10 วิธีปฏิบัติตัวเองสู่คุณคนใหม่ (Lisa)
อย่าปล่อยให้เป็นเพียงแต่ปีที่ "ใหม่" แต่เราควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคน "ใหม่" ทั้งกายและใจด้วย
ปีใหม่ทั้งที เราจึงขอประมวล 10 กรรมวิธีที่ควรทำ เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่คนใหม่ภายใต้ฟ้าใหม่ และหนึ่งในการปฏิวัติตัวเองใหม่คือ การหาเวลาท่องเที่ยวเหมือนอย่างพระเอก แมทธิว แม็กคอนาเฮย์ ที่ชื่นชอบไปไหนไกล ๆ โดยขี่รถอาร์วีสะเทินบกสะเทินน้ำเล่นทั่วชายหาดเป็นที่สนุกสนาน หรือดีไซเนอร์สาว สเตลล่า แม็กคาร์ตนีย์ ที่เปลี่ยนตัวเองไปกินมังสวิรัติ และ ลิซ เฮอร์ลีย์ กวินเน็ธ พัลโทรว์ มาดอนน่า ที่คลั่งไคล้การเล่นพิลาทีสเป็นอย่างมาก
1.ขับถ่ายให้ได้ทุกเช้าก่อน 7 โมง
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับขับถ่ายคือตี 5-7 โมงเช้า เพราะช่วงนี้เป็นเวลาทำงานของลำไส้ใหญ่ ถ้าปล่อยให้เวลาล่วงมา ของเสียจากลำไส้ใหญ่จะถูกบีบตัวผ่านลำไส้เล็ก กลับมาถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารอีกครั้งหนึ่ง และของเสียหรืออุจจาระนั้นจะมีแก๊สเน่าเสีย ที่เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดจะทำให้เลือดไม่สะอาด
ข้อควรระวัง : ถ้าอั้นอุจจาระจนถึงเที่ยงหรือบ่าย ร่างกายจะรู้สึกง่วง เพลีย เพราะเลือดไม่สะอาดจะไหลไปเลี้ยงหัวใจ และเมื่อเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ก็จะขับของเสียออกมาทางผิวหนังและลมหายใจ ทำให้มีกลิ่นตัวและกลิ่นปากโดยไม่รู้ตัว
2.หม่ำอาหารเช้าด้วยโฮลเกรน
สถาบันมะเร็งแห่งเมืองมะกันเขาค้นคว้าออกมาแล้ว ว่าการกินโฮลเกรนและอาหารที่มีกากใยมาก จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ถึง 49% หนำซ้ำคนที่กินธัญพืชสม่ำเสมอ จะลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งทวารหนักอีกด้วย
ข้อควรระวัง : อย่ากินอาหารที่มีกากใยมากเกินไป เพราะจะทำให้บวมน้ำและมีลมในท้อง ฉะนั้น ควรกินอย่างค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า
3.เช็กสุขภาพในช่องปาก
ถ้าสุขภาพในช่องปากไม่ดี เช่น ฟันผุ ปริทันต์ ฯลฯ เราอาจป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยถึง 70% ที่ไม่ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพช่องปาก เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ยังนิยมกินขนมหวานและน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูง อันนำไปสู่ปัญหาโรคในช่องปาก
ข้อควรระวัง : ถ้ารู้ตัวว่าป่วย เช่น เบาหวาน ควรบอกทันตแพทย์ให้รู้ เพื่อการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
4.เล่นพิลาