื่อบันทึกข้อมูลผิดชนิด: ถ้าคุณคิดว่า คุณสามารถเลือกแผ่นบันทึกข้อมูลที่เจ๋งที่สุดมาเบิร์นนั้น ต้องขอบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะการเลือกแผ่นบันทึกข้อมูลให้เหมาะสมกับเครื่องเล่นที่ซัปพอร์ตแผ่นชนิดต่างๆ นั้นคือความคิดที่ดีที่สุดในการเลือกแผ่นต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น แผ่นดีวีดี ที่มีทั้งแบบ DVD+-R/RW หรือ DVD-RAM เป็นต้น ซึ่งถ้าคุณซื้อแผ่นซีดีหรือดีวีดีที่เป็นยี่ห้อโนเนม แล้วล่ะก็ กฎทองในข้อที่ 1 เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก และมันก็มีโอกาสที่จะเบิร์นแผ่นเสียได้มากกว่า โดยในประสบการณ์ที่เจอ แผ่นดีวีดีจะสามารถเบิร์นแผ่นได้ดีกว่าแผ่นซีดีอยู่แล้ว ในแง่ของการผลิต แต่ในความเป็นจริง หากคุณเลือกใช้แต่แผ่นที่มีราคาต่ำ ไดรฟ์ของคุณก็จะมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าที่จะทำให้หัวอ่านซีดีเขียนแผ่นไม่ตรงและไม่แม่นยำได้ ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้การเบิร์นแผ่นของคุณเสีย หรือมีอาการกระตุกลองปรับความเร็วในการเบิร์นแผ่นให้ต่ำลง จะให้ผลที่ดีกว่าการเบิร์นที่ความเร็วระดับสูงสุด

3.อย่าเขียนแผ่นซีดีเร็วเกินไป: ทุกคนคงไม่มีใครอยากจะรอนานในเวลาเบิร์นแผ่นดิสก์หรอก แต่อย่างว่า ยิ่งเขียนแผ่น CD-R และ DVD-R เร็วมากเท่าไร โอกาสที่แผ่นจะเสียก็มีมากขึ้นตามไปด้วย แต่ปัญหานี้จะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับแผ่นซีดีและดีวีดีแบบ rewritable เพราะแผ่นแบบนี้มันจะเขียนได้ช้ากว่าปกติอยู่แล้ว ซึ่งการเบิร์นแผ่นจะเสียหรือไม่เสียนั้น ปัจจัยหลักคือระยะเวลาในการเขียนแผ่นที่คุณตัดสินใจเลือกนั่นแหละ ที่จะก่อให้เกิดปัญหาแผ่นเสียขึ้นมา ดังนั้นทางที่ดี คุณควรเลือกความเร็ว ที่รองลงมาจากความเร็วสูงสุด หรือต่ำกว่านั้น เพราะถ้าวัดเวลาเขียนแผ่นจริงๆ แทบจะไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องของเวลาเลย อย่างความเร็วที่ 18x และ 16x เป็นต้น

4.เฟิร์มแวร์ไม่ใหม่พอ: การอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้กับไดรฟ์เขียนแผ่นดิสก์ ก็เป็นอีกหนึ่งทางที่จะทำให้โอกาสในการเขียนแผ่นดิสก์เสียลดลง เพราะเดี๋ยวนี้เครื่องเขียนแผ่นหลายยี่ห้อกำลังแข่งขันกันอย่างหนัก เร่งเวลาในการออกจำหน่ายสู่ตลาด ซึ่งอาจจะทำให้เฟิร์มแวร์หรือซอฟต์แวร์ที่มากับเครื่องไม่สมบูรณ์เพียงพอในขณะที่เราซื้อ ดังนั้นการอัพเดตเฟิร์มแวร์หรือซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้าคุณไม่แฮปปี้อยู่แล้วกับประสิทธิภาพในการเขียนแผ่น คุณสามารถหาเฟิร์มแวร์อัพเดตได้ที่เว็บไซต์ของผู้ผลิตยี่ห้อต่างๆ อย่าไปรอให้เครื่องเสียซะก่อนค่อยแก้ไขน่ะครับ ยังไงก็กันไว้ดีกว่าแก้ แต่ถ้าเครื่องเขียนแผ่นของคุณไม่ได้เป็นอะไร ใช้งานได้ดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปอัพเดตแก้ไขเฟิร์มแวร์ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าอัพเดตขึ้นมากลับทำให้เขียนแผ่นเสียมากขึ้นกว่าเดิมอีก แต่ถ้ายังมีปัญหาในการเขียนแผ่นดิสก์เสียเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าจะเปลี่ยนยี่ห้อของแผ่นบันทึกแล้วก็ตาม ลองอัพเดตเฟิร์มแวร์หรือซอฟต์แวร์ให้กับเครื่องดู ก็น่าจะช่วยได้เช่นกัน

5.คอมพิวเตอร์คุณไม่เร็วพอ: พีซีเครื่องใหม่ในตอนนี้ มีความเร็วเพียงพอที่จะทำงานอย่างอื่นควบคู่ไปกับการเบิร์นแผ่นในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเบิร์นแผ่นได้สำเร็จทุกครั้ง โอกาสที่แผ่นจะเสียก็ยังมีสูงอยู่ ดังนั้นการปิดแอพพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้ หรืออย่างน้อยก็ minimize มันลงมาในขณะที่กำลังเบิร์นแผ่นอยู่ ก็จะช่วยลดโอกาสที่แผ่นจะเสียได้มากขึ้น ซึ่งที่ผมกล่าวมา ไม่ได้หมายถึงว่า ให้คุณหยุดทำงานทั้งหมด ในขณะที่เบิร์นแผ่นอยู่ แต่คุณควรระวังเอาไว้ เพราะโอกาสที่เบิร์นแล้วแผ่นจะเสียยังมีอยู่ และยิ่งถ้าคุณมีแผ่นบันทึกเพียงแค่แผ่นเดียวเท่านั้น แถมยังเสียไม่ได้อีกด้วย ขอแนะนำเลยว่า ปิดแอพพลิเคชันทั้งหมด แล้วไปหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาจะเป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ดื่มชากาแฟ หรืออ่านหนังสือพิมพ์ ก่อน จนกว่าการเบิร์นแผ่นจะเสร็จสมบูรณ์ เพียงเท่านี้คุณก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าแผ่นจะเสีย โดยเฉพาะถ้าเครื่องคอมพ์ของคุณเป็นรุ่นเก่าๆ ด้วยแล้วล่ะก็ ควรเปิดแค่โปรแกรมเบิร์นแผ่นอย่างเดียวดีที่สุด

วิธีกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์

วิธีกำจัดไวรัส Win32/MyGril Worm
(จะทำการสร้างไฟล์ exe ขึ้นมาจำนวนมากแล้วทำการแพร่กระจายผ่านทาง network หรือ flash drive)

วิธีกำจัดไวรัส RJump.A
(ดับเบิ้ลคลิกไดร์ฟไม่ได้,มีการส่งเมลจำนวนมากออกจากเครื่อง )

วิธีกำจัดไวรัส Win32/Stration Worm
(จะมีการส่งเมลจำนวนมากออกจากเครื่องของคุณทำให้ เครื่องของคุณ Hang,จะทำให้โปรแกรม Antivirus เกิด error)

วิธีกำจัดไวรัส Toy
(มีอักษรภาษาจีนขึ้นบริเวณ Background ของหน้า Desktop)

วิธีกำจัดไวรัส Autorun VBS[Small.K]
(ไม่สามารถดับเบิ้ลคลิ๊กที่ไดร์ฟต่างๆได้, เมื่อกด ดับเบิ้ลคลิ๊กไดร์ฟจะเป็นการเปิดไดร์ฟโดย Open With )

วิธีกำจัดไวรัส Hacked By MooZilla
(ไม่สามารถดับเบิ้ลคลิกไดรฟ์ได้,ไตเติ้ลบาร์จะโชว์" Hacked By MOOzilla",เมื่อเข้าเวปจะลิงก์ไปหน้าเวปเกม)

วิธีกำจัดไวรัส Email-Worm.Win32.Warezov.nf
(จะมีหน้าต่างโชว์ Unknown error เป็นหนอนอีเมล์โดยจะสำเนาจดหมายในเมล์บล๊อคที่ติดเชื้อเผยแพร่ออกไป)

วิธีกำจัดไวรัส Brontok A/B
(เมื่อเปิดเครื่องใช้งานจะมีหน้าต่างโชว์ "Anda setuju?"ขี้นมาบ่อยๆ,เปิดเมนู tool จะไม่มี folder oftion)

วิธีแก้ไขเมื่อติด Malware dropper.agent.azn
(เมื่อเข้าเวปจะมีหน้าต่างเตือนของ Microsoft Internet Explorer,มีไอคอนของ online securityขึ้นมา)

วิธีกำจัดไวรัส โมนาลิซ่า
(คลิกขวาไม่ได้,เข้าโหมด runไม่ได้หรือไม่มี,กด crt+alt+deleteไม่ได้,ไฟล์ .exe จะถูกซ่อน)

วิธีกำจัดไวัส Winav.exe, WinAvX.exe,WinAntivirus
(เวลาใช้งานจะมีหน้าต่าง Windows Security Alert ขึ้นมา,control panel หาย,เข้า Task Manager ไม่ได้)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Nimda
(ไฟล์ attachment จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น sample.exe หรือบางครั้งอาจจะซ่อนไว้)

วิธีกำจัดไวรัส Flashy.exe( ไม่สามารถเรียกใช้ Task Manager, Registry Editor และFolder Option ได้,password ถูกเปลี่ยน )

วิธีแก้ไขไวรัสที่ทำให้เวลาคลิกขวาที่ไดว์ฟแล้วตัวหนังสืออ่านไม่ออก
(เมื่อคลิกขวาแล้วจะมีตัวหนังสือที่อ่านไม่ออก)

วิธีกำจัดไวรัส BraveSentry
(จะมีหน้าต่างขึ้นมาตรงมุมขวาว่า "Your computor is infected!")

วิธีกำจัดไวรัสเปลี่ยนพื้นหลังไม่ได้
(จะมีหน้าต่างขึ้นมาตรงมุมขวาว่า "Your computor is infected!",ไม่สามารถเปลี่ยนพื้นหลังหน้าจอได้)

วิธีกำจัดไวรัสหมีแพนด้า(W32/Fujacks)
(ไอคอนจะเปลี่ยนไปเป็นรูปหมีแพนด้า,ไม่สามารถดับเบิ้ลคลิกไดร์ฟ D,C ได้)

วิธีกำจัดไวรัส VBS.Solow
(Rundll64.dll.vbs หรือ Hello World I am VB) (ไม่สามรถใช้งาน Task,ไม่แสดงเมนู All Programe ในเมนู Start,title bar จะโชว์"Hello Wold I am VB)

วิธีกำจัดไวรัส AdobeR.exe Win32/RJump.A
(เมื่อคลิกขวาตรงแฮนดี้ไดว์ฟจะมีข้อความข้างบนสุดขึ้นว่า Auto หรือ Autorun หรือ O)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Fujacks.AA หรือ W32.Fubalca
(หัวข้ออีเมล์จะเป็นภาษาจีน,ไม่สามารถ run file .exe,html)

วิธีกำจัดไวรัสTrojan.Peacomm หรือ TROJ_SMALL_EDW
(จะส่งอีเมล์ออกไปจำนวนมาก,เครื่องทำงานผิดพลาดเนื่องจากถูกแก้ไข regitry,เปิดการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ)

วิธีกำจัดไวรัสVBS.Godzilla (Hacked by Godzilla)
(ไม่สามารถ Double Click เปิดไดร์ฟต่างๆได้,มีข้อความปรากฏบนTitle Bar ว่า “Hacked By Godzilla”)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Sober.AG@mm
(จะมีหน้าต่างโชว์ Error in packed Header,มีหน้าต่างของโปรแกรมกำจัดไวรัสโชว์ว่าไม่มีไวรัส)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Sober.R@mm
(จะมีหน้าต่างโชว์ข้อความ Graphic Decoder not found)

วิธีกำจัดไวรัสW32.Zotob.E
( จะทำการเชื่อมต่อไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของโปรแกรม IRC ที่ IP 72.20.27.115และส่งข้อความเอง)

วิธีกำจัดไวรัส SymbOS.Doomboot.A
(มือถือจะเปิดใช้งานบลูทูธจนแบตเตอรี่หมด,เครื่องเปิดใช้งานไม่ได้)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Mydoom.BB@mm หรือ W32.Mydoom.AX@mm
(จะส่งอีเมล์ออกไปจำนวนมาก,เปิดการใช้งานผิดปกติ)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Bagle.BK@mm,.AZ@mm , .AU@mm หรือ .AY@mm(จะส่งอีเมล์ออกไปจำนวนมาก,เปิดการใช้งานผิดปกติ,เชื่อมต่อไปยังเวปไซท์อื่นๆ)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Bropia
(หนอนอินเทอร์เน็ตที่แพร่กระจายผ่าน MSN) (ไม่สามารถ click ขวาได้,ไม่สามารถใช้งาน task managerได้, เครื่องจะพยายามติดต่อ MSN)

วิธีกำจัดไวรัส Perl.Santy.A
( ค้นหาเว็บไซต์ที่มีหน้า viewtopic.php ด้วยGoogle)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Zafi.D@mm หรือ W32.Erkez.D@mm
(เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีการแจ้งเตือนดังนี้ Title: CRC: 04F7Bh Message: Error in packed file!)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Sasser.Worm และ W32.Sasser.B.Worm
(เครื่องปิดเองหรือรีสตาร์ทเอง,มีการใช้งานอย่างมากมาย)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Netsky.B@mm ,.C@mmy,.D@mm
(จะมีหน้าต่างโชว์ข้อความว่า The file could not be opened)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Mimail.C@mm และ W32.Mimail.D@mm
(จะส่งอีเมล์ออกไปจำนวนมาก,ติดต่อไปยังโดเมน ไปยังโดเมน darkprofits )

วิธีกำจัดไวรัส W32.Swen.A@mm
(จะมีหน้าต่างของ Microsoft Internet Update Pack ขึ้นมา)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Sobig.F@mm
( จะถูกเปิดพอร์ต 99x/UDP เพื่อรอรับข้อมูล และส่งการร้องขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ NTP )

วิธีกำจัดไวรัส W32.Nachi.Worm หรือ Svchost.exe (ทำให้ cpu ทำงานหนักถึง100%,ไม่สามารถปิดหน้าต่างวินโดว์ได้)วิธีกำจัดไวรัส W32.Bugbear.B@mm
(จะหยุดการทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัสและไฟร์วอลล์, ทำให้เครื่องพิมพ์ทำการพิมพ์ข้อมูลที่เป็นขยะออกมามากมาย)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Fizzer@mm
( โจมตีการทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัสและลบโปรแกรมป้องกันไวรัส)
W32.SQLExp.Worm
(ใช้งานฟังก์ชั่น API ของวินโดวส์ ที่ชื่อ GetTickCount เพื่อที่จะสุ่มหมายเลข IP )

วิธีกำจัดไวรัส W32.Lirva.C@mm หรือ W32.Naith.A
( จะทำการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ web.host.kz และดาวน์โหลด BackOrifice )

วิธีกำจัดไวรัส W32.Yaha.F@mm, W32.Yaha.K@mm
(จะแสดงข้อความมากมายและเป็นผลให้เดสก์ทอปของ Windowsสั่นเหมือนมี screen saver)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Winevar@mm
(จะมีหน้าต่างโชว์ข้อความว่า Make a foolish think you have done!)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Opaserv@mm
(จะพยายามโหลดเว็บไซต์ http://www.opasoft.com/)

วิธีกำจัดไวรัส W32.Frethem.B@mm , W32.Frethem.K@mm
(จะสำเนาตัวเองเป็นไฟล์ C:\%WINDOWS%\All Users\StartMenu\Programs\Startup\Setup.exe,)
วิธีกำจัดไวรัส W32/Klez.g@MM, W32/Klez.h@MM, W32/Klez.k@MM
(จะทำสำเนาตัวมันเองโดยมีชื่อ WINKxxx.EXTไว้ในโฟลเดอร์ WINDOWS\SYSTEM )

วิธีกำจัดไวรัส VBS.VBSWG.AQ@mm
( ให้ทำการส่งตัวเองไปยังผู้ใช้ Microsoft Outlook หรือโปรแกรม mIRC ในรูปของไฟล์ชื่อShakiraPics.jpg.vbs)

วิธีกำจัดไวรัส Funlove.4099
(จะสร้างไฟล์ที่ชื่อ Flcss.exeที่เก็บอยู่ในไดเรกทอรี่ %System% เช่น C:\Windows\System)
วิธีกำจัดไวรัส W32.FBOUND.B@MM, W32.Dotjaypee@mm

ความรู้เรื่องแผ่น DVD

ถ้าพูดถึงโครงสร้างการเก็บข้อมูลบนแผ่น เช่น DVD5, DVD9, DVD10, DVD18, DVD-Video, DVD-Audio ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าพูดถึงโครงสร้างทางกายภาพของแผ่น ก็มีดังนี้ครับ (คร่าวๆ)

ค่าย DVDForum ส่งเข้าประกวด ได้แก่ DVD-R, DVD-RW, DVD-R DL, DVD-RAM, DVD-ROM
ค่าย DVD+RW Alliance ส่งเข้าประกวด ได้แก่ DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL

ในด้านความจุนั้น
DVD-R และ DVD-RW เป็นแบบชั้นเดียว มีความจุ 4,706,074,624 bytes หรือเท่ากับ 4488MB
DVD+R และ DVD+RW ก็เป็นแบบชั้นเดียว มีความจุ 4,700,372,992 bytes หรือเท่ากับ4482MB

DVD+R DL เป็นแบบสองชั้น (DL==Dual Layer) มีความจุ 8,547,993,600 bytes หรือเท่ากับ 8152MBDVD-R DL เป็นแบบสองชั้น ขณะนี้ยังอยู่ในห้องแล็ปคาดว่าภายในปีนี้จะเริ่มออกวางตลาด แต่ราคาคงแพงหูฉี่ ความจุก็คงประมาณ DVD+R DL

DVD-ROM เป็นได้ทั้งชั้นเดียวหรือสองชั้น ความจุประมาณ DVD-R หรือ DVD+R DL

DVD-RAM มี 2 แบบคือแบบเก่าและแบบใหม่ ทั้งสองแบบมีทั้งแบบด้านเดียว (Single Side) และแบบสองด้าน (Double Side)

เวลาใช้งานแบบสองด้านผู้ใช้จะต้องทำการกลับข้างแผ่นเอง ทุกด้านจะเป็นแบบชั้นเดียว (Single Layer) โดยมีความจุดังนี้
2,6xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบเก่า ชั้นเดียว ด้านเดียว
5,2xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบเก่า ชั้นเดียว สองด้าน
4,7xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบใหม่ ชั้นเดียว ด้านเดียว
9,4xx,xxx,xxx bytes เป็นแบบใหม่ ชั้นเดียว สองด้าน

ในด้านความเร็วในการเขียนของเครื่องเขียนนั้น ความเร็วสูงสุดของเครื่องเขียนที่เขียนแผ่นแบบต่างๆได้ขณะนี้อยู่ที่
16x สำหรับ DVD-R และ DVD+R โดยเครื่องเขียนดีวีดีที่เขียนได้ทั้งสองแบบส่วนใหญ่จะเขียน DVD+R ได้เร็วกว่า DVD-R เช่น 16x DVD+R 12x DVD-R หรือ 12x DVD+R
8x DVD-R8x สำหรับ DVD+RW
6x สำหรับ DVD-RW, DVD-R DL, DVD+R DL
5x สำหรับ DVD-RAM
โดย 1x ของดีวีดี = 9x ของซีดี = 9*150kB/s = 1350kB/s

ในด้านราคาและความเร็วของแผ่นนั้นที่ความเร็วการเขียนเท่ากัน และที่คุณภาพของแผ่นเท่ากัน DVD-R จะถูกกว่า DVD+R นิดหน่อยที่คุณภาพของแผ่นเท่ากัน DVD-R และ DVD+R ที่ 16x ยังหายาก 12x ยังแพงอยู่ 8x ถูกลงมา 4x ก็ถูกสุดแผ่น

DVD-R หรือ DVD+R บางแผ่นที่บอกว่ารับรองการเขียนได้ที่ 4x แต่จริงๆอาจเขียนได้ถึง 6x หรือ 8x นั้น จะต้องระวังเรื่องคุณภาพการเขียนและการอ่านกลับ ไม่ควรเก็บข้อมูลสำคัญไว้กับแผ่นที่เขียนมาด้วยความเร็วสูงกว่าที่ระบุไว้ ที่แผ่น
แผ่น DVD+R DL ตอนนี้มีแค่ 2.4x และ 4x ราคายังแพงมากในขณะนี้ ถ้าบ้านไม่รวยก็ยังไม่คุ้มที่จะซื้อใช้แผ่น DVD-R DL ยังไม่มีวางขาย
แผ่น DVD-RW หรือ DVD+RW ตอนนี้มีไม่เกิน 4x ราคาแพงกว่า DVD-R หรือ DVD+R แต่ถูกกว่า DVD+R DLแผ่น DVD-RAM ตอนนี้มีไม่เกิน 5x ราคาแพงกว่า DVD-RW หรือ DVD+RW แต่ถูกกว่า DVD+R DL

ในด้านความเข้ากันได้กับเครื่องอ่าน (เขียนแล้วเอาไปอ่านกับเครื่องอื่นได้หรือไม่ได้มากน้อยแค่ไหน)แผ่น DVD-ROM มีความเข้ากันได้กับเครื่องอ่านมากที่สุด (ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอ่านแบบ DVD-ROM ที่ใช้ในคอมพ์ หรือเครื่องเล่นดีวีดีที่ต่อเข้าทีวี) เนื่องจากเป็นแผ่นที่ปั๊มมาจากโรงงาน โดยปั๊มจากโมล ไม่ได้ถูกเขียน(หรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือ เบอร์น)มาด้วยแสงเลเซอร์จากเครื่องเขียนดีวีดีความเข้ากันได้รองลงมาจาก DVD-ROM ของแผ่นแบบอื่นเรียงตามลำดับคือ DVD-R (93%), DVD+R (89%), DVD-RW (80%), DVD+RW (79%), DVD+R DL (??), DVD-RAM (??)

ในด้านความสามารถในการเขียนแผ่น
DVD-R, DVD+R, DVD-R DL, DVD+R DL เขียนแล้วลบไม่ได้ เขียนทับไม่ได้แผ่น DVD-RW, DVD+RW เขียนแล้วลบได้ เขียนทับได้แผ่น DVD-R สามารถเขียนแบบทีละนิด ไปเรื่อยๆจนเต็ม (ที่เรียกว่าการเขียนแบบ multi-session) ได้เช่นเดียวกับ DVD+R หลายคนเข้าใจผิดว่า DVD-R เขียน multi-session ไม่ได้ จริงๆแล้วเขียนได้ เพียงแต่เครื่องอ่านหลายเครื่องที่อ่าน DVD-R ได้ อาจจะอ่าน DVD-R แบบ multi-session ไม่ได้ บางรุ่นอาจต้องอัปเกรด firmware ก่อนจึงจะอ่านได้ นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อก็คือตัว OS เช่น Windows บางเวอร์ชั่นก็อ่าน DVD-R แบบ multi-session ไม่ได้ ไม่แน่ใจว่ามีรุ่นไหนบ้าง แต่ Windows XP นั้นอ่านได้ นอกจากนี้การเขียน multi-session ของ DVD-R นั้นจะใช้แก็ปมากกว่า DVD+R เช่นถ้าทดลองเขียนข้อมูลขนาด 10MB ทีละนิดเขียนไป 100 ครั้งด้วยข้อมูลเดียวกัน ทดลองทั้งแผ่น DVD-R และ DVD+R แล้วลองดูว่าใช้พื้นที่ไปแล้วเท่าไรและหลืออีกเท่าไร จะพบว่าแผ่น DVD+R จะเหลือที่ว่างเพื่อเขียนเพิ่มมากกว่าแผ่น DVD-R (ต่างกันแค่ไหนนั้นจำไม่ได้ แต่มากพอสมควร)

ต่างกันแค่ไหนระหว่าง multi-session ในแบบของ DVD-R กับ DVD+R นั้น ก็ต่างกันมากทีเดียว โดย DVD-R นั้นจะต้องเสียพื้นที่ถึง 32-96 MB ระหว่างสอง session แรก และ 6-18 MB ระหว่างสอง session ต่อๆ ไป ดังนั้นสมมติว่าตอนนี้เรามีอยู่แล้ว 10 session ก็แสดงว่าอาจต้องเสียพื้นที่ไปแล้วมากถึง 258 MB (มากกว่า 5% ของพื้นที่ทั้งหมดบนแผ่น) ส่วน DVD+R นั้น จะเสียพื้นที่ระหว่าง session เพียง 2 MB เท่านั้นไม่ว่าจะเป็นระหว่าง session ไหน ดังนั้นถ้าเราเขียนไปแล้ว 10 session ก็แสดงว่าเราเสียพื้นที่ไปแค่ 18 MB เท่านั้น ที่เป็น 18 MB ไม่ใช่ 20 MB ก็เพราะว่า session ที่ 10 นั้นไม่ต้องเสียพื้นที่ 2 MB เพื่อปิดท้ายเหมือนของ DVD-R

DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL มีความสามารถที่ไม่มีในคู่แข่ง (แบบ -) คือ ความสามารถที่เรียกว่า bitsetting ซึ่งเป็นการเปลี่ยน book type ของแผ่นให้กลายเป็น DVD-ROM ทำให้ความเข้ากันได้ของ DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL เพิ่มขึ้นไปใกล้เคียง หรือมากกว่า คู่แข่งแบบ - เพราะเครื่องอ่านโดนหลอกว่าแผ่นนี้เป็นแผ่น DVD-ROM (แผ่นปั๊ม) ไม่ใช่แผ่น DVD+R หรือ DVD+RW หรือ DVD+R DL บางคนบอกว่าตอนนี้ DVD+R ที่เปลี่ยน book type เป็น DVD-ROM มีความเข้ากันได้เทียบเท่าแผ่น DVD-ROM จริงๆเลยทีเดียว ซึ่งความสามารถนี้ทำให้แผ่น DVD+R/RW/R DL ล้ำหน้า DVD-R/RW เพราะ DVD-R/RW นั้นไม่สามารถเปลี่ยน book type ได้ อนึ่ง bitsetting นี้ตัวเครื่องเขียนจะต้องสนับสนุนด้วย เครื่องเขียนบางเครื่องทำ bitsetting ได้เฉพาะแผ่น DVD+R หรือบางเครื่องทำได้เฉพาะ DVD+R DL บางเครื่องทำได้ครบทั้ง DVD+R, DVD+RW, DVD+R DL บางเครื่องเปลี่ยนให้โดยอัตโนมัติ บางเครื่องต้องเข้าไปเซ็ตก่อน ต้องดูเป็นเครื่องๆไป ทั้งนี้อาจขึ้นกับ firmware ด้วย เครื่องเดียวกันตอนนี้อาจทำไม่ได้แต่อัปเกรด firmware แล้วอาจทำได้

แผ่น DVD-RAM มีความสามารถในการเขียนที่น่าอัศจรรย์ที่หลายคนไม่รู้ คือ การเขียนข้อมูลแบบ random ได้เหมือนกับฮาร์ดดิสค์ ยกตัวอย่างคือ เปิดไฟล์ขึ้นมาตรงๆจากแผ่น DVD-RAM แล้วแก้ไฟล์ แล้วก็เซฟไฟล์ไปตรงนั้นเดี๋ยวนั้นได้เลยเหมือนกับทำบนฮาร์ดดิสค์ ไม่มีแผ่นแบบไหนทำแบบนี้ได้ และไม่ค่อยมีเครื่องเขียนเครื่องไหนเขียน DVD-RAM ได้ และที่สำคัญ (ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ DVD-RAM ไม่ค่อยแพร่หลาย) คือไม่ค่อยมีเครื่องอ่านเครื่องไหนที่อ่านแผ่น DVD-RAM ได้ เครื่องเขียนที่เขียนและอ่านแผ่น DVD-RAM ได้คือเครื่องเขียนหลายรุ่นจากค่าย LG และค่าย Panasonic แผ่น DVD-RAM เป็นที่นิยมกันในญี่ปุ่น โดยจะใช้อัดหนังด้วยเครื่อง DVD Recorder (คือเครื่องอัดที่ใช้อัดหนังจากทีวีแบบเดียวกับเครื่อง Video VHS เพียงแต่อัดลงแผ่น DVD) แล้วเอามาแก้ไขตัดต่อบนคอมพ์ โดยใช้เครื่องเขียนดีวีดีที่อ่านเขียน DVD-RAM ได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องย้ายข้อมูลทั้งหมดจากแผ่น DVD-RAM ลงฮาร์ดดิสค์ก่อน เป็นการประหยัดเวลาได้มาก เครื่อง DVD Recorder ที่อัดลง DVD-RAM ได้ก็เครื่องจากค่าย Panasonic หลายรุ่น ดังนั้นใครมี LG ก็อาจลองเล่นความสามารถนี้ของ DVD-RAM ดูได้ ไม่ต้องถึงขนาดซื้อ DVD Recorder มาลอง แค่ใช้เก็บข้อมูลแล้วลองแก้ไขบนแผ่นโดยตรง แล้วจะติดใจ

กินผักอย่างไรให้ปลอดสารพิษ

ผักและผลไม้เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอาหาร แต่ควรระมัดระวังสารพิษตกค้างจากการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดแมลง

สารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือยาฆ่าแมลง นั้นมีการใช้กันทั่วไปเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตในการเพาะปลูก ซึ่งเกษตรกรบางคนใช้ในปริมาณมากเกินไป จนอาจทำให้ตกค้างมากับอาหาร

อันตรายของยาฆ่าแมลง ก็คือ เมื่อเข้าสู่ร่างกายปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวจะเกิดพิษแบบเฉียบพลัน เช่น ทำให้กล้ามเนื้อสั่น กระสับกระส่าย ชักกระตุก หายใจขัด หมดสติ และอาจหยุดหายใจได้ แต่พิษที่พบมากที่สุด คือ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือหากได้รับปริมาณไม่มาก ก็จะสะสมในร่างกาย ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้

การรับประทานผักผลไม้ตามฤดูกาลเป็นสิ่งที่ดี เพราะพืชจะมีความแข็งแรงทนทานต่อโรคและแมลง ซึ่งจะทำให้เกษตรกรใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในปริมาณน้อยหรือไม่ใช้เลย

สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้ทำรายการให้เราเลือกซื้อผักตามฤดูกาล ดังนี้
มกราคม ได้แก่ คะน้า ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก กวางตุ้ง ถั่วลันเตา ถั่วแขก แครอท ปวยเล้ง ตั้งโอ๋
กุมภาพันธ์ ได้แก่ ผักขม แตงกวา มะเขือเทศ พริกยักษ์ ผักกาดขาว
มีนาคม ได้แก่ กวางตุ้ง เห็ดฟาง คะน้า ฟักเขียว มันฝรั่ง ถั่วฝักยาว มะเขือยาว
เมษายน ได้แก่ ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ หอมหัวใหญ่ มะเขือพวง มันฝรั่ง แตงกวา เห็ดฟาง
พฤษภาคม ได้แก่ มะเขือเปราะ ถั่วพู มะเขือยาว มะเขือพวง ถั่วฝักยาว
มิถุนายน ได้แก่ คะน้า มะเขือยาว ดอกกุยช่าย ผักบุ้ง แตงกวา มะเขือพวง เห็ดเผาะ
กรกฎาคม ได้แก่ ผักบุ้งไทย กระเฉด ตำลึง
สิงหาคม ได้แก่ กระเฉด หัวปลี ข้าวโพด ถั่วฝักยาว
กันยายน ได้แก่ กวางตุ้ง กระเฉด บวบ น้ำเต้า
ตุลาคม ได้แก่ มะระ ถั่วพู พริกหยวก ผักบุ้ง กระเฉด
พฤศจิกายน ได้แก่ ผักกาดขาว มะเขือยาว มะเขือเปราะ ถั่วพู
ธันวาคม ได้แก่ ถั่วลันเตา ผักกาดขาวปลี ถั่วแขก กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก พริกยักษ์ มะเขือเปราะ มะเขือม่วง

นอกจากนี้ การรับประทานผักพื้นบ้านก็มีความปลอดภัยจากสารเคมี เพราะเป็นผักที่ปลูกง่าย ไม่ค่อยมีแมลงรบกวน จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีกำจัดแมลง ผักพื้นบ้านนั้นมีเป็นร้อยชนิดที่สามารถนำมาบริโภคและส่งเสริมเป็นพืชทางการค้าได้ คุณค่าทางอาหารก็ไม่ได้แตกต่าง หรือบางชนิดอาจจะเหนือกว่าผักที่จำหน่ายในท้องตลาดเสียด้วยซ้ำ เช่น กระเจี๊ยบ กระถิน กระสัง ขี้เหล็ก ดอกแค ดอกขจร ดอกโสน ชะอม ชะพลู บอน บัวสาย สะเดา สะตอ ผักกูด ผักปรัง ผักแว่น ผักหวาน เป็นต้น

การหลีกเลี่ยงสารพิษตกค้างในผักผลไม้ด้วยวิธีอื่นๆ สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกซื้อผักที่มีรูพรุนจากการเจาะของแมลงบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าผักที่มีรูพรุนเป็นผักที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้างเสมอไป ควรให้ความสำคัญกับการล้างผักให้สะอาดมากกว่า
- ควรเลือกซื้อผักใบมากกว่าผักหัว เพราะผักหัวจะสะสมสารพิษไว้มากกว่า
- ควรรับประทานผักให้หลากหลาย ไม่รับประทานชนิดเดียวซ้ำซาก
- ผักและผลไม้ที่ปอกเปลือกได้ ควรล้างน้ำให้สะอาด แล้วปอกเปลือกก่อนรับประทาน

ควรล้างทำความสะอาดผักผลไม้ก่อนนำมารับประทาน โดยเฉพาะผักที่รับประทานสด เพื่อลดปริมาณสารพิษตกค้าง เชื้อโรค และลดการปนเปื้อนของไข่พยาธิ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
1.ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง หรือล้างผ่านน้ำไหลนาน 2 นาที หรือแช่น้ำสะอาดนาน 15 นาที จะลดสารพิษได้ประมาณ 50-60%
2.ล้างโดยแช่ในสารละลายต่อไปนี้ ประมาณ 10-15 นาที
- เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 2 ลิตร ลดสารพิษได้ 30-50%
- ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 1 กะละมัง ลดสารพิษได้ 35-45%
- โซเดียมไบคาร์บอเนตหรือผงฟู 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 4 ลิตร ลดสารพิษได้ 50-70%
- น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย ต่อน้ำ 4 ลิตร ลดสารพิษได้ 60-70%
3. ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง จะลดยาฆ่าแมลงได้อีกประมาณ 10%

เมื่อปฏิบัติครบทั้ง 3 ขั้นตอน จะสามารถลดยาฆ่าแมลงได้เกือบหมด ในกรณีที่นำผักไปต้ม แกง หรือผัด หากลวกด้วยน้ำร้อนก่อน ก็จะสามารถลดยาฆ่าแมลงลงได้อีก

ทำอย่างไรเมื่อไขมันในเลือดสูง (2)

การปฏิบัติตัวเพื่อลดปริมาณไขมันในเลือด ทำได้โดยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเพิ่มระดับเอชดีแอล คอเลสเตอรอล รวมทั้งช่วยลดแอลดีแอล คอเลสเตอรอล และ ไตรกลีเซอไรด์

ข้อแนะนำในการออกกำลังกาย คือ จะต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วันละอย่างน้อย 20-40 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ออกกำลังกายแต่ละครั้งให้นานพอและหนักพอ แต่อย่าหักโหมเกินกำลัง

ควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับปอด หัวใจ หลอดเลือด และการไหลเวียนของเลือด ได้แก่ การเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก ขี่จักรยาน รำมวยจีน รำกระบอง โดยเลือกให้เหมาะกับสภาพร่างกายและความถนัดของแต่ละบุคคล

ส่วนการควบคุมอาหารเพื่อลดไขมันในเลือด สามารถทำได้โดย
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมัน หรือใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันสัตว์ น้ำมันพืชที่สกัดจากเมล็ดพืชจะมีกรดไลโนเลอิก ที่เป็นตัวนำคอเลสเตอรอลไปเผาผลาญได้ดี
- หลีกเลี่ยงน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ รวมทั้งไขมันปรุงแต่ง
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ที่มีมันสัตว์ติดอยู่มาก เช่น หมูสามชั้น หมูกรอบ เบคอน ไส้กรอก กุนเชียง
- หลีกเลี่ยงหนังสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นหนังปลาบางๆ เช่น หนังปลาทู หนังปลาสลิด หนังปลาช่อน
- หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ ไข่แดง อาหารทะเลบางชนิด เช่น ปลาหมึก หอยนางรม
- หลีกเลี่ยงขนมหวาน โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของเนย นม กะทิ ไข่แดง เช่น เค้ก คุกกี้ ขนมอบต่างๆ ไอศกรีม สังขยา หม้อแกง แกงบวดต่างๆ
- ลดอาหารจำพวกแป้ง
- รับประทานเนื้อปลา แต่ควรหลีกเลี่ยงไข่ปลา พุงปลา ซึ่งมีคอเลสเตอรอลสูง
- ดื่มนมพร่องมันเนยแทนนมที่มีไขมันเต็มส่วน รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนมก็ควรเลือกที่มีไขมันต่ำ
- เพิ่มอาหารพวกผักใบต่างๆ และผลไม้ที่มีกากใย เช่น ผักคะน้า ผักกาด ฝรั่ง ส้ม ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไขมันน้อยลง

การเลือกวิธีประกอบอาหารและส่วนผสมที่เหมาะสม ก็ช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดได้ เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการประกอบอาหารต่อไปนี้อาจช่วยคุณได้
- ก่อนประกอบอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ควรตัดส่วนที่เป็นหนังและไขมันออกก่อน
- หลีกเลี่ยงการประกอบอาหารด้วยการชุบแป้งทอด ซึ่งจะทำให้อมน้ำมัน
- เปลี่ยนแปลงการปรุงอาหารเป็น ต้ม ลวก นึ่ง อบ ย่าง ยำ แทนการทอดหรือผัด
- ควรย่างเนื้อสัตว์บนตะแกรง เพื่อให้น้ำมันหยดออกได้ และหลีกเลี่ยงการทาเนยหรือกะทิระหว่างย่าง
- หากจำเป็นต้องทอด ควรเลือกใช้กระทะที่ไม่ติดอาหาร โดยใช้น้ำมันให้น้อยที่สุด
- หากจะทำแกงกะทิ อาจใช้นมพร่องไขมันแทนกะทิ หรือเปลี่ยนเป็นแกงป่า ซึ่งไม่ใส่กะทิแทน
- อาหารประเภทอบ ให้ใช้เนย นม ที่มีไขมันต่ำ หรือลดปริมาณเนย นม ที่ต้องใช้ลงจากปกติ ใช้ไข่แดงเป็นส่วนผสมให้น้อยที่สุด
- ซุปข้น ที่ต้องใช้ไขมันเป็นส่วนประกอบ ให้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทไขมันต่ำหรือใช้แป้งข้าวโพดแทน เมื่อต้องการให้ซุปข้น
- ซุปใส นำไปใส่ในตู้เย็น ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วตักส่วนที่เป็นไขมันออก
- รับประทานสลัด โดยตักน้ำสลัดราดหรือจิ้มทีละน้อย
- ลดปริมาณการใช้น้ำตาล เกลือ กะทิ เนย แล้วเพิ่มรสชาติด้วยเครื่องเทศแทน
- เพิ่มรสชาติอาหารด้วยสมุนไพร เช่น รากผักชี กระเทียม พริกไทย ใบมะกรูด ขิง ข่า กระชาย

นอกจากนี้ ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ ซึ่งจะสะสมเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้ รวมทั้งงดบุหรี่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มเอชดีแอล คอเลสเตอรอล ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ควรพยายามลดน้ำหนักตัว

สำหรับการใช้ยาลดระดับไขมันในเลือด เพื่อควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ซึ่งจะใช้ในกรณีที่การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเท่านั้น

ทำอย่างไรเมื่อไขมันในเลือดสูง (1)

ภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดตีบตัน การเริ่มป้องกันหรือรักษาตั้งแต่อายุประมาณ 35-40 ปี จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและโรคอัมพาตได้อย่างมาก

มีหลายปัจจัยที่ทำให้ไขมันในเลือดสูง สาเหตุหลักคือการรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลและกรดไขมันอิ่มตัวสูง น้ำตาล แอลกอฮอล์ บุหรี่ ความอ้วน และขาดการออกกำลังกาย นอกจากนี้โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และกรรมพันธุ์ ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไขมันในเลือดสูงได้

ไขมันในเลือดมีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่
1.คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์สมอง แต่หากมีไขมันคอเลสเตอรอลมากเกินไป ไขมันเหล่านี้จะไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย เช่น หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดที่ไต ไม่เว้นแม้แต่อวัยวะเพศ เมื่อเกิดการตีบตันของหลอดเลือด ก็จะทำให้อวัยวะนั้นๆ ขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดอาการต่างๆ ตามมา เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ รวมไปถึงการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
ไขมันคอเลสเตอรอล แบ่งแยกย่อยๆ ได้อีก 2 ชนิด คือ
1.1.แอลดีแอล คอเลสเตอรอล (Low Density Lipoprotein Cholesterol) หรือคอเลสเตอรอลชนิดร้าย มีบทบาทสำคัญในการสะสมที่ผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็งและหลอดเลือดตีบตัน ไขมันชนิดนี้ร่างกายสร้างขึ้นเองส่วนหนึ่ง และมาจากอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์
1.2.เอชดีแอล คอเลสเตอรอล (High Density Lipoprotein Cholesterol) หรือคอเลสเตอรอลชนิดดี ที่ช่วยขนถ่ายคอเลสเตอรอลที่สะสมอยู่ออกมาทำลาย จึงช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันชนิดนี้ร่างกายสร้างขึ้นเอง หากยิ่งมีมากจะยิ่งเป็นผลดี โดยจะมีมากขึ้นในผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

2.ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่มาจากอาหารร่วมกับร่างกายสร้างขึ้น ไตรกลีเซอไรด์เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย โดยอาหารพวกแป้งและน้ำตาล รวมทั้งโปรตีนที่เหลือใช้ จะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ และถูกเก็บสะสมไว้ที่ชั้นไขมัน เพื่อเป็นพลังงานสำรอง นอกจากนี้ไตรกลีเซอไรด์ยังช่วยดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค อาหารที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ได้แก่ ไขมันจากสัตว์ มีข้อมูลบ่งชี้ว่าการมีไขมันชนิดนี้สูง เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมีระดับเอชดีแอล คอเลสเตอรอลต่ำ

อันตรายที่เกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูง ก็คือ ไขมันส่วนเกินจะไปตกตะกอนตามผนังของเส้นเลือด ทำให้ผนังเส้นเลือดหนาและแข็ง ทำให้หลอดเลือดตีบตันได้ง่าย ถ้าเป็นเส้นเลือดที่หัวใจ จะทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด ถ้าเป็นเส้นเลือดที่เลี้ยงสมอง จะทำให้เกิดอัมพาต หรือถ้าเลือดไปเลี้ยงบริเวณขาไม่พอ ก็จะทำให้เวลาเดินแล้วปวดน่อง ส่วนภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง จะทำให้ตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น ความจริงแล้วไขมันในเลือดสูงไม่ได้ทำให้เกิดอาการ อาการต่างๆ เป็นผลมาจากการตีบตันของหลอดเลือดแดง ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี การสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดแดงเริ่มพบได้ตั้งแต่วัยรุ่น

ระดับไขมันในเลือดสูงเท่าไรจึงจะเป็นอันตราย
ระดับคอเลสเตอรอล น้อยกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ระดับไตรกลีเซอไรด์ น้อยกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ระดับเอช ดี แอล มากกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ระดับแอล ดี แอล น้อยกว่าหรือเท่ากับ 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

แต่ในทางการแพทย์ วิธีสำรวจว่าระดับไขมันในเลือดสูงหรือไม่ จะเทียบกับค่าระดับแอลดีแอล คอเลสเตอรอลที่พึงปรารถนา ซึ่งค่าดังกล่าวขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจหรือเป็นโรคเบาหวานหรือไม่

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องคำนึงในการจัดระดับแอลดีแอล คอเลสเตอรอลที่พึงปรารถนา มีอยู่ 6 ประการ คือ
1.อายุ (ชายเกิน 45 ปี หญิงเกิน 55 ปี)
2.มีคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก่อนวัยอันควร (ชายก่อนอายุ 55 ปี หญิงก่อนอายุ 65 ปี)
3.ความดันโลหิตสูง
4.โรคเบาหวาน
5.สูบบุหรี่
6.ค่าเอชดีแอล คอเลสเตอรอล น้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

แอลดีแอล คอเลสเตอรอล (LDL-Cholesterol)
เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือเป็นโรคเบาหวานควรน้อยกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวาน แต่มีปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไปควรน้อยกว่า 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานและมีปัจจัยเสี่ยงน้อยกว่า 2 ข้อควรน้อยกว่า 160 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

นอนไม่หลับ...แก้ไขได้

อาการนอนไม่หลับ พบได้บ่อยๆ หากเข้านอนแล้ว 30-60 นาที ยังนอนไม่หลับ แสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม อาการนอนไม่หลับสามารถแก้ไขได้ หากปฏิบัติตามสุขอนามัยการนอน และฝึกให้มีพฤติกรรมการนอนที่ดี ดังนี้

- เข้านอนและตื่นนอนตรงเวลาทุกวัน จะทำให้เกิดความเคยชิน อยากนอนและตื่นเมื่อถึงเวลา ควรลุกจากเตียงในเวลาเดิมทุกเช้า ไม่ว่าจะเข้านอนเวลาใดก็ตาม
- ลุกจากเตียงนอนทันทีเมื่อตื่น เปิดหน้าต่างรับแสงสว่างยามเช้า ออกกายบริหารเบาๆ สัก 10-15 นาที ก่อนทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป จะช่วยให้สมองและร่างกายตื่นตัว สามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้ดีขึ้น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ช่วงเช้าหรือเย็น จะช่วยลดความตึงเครียดทางร่างกายและอารมณ์ แต่ไม่ควรออกกำลังกายในช่วง 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะจะรบกวนการนอนหลับได้
- หลีกเลี่ยงการงีบหลับระหว่างวัน โดยเฉพาะหลัง 15.00 น. เพราะจะรบกวนการนอนที่ต่อเนื่องในตอนกลางคืนได้ หากง่วงจนทนไม่ไหว อาจงีบช่วงกลางวันสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาที
- ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ช่วงเย็นถึงก่อนนอน ไม่ควรดื่มกาแฟเกินวันละ 2 แก้ว และหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟช่วงบ่ายๆ เย็นๆ รวมทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง และอย่าสูบบุหรี่ก่อนนอนหรือกลางดึก - อาหารมื้อเย็นควรเป็นอาหารมื้อเบาๆ หลีกเลี่ยงอาหารประเภทเนื้อหรือโปรตีนมากๆ และอย่าปล่อยให้ท้องว่างจนหิวก่อนเข้านอน หากรู้สึกหิว ดื่มแค่น้ำอุ่น นมอุ่นๆ หรือน้ำผลไม้ก็เพียงพอแล้ว ตามปกติควรงดน้ำก่อนนอนประมาณ 1 ชั่วโมง จะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึก
- แพทย์บางท่านเชื่อว่าการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ร่างกายสบายขึ้น กล้ามเนื้อคลายตัว และทำให้หลับได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการฝึกการผ่อนคลาย เช่น สวดมนต์ ทำสมาธิ ก่อนนอนเป็นประจำ
- ห้องนอนที่สะอาด เงียบ มืด และอากาศถ่ายเทสะดวก จะช่วยให้นอนหลับได้ดี หากใช้เครื่องปรับอากาศ ควรปรับอุณหภูมิให้พอดี ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป
- ไม่ใช้เตียงนอนเป็นที่สำหรับอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือทำงานอื่นๆ การทำกิจกรรมที่ไม่ใช่การนอนหลับบนเตียง จะเร้าความรู้สึกตื่นในขณะที่เราอยากหลับได้
- สำหรับผู้ที่มีครอบครัวแล้ว การมีเพศสัมพันธ์มีส่วนช่วยให้ร่างกายสบายขึ้น กล้ามเนื้อคลายตัว และทำให้หลับง่ายขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับการมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งจะทำให้นอนไม่หลับ แพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วถึงจุดสุดยอด ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (endorphin) ทำให้เกิดความสุขสบายใจและหลับได้ง่ายขึ้น
- การนอนหลับจะเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายและอารมณ์อยู่ในสภาพผ่อนคลาย ดังนั้นหากร่างกายและอารมณ์อยู่ในสภาพตึงเครียด จะไม่สามารถหลับลงได้ง่ายๆ จึงควรจัดช่วงเวลาสำหรับผ่อนคลายอารมณ์เป็นกิจวัตรประจำวัน ช่วง 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน หลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมที่ตึงเครียด
- หากเป็นคนตึงเครียดง่าย หรือมีเรื่องที่ต้องขบคิดมากตลอดวัน แนะนำให้ใช้เวลาช่วงสั้นๆ หลังอาหารมื้อเย็น จดลำดับเรื่องต่างๆ ที่ต้องคิดหรือต้องทำ และวางแผนจัดการแต่ละเรื่องอย่างคร่าวๆ ทุกวันจนเคยชิน
- หากเข้านอน 15-30 นาทีแล้วยังไม่หลับ ให้ลุกจากเตียง หาอะไรเบาๆ ทำ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เปิดเฉพาะแสงไฟอ่อนๆ หลีกเลี่ยงการดูทีวีหรือฟังข่าว เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ตื่น และกลับมาที่เตียงเมื่อง่วงเท่านั้น อย่านอนแช่อยู่บนเตียงโดยไม่หลับจนถึงเช้า เพราะจะกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวลเมื่อเข้านอนในคืนถัดไป

การปฏิบัติตามสุขอนามัยการนอนที่ถูกต้อง และการขจัดพฤติกรรมที่รบกวนการนอน ฝึกให้มีพฤติกรรมที่ส่งเสริมการนอนหลับที่ดี ควรปฏิบัติต่อเนื่องอย่างน้อย 6-10 สัปดาห์ จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ การปฏิบัติตามสุขอนามัยการนอนและปรับพฤติกรรมการนอนตั้งแต่แรก จะป้องกันปัญหานอนไม่หลับเรื้อรังได้

ส่วนการใช้ยานอนหลับ ไม่ได้รักษาอาการนอนไม่หลับ แต่อาจช่วยให้อาการทุเลาลง การใช้ยานอนหลับต้องใช้ร่วมกับการรักษาสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ และควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ พร้อมไปกับการปฏิบัติตามสุขอนามัยการนอนที่ดีด้วย

การซื้อยานอนหลับมารับประทานเองทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น การใช้ยาที่ออกฤทธิ์เป็นเวลานานหรือในผู้สูงอายุที่ร่างกายมีความสามารถในการกำจัดยาลดลง อาจทำให้ยังมียาสะสมอยู่ในร่างกายเมื่อตื่นนอนแล้ว บางคนจึงยังรู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลีย หรือมึนงง ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจและการเคลื่อนไหว เป็นอันตรายมากหากต้องขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร

นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด ผู้ที่นอนกรนมาก ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่กดประสาทส่วนกลาง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับ เนื่องจากยานอนหลับบางชนิดออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางเช่นกัน ซึ่งจะไปกดศูนย์ควบคุมการหายใจ จึงอาจทำให้หยุดหายใจได้

ในกรณีที่ใช้ยานอนหลับต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ก็อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น การดื้อยาและการติดยา

การดื้อยา คือการใช้ยานอนหลับขนาดเดิมติดต่อกันระยะหนึ่งแล้วทำให้นอนหลับได้น้อยลง จนต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจได้รับพิษจากยาได้

การติดยา คือเมื่อใช้ยาติดต่อกันระยะหนึ่งแล้วหยุด อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับขึ้นอีก จนต้องกลับมาใช้ยาต่อเป็นประจำทุกวันเพื่อให้นอนหลับได้

ดังนั้น ควรใช้ยานอนหลับขนาดต่ำที่สุดที่มีประสิทธิภาพ เลือกยาที่ออกฤทธิ์สั้น และใช้เป็นครั้งคราว ไม่เกิน 2-4 สัปดาห์ ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานๆ สำหรับผู้ที่ใช้ยาต่อเนื่องมานานกว่า 3-6 เดือน ควรค่อยๆ หยุดยา หากหยุดยาทันที จะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับขึ้นอีกได้

ารรักษาอาการนอนไม่หลับนั้นต้องใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะส่วนใหญ่มักจะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นเป็นอาทิตย์ต่ออาทิตย์

ทำไม..นอนไม่หลับ/เอมอร คชเสนี

ไม่ว่าจะเป็นนอนหลับยาก หลับๆ ตื่นๆ หรือตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นอาการนอนไม่หลับ คนที่นอนไม่พอ ประสิทธิภาพในการทำงานจะลดลงและขาดสมาธิ เนื่องจากสมองล้า ร่างกายอ่อนเพลีย คนที่นอนไม่หลับเรื้อรังอาจมีความวิตกกังวล ตึงเครียดง่าย เมื่อถึงเวลานอนอาจถึงขั้นไม่อยากขึ้นเตียงเลยทีเดียว เพราะคอยแต่กังวลว่าคืนนี้จะนอนหลับไหม

การศึกษาวิจัยในต่างประเทศ พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมง หรือนอนมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อคืนเป็นกิจวัตร มีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับเป็นปกติ และคนที่นอนหลับไม่เพียงพอ ในอนาคตมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคร้ายแรงมากขึ้น เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง

เด็กในวัยเจริญเติบโตที่นอนดึกเป็นประจำ จะตัวเล็ก โตช้ากว่าเด็กที่นอนหลับสนิทเพียงพอ เพราะฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตจะหลั่งได้เต็มที่ขณะหลับลึก ร่างกายใช้ช่วงเวลานอนหลับในการบำรุงและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การนอนหลับให้เพียงพอจึงมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิต

สำหรับผู้ใหญ่ แพทย์แนะนำว่า โดยเฉลี่ยควรนอนให้ได้ประมาณ 7-8 ชั่วโมง แต่ให้ข้อสังเกตว่าหากตื่นนอนแล้วรู้สึกสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย ไม่ง่วงเหงาหาวนอน สมองแจ่มใส ทำงานได้ตามปกติ สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้ดี ก็ถือว่าได้นอนเพียงพอแล้ว แม้จะไม่ถึง 7-8 ชั่วโมงก็ตาม

ลักษณะของการนอนไม่หลับ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
1. นอนไม่หลับชั่วคราว ส่วนใหญ่เกิดจากความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
เช่น ทะเลาะกับแฟน มีปัญหากับเพื่อนที่ทำงาน ใกล้วันสอบหรือวันที่มีธุระสำคัญ การเจ็บป่วยฉับพลัน บางคนจะไวต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ตื่นตัวอยู่จนนอนไม่หลับ เช่น อากาศเปลี่ยน หรือการเดินทางเปลี่ยนสถานที่นอน ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน
2. นอนไม่หลับเป็นระยะๆ มักเป็นกลุ่มที่มีอาการต่อเนื่องจากกลุ่มที่ 1 เนื่องจากปัญหายังไม่คลี่คลาย
เช่น การตกงาน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่างๆ คลี่คลายลง การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้ แต่ทางที่ดีผู้ที่มีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ว่ามีแนวทางแก้ไขอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื้อรัง
3. นอนไม่หลับเรื้อรัง มีอาการนอนไม่หลับเป็นประจำต่อเนื่องเกือบทุกคืน มีสาเหตุได้หลายอย่าง ได้แก่ อาการเจ็บป่วยทางกายต่างๆ เช่น โรคกระดูกเสื่อมทำให้ปวดตามตัว โรคหัวใจ โรคปอดหรือการไอเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการนอน เช่น การนอนกรน การหายใจผิดปกติขณะหลับ กล้ามเนื้อขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างนอน หรือเป็นโรคทางจิตเวชต่างๆ เช่น โรคเครียด โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคจิต

บางคนอาจมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรังโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน กลุ่มนี้มักเกิดจากความเคยชินในการปฏิบัติตัว หรือมีพฤติกรรมบางอย่างที่รบกวนการนอนหลับ การได้รับยาหรือสารกระตุ้น เช่น เหล้า บุหรี่ ชา กาแฟ ยากระตุ้นประสาท หรือยาลดความอ้วน ก็เป็นสาเหตุให้นอนไม่หลับได้เช่นกัน

เหล้า เป็นสิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยใช้เพื่อช่วยให้หลับ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อย
เช่นจิบก่อนอาหารหรือก่อนเข้านอน จะช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้หลับได้ แต่การดื่มในปริมาณมาก จะไปรบกวนการนอนหลับที่ต่อเนื่อง เนื่องจากแอลกอฮอล์จะกระตุ้นระบบประสาท ทำให้คุณภาพการนอนไม่ดี ตื่นกลางดึก ฝันตึงเครียด เหงื่อออกมาก ปวดศีรษะ กดการหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
โดยเฉพาะผู้ที่นอนกรนอยู่แล้ว หรือกำลังรับประทานยาบางอย่างซึ่งมีฤทธิ์กดการหายใจร่วมด้วย ในผู้ที่ติดเหล้า เมื่อหยุดดื่มจะเกิดอาการประสาทหลอน นอนไม่หลับติดต่อกันหลายๆ วันได้

ผู้ที่นอนกรน หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจ คนวัยกลางคนขึ้นไป และผู้หญิงหมดประจำเดือน
ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงก่อนเข้านอน

ส่วนกาเฟอีนในชา กาแฟ จะกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัว ทำให้หลับได้ยากขึ้นและนอนได้น้อยลง โดยเฉลี่ยกาแฟ 1 แก้ว มีกาเฟอีนประมาณ 100 มิลลิกรัม ชา และ โคลา มีกาเฟอีนประมาณ 50-75 มิลลิกรัม ผลของกาเฟอีนอยู่ได้นาน 8-14 ชั่วโมงแตกต่างกันในแต่ละคน คนที่มีปัญหานอนหลับยาก จึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนช่วงเย็นถึงดึก และผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับรุนแรงควรงดคาเฟอีนเด็ดขาด 6-10 สัปดาห์ จะช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น

สำหรับบุหรี่ มีสารนิโคตินซึ่งมีผลคล้ายคาเฟอีน ในช่วงที่มีนิโคตินในเลือดต่ำ (เมื่อสูบเพียงเล็กน้อย) จะมีผลกล่อมประสาท ช่วยให้ผ่อนคลายและง่วงหลับได้ แต่ในช่วงที่ความเข้มข้นของนิโคตินในเลือดสูง
(สูบติดต่อกันหลายมวน) จะกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัว ไม่ง่วง การสูบบุหรี่ก่อนเข้านอนหรือเมื่อตื่นกลางดึก จึงทำให้หลับได้ยากขึ้น

คนที่ดื่มทั้งเหล้าและกาแฟ แถมสูบบุหรี่ คงไม่ต้องบอกว่าจะส่งผลต่อการนอนหลับอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะคนที่อายุ 45 ปีขึ้นไป จะมีผลรบกวนการนอนมากกว่าคนอายุน้อย

การรักษาอาการนอนไม่หลับต้องแก้ที่ต้นเหตุ ร่วมกับการฝึกให้มีสุขอนามัยการนอนร่วมกับการมีพฤติกรรมการนอนที่ดี ติดตามได้ในตอนต่อไปค่ะ

อาหารที่คุณกิน ปลอดภัยแล้วหรือยัง / เอมอร คชเสนี

อาหารที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ มีการนำสารเคมีที่มีพิษภัยมาใช้กันมาก ได้แก่ สารเร่งเนื้อแดง (ซาลบูทามอล) เป็นตัวยาสำคัญในการผลิตยาบรรเทาโรคหอบหืด ช่วยขยายหลอดลม และช่วยให้กล้ามเนื้อหลอดลมคลายตัว มีการนำสารชนิดนี้ไปผสมในอาหารสำหรับเลี้ยงหมู เพื่อกระตุ้นให้หมูอยากอาหาร เร่งการเจริญเติบโต ช่วยสลายไขมัน และทำให้กล้ามเนื้อขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เนื้อหมูมีปริมาณเนื้อแดงเพิ่มมากขึ้น

การบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างอยู่ อาจมีอาการมือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กระวนกระวาย วิงเวียนศีรษะ บางรายมีอาการเป็นลม คลื่นไส้อาเจียน มีอาการทางจิตประสาท เป็นอันตรายมากสำหรับหญิงมีครรภ์และผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคไฮเปอร์ธัยรอยด์ ควรเลือกซื้อเนื้อหมูที่มีสีธรรมชาติ มีมันหนาบริเวณสันหลัง และมีไขมันแทรกอยู่ในกล้ามเนื้อเห็นได้ชัดเจนเมื่อตัดขวาง

สารบอแรกซ์หรือน้ำประสานทอง มีลักษณะเป็นผงหรือผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสขม เป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น อุตสาหกรรมทำแก้ว ใช้เป็นส่วนประกอบของยาฆ่าเชื้อ ใช้เป็นสารฆ่าแมลง ใช้ทำอุปกรณ์ไฟฟ้า ใช้ในการเชื่อมทอง สารบอแรกซ์ทำให้อาหารมีลักษณะหยุ่น กรอบ และมีคุณสมบัติเป็นวัตถุกันเสียด้วย จึงพบว่ามีการนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้มีความหยุ่น กรอบ คงตัวได้นาน ไม่บูดเสียง่าย

อาหารที่มักตรวจพบบอแรกซ์ ได้แก่ หมูสด หมูบด ปลาบด ลูกชิ้น ทอดมัน ไส้กรอก หมูยอ เกี๊ยวทอด กล้วยทอด ผักและผลไม้ดอง แม้แต่ทับทิมกรอบ ลอดช่อง และวุ้น สังเกตได้ว่าอาหารจะมีลักษณะเด้ง กรุบกรอบ ผิดปกติ

บอแรกซ์เป็นสารที่มีพิษต่อร่างกาย ความรุนแรงของการเกิดพิษขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับและการสะสมในร่างกาย หากได้รับในปริมาณไม่มาก แต่ได้รับบ่อยเป็นเวลานานจะเกิดอาการเรื้อรัง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผิวหนังแห้งอักเสบ หนังตาบวม เยื่อตาอักเสบ ตับและไตอักเสบ ระบบสืบพันธุ์เสื่อมสมรรถภาพ เป็นต้น ถ้าได้รับบอแรกซ์ในปริมาณสูงจะเกิดอาการเป็นพิษแบบเฉียบพลัน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ปวดศีรษะ บางครั้งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

เราสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายจากบอแรกซ์ได้โดยไม่ซื้อเนื้อสัตว์บดสำเร็จรูป ควรซื้อเป็นชิ้นและล้างให้สะอาด แล้วจึงนำมาบดหรือสับเอง รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารที่มีลักษณะหยุ่นกรอบอยู่ได้นานผิดปกติ

สารฟอร์มาลิน หรือน้ำยาดองศพ เป็นสารละลายที่มีลักษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีสี แต่มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์พลาสติก สิ่งทอ ใช้ในการรักษาผ้าไม่ให้ยับย่น หรือใช้ในทางการแพทย์เป็นยาฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และเป็นน้ำยาดองศพ พบว่ามีการนำฟอร์มาลินมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารคงความสด ไม่เน่าเสียง่าย หรือเก็บรักษาได้นาน

อาหารที่มักตรวจพบฟอร์มาลิน ได้แก่ อาหารทะเล ผักสด เนื้อสัตว์สดและเครื่องในสัตว์ สังเกตได้ว่าอาหารจะไม่เน่าเสียเร็ว ปลาหรือกุ้งมีเนื้อแข็ง แต่บางส่วนเปื่อยยุ่ย ผักมีลักษณะแข็ง กรอบ ผิดปกติ

ฟอร์มาลิน เป็นสารที่มีพิษต่อร่างกาย หากบริโภคอาหารที่มีสารฟอร์มาลินตกค้างโดยตรงจะมีพิษเฉียบพลัน คือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียน อุจจาระร่วง หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ หากได้รับในปริมาณน้อยลงมาจะทำให้การทำงานของตับ ไต หัวใจ และสมองเสื่อมลง หากสัมผัสอยู่เป็นประจำจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ระคายเคืองเยื่อบุทางเดินหายใจ และทำให้ผิวหนังระคายเคืองและอักเสบได้

เมื่อต้องการซื้ออาหารทะเล ผักสด และเนื้อสัตว์ ให้ตรวจสอบโดยการดมกลิ่น จะต้องไม่มีกลิ่นฉุนแสบจมูก และก่อนนำอาหารสดมาประกอบอาหารควรล้างให้สะอาดเสียก่อน

สารฟอกขาว (โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) หรือผงซักมุ้ง เป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมเส้นใยไหม แห และอวน พบว่ามีผู้ค้าบางรายนำมาใช้ฟอกขาวในอาหาร เพื่อให้มีความขาวสดใสน่ารับประทาน และดูใหม่อยู่เสมอ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

สารฟอกขาวพบได้ในอาหารที่มีสีขาวผิดปกติ หรือไม่ใช่สีตามธรรมชาติ เช่น ถั่วงอก ขิงซอย ยอดมะพร้าว กระท้อน หน่อไม้ดอง ผักและผลไม้ดอง ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ผลไม้อบแห้ง และน้ำตาลปี๊บ เมื่อสัมผัสโดยตรงจะทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดง ถ้าบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสอาหาร เช่น ปาก ลำคอ กระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดท้อง ปวดศีรษะ อาเจียน แน่นหน้าอก หายใจขัด ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว หากรับประทานมากเกิน 30 กรัม จะทำให้ถ่ายเป็นเลือด ชัก ช็อก หายใจไม่ออก หมดสติ ไตวาย และเสียชีวิตได้

ควรเลือกซื้ออาหารที่มีความสะอาด สีใกล้เคียงกับธรรมชาติ ไม่ขาวจนผิดปกติ เช่น ทุเรียนกวนที่มีสีหมองคล้ำตามธรรมชาติ แทนที่จะซื้อทุเรียนกวนที่มีสีเหลืองใสจากการใส่สารฟอกขาว หลีกเลี่ยงการซื้อถั่วงอกหรือขิงซอยที่ผ่านการใช้สารฟอกขาวจนทำให้มีสีขาวอยู่เสมอ

สารกันเชื้อรา หรือกรดซาลิซิลิค เป็นกรดที่มีอันตรายต่อร่างกายมาก ผู้ผลิตอาหารบางรายนำมาใส่เป็นสารกันเสียในอาหารหมักดอง เพื่อป้องกันเชื้อราขึ้น และให้เนื้อของผักผลไม้ที่ดองคงสภาพเดิมน่ารับประทาน ไม่เละง่าย อาหารที่มักตรวจพบสารกันรา ได้แก่ ผักและผลไม้ดอง สังเกตได้จากน้ำผักผลไม้ดอง จะดูใสเหมือนใหม่อยู่เสมอ เมื่อบริโภคเข้าไปจะทำลายเซลล์ในร่างกายให้ตายหากบริโภคเข้าไปมากๆ จะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ความดันโลหิตต่ำจนช็อกได้ หรือในบางรายที่แม้บริโภคเข้าไปไม่มาก แต่ถ้าแพ้สารกันรา ก็จะทำให้มีผื่นคันขึ้นตามตัว อาเจียน หูอื้อ มีไข้

หากเรารู้จักเลือกซื้อและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิษเหล่านี้ ก็จะทำให้เรารับประทานอาหารได้อย่างอิ่มอร่อย และปลอดภัยมากขึ้น

อย่าไว้ใจ ก่อนหัวใจจะล้มเหลว

ก่อนจะถึงหัวใจล้มเหลว ก่อนจะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ก่อนจะเป็นโรคปลายทางเหล่านี้ รู้หรือไม่ว่ามีโรคหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวค่อยๆ ก่อตัวขึ้น และไม่สามารถจะสังเกตถึงอาการผิดปกติได้ด้วยตาเปล่า หรือจากความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

เรากำลังจะพูดถึงโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ซึ่งนับเป็นโรคที่คนไทยยังไม่รู้จักดีพอ เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่สามารถทราบได้จากสาเหตุที่แน่ชัดว่าอะไรคือตัวการสำคัญของโรค แต่ผู้ป่วยจะรู้ว่าตัวเองเป็นก็ต่อเมื่อเกิดอาการแทรกซ้อนขึ้น ซึ่งภาวะนี้เกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย และนานวันเข้าก็จะเกิดอาการร้ายแรงอื่นๆ ที่ต่างก็คุ้นเคยกันดีตามมาดังที่กล่าวมาแล้ว

ภัยเงียบที่มองไม่เห็น
นพ.สุทธิชัย โชคกิจชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) กล่าวถึงสถานการณ์โรคหลอดเลือดแดงแข็งในปัจจุบัน ว่า จากข้อมูลทางสาธารณสุข พบว่า โรคหลอดเลือดแดงแข็งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคร้าย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของโลก ข้อมูลในปี 2548 พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากหลอดเลือดในหัวใจอุดตันปีละ 60,000 คน และผู้ที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตปีละ 100,000 คน นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มไขมันในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติ
“โรคหลอดเลือดแดงแข็งตัวมีผลอันตรายถึงชีวิต แต่คนทั่วไปกลับยังไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพ และการป้องกันดูแลแก้ไขก็น้อยมาก ส่วนใหญ่จะรอให้เกิดอาการเจ็บป่วยก่อนจึงไปหาหมอ ซึ่งนั่นก็อันตรายเกินจะเยียวยาได้แล้ว” นพ.สุทธิชัย สรุป

จุดเสี่ยงสู่คนทำงานเร็วขึ้น
พล.อ.นพ.ประวิชช์ ตันประเสริฐ กรรมการบริหารมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้รายละเอียดของโรคหลอดเลือดแดงแข็งว่าคนในปัจจุบันมีแนวโน้มจะเป็นโรคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มผู้ป่วยอาจจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานมากขึ้น เพราะรูปแบบการดำเนินชีวิต และลักษณะนิสัยการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป
“ผู้ป่วยที่อายุน้อยที่สุดที่หมอพบอายุ 16 ปี ซึ่งเคยมีประวัติว่าครอบครัวป่วยเป็นโรคนี้ แต่จากไลฟสไตล์คนวัยทำงานที่เอาแต่นั่งโต๊ะ รักความสะดวกสบาย ไม่ออกกำลังกาย กินอาหารไขมันสูง รวมถึงคนที่สูบบุหรี่ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคได้เร็วมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 45-55 ปี มีประวัติโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันและน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน”แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ระบุ

หลอดเลือดแดงแข็งเกิดจากการสะสมของไขมันและสารอื่นๆ ในผนังหลอดเลือด ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดหนาขึ้นจนเป็นตะกรันแข็ง เมื่อตะกรันมีขนาดใหญ่ขึ้นความยืดหยุ่นของหลอดเลือดก็น้อยลง ทำให้การลำเลียงเลือดลำบากมากขึ้น จนเมื่อตะกรันแตกหรือฉีกขาดไขมันก็จะไปอุดตันผนังหลอดเลือดแดงที่เป็นเสมือนแม่น้ำสายใหญ่ที่จะไปหล่อเลี้ยงหัวใจและสมอง

“จุดชีพจรสำคัญของเราจะอยู่ที่ หัวใจ สมอง และขา ดังนั้น หากหลอดเลือดแดงแข็งเกิดกับหัวใจ จะทำให้ผู้ป่วยเจ็บหน้าอกด้านซ้าย อาจร้ายแรงจนทำให้หัวใจตายเฉียบพลัน หากเกิดกับสมองจะทำให้แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด ถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต และถ้าเกิดกับหลอดเลือดแดงที่ขาจะทำให้ปวดน่องเวลาเดินหรือขยับร่างกาย”

อย่างที่บอกว่าอาการเริ่มต้นของโรคนี้ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า คนน้ำหนักตัวมากอาจจะจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงแต่ใช่ว่าคนอ้วนทุกคนจะเป็นโรคนี้ และไม่ใช่ว่าคนผอมจะเป็นโรคนี้ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงมีอาการเริ่มแรกของหลอดเลือดแดงแข็งมาให้เฝ้าระวังและสังเกตกัน คือ ขั้นต้นจะมีอาการเจ็บหน้าอก เจ็บแขนซ้ายหรือกราม อึดอัดหายใจไม่ออก อ่อนเพลียและเหงื่อออกง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อหัวใจต้องทำงานหนัก เช่น การออกกำลัง

แค่ขยับก็เขยิบจุดเสี่ยงให้ไกล
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการแล้วแพทย์ทำการตรวจและวินิจฉัยว่ามีไขมันในเลือดสูงหรือมีตะกรันการรักษาจะใช้ยาละลายไขมันแอลดีแอล ซึ่งเป็นตัวการร้ายที่ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว ซึ่งหากรักษาได้ทันก็จะหาย กระนั้นก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากไม่ยอมปรับพฤติกรรมเดิมๆ

ดังนั้น สิ่งที่สามารถทำได้อย่างง่ายสำหรับคนที่อาจจะจัดในกลุ่มเสี่ยงหรือคนที่ยังไม่สามารถไว้ใจสุขภาพในภาวะปัจจุบันได้ ก็คือ การไปตรวจสุขภาพประจำปี โดยการตรวจให้ละเอียดเพื่อความแน่ใจ โดยเฉพาะการวัดปริมาณไขมันในเส้นเลือด และความดันโลหิต รวมถึงการให้ข้อมูลเรื่องประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวให้คุณหมอทราบด้วย

อย่างไรก็ตาม คนยุคใหม่มักจะมีข้ออ้างในการใส่ใจสุขภาพอยู่เสมอ ไม่ว่าจะไม่มีเวลาบ้างล่ะ งานยุ๊ง ยุ่ง ไม่มีเวลาแทบขยับตัวออกไปไหน กลับบ้านก็เผลอหลับไป และอีกสาพัดเหตุผล แต่ก็ใช่ว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคในการขจัดปัจจัยเสี่ยงออกไป

นพ.สุทธิชัย ให้คำแนะนำว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่เอาแต่นั่งบนเก้าอี้หน้าจอสี่เหลี่ยม กินอาหารฟาสต์ฟู้ดไขมันสูงและไม่ยอมออกกำลังรังแต่จะให้โรคภัยถามหา ดังนั้นวิธีการง่ายๆ เพื่อที่จะปรับพฤติกรรมก็แค่ขยับ ซึ่งเท่ากับออกกำลัง โดยหาที่ซ่อนรีโมตทีวี โฆษณา 3 นาทีอาจจะลุก นั่ง เดินวนรอบห้อง เป็นการออกกำลังสะสมไว้ จากที่ขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อนก็หันมาใช้บันไดธรรมดาให้ขาได้เคลื่อนไหว

“เวลาไปปากซอยลองเดินแทนการนั่งมอเตอร์ไซต์ แล้วเราก็จะไม่มีข้ออ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังอีก เพราะจริงๆ การออกกำลังสามารถทำได้ทุกที่ แม้แต่เวลาทำงาน ครบ 1 ชั่วโมงก็ออกมาเดินให้สายตาพักจากคอมพิวเตอร์ ให้แขนขาได้ขยับบ้าง สมองก็จะโปร่งสบายด้วย” ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจกล่าวแนะนำ

เราอาจจะไม่ต้องนับก้าวในแต่ละวันว่าครบจำนวน 10,000 ก้าวหรือไม่ ไม่ต้องคำนวณให้ถ้วนถี่ว่าแท้จริงแล้วน้ำหนักของเราเหมาะที่จะกินอาหารกี่กิโลแคเลอรี่ เพียงแต่เอาใจใส่สุขภาพให้ดีกว่าที่ควรจะเป็น อย่ารักแต่สบาย จนไม่สบาย อย่าใช้ร่างกายจนไม่บันยะบันยัง สุดท้ายอะไหล่พังและหาซ่อมไม่ได้...จะโทษใคร? ต้องโทษตัวเอง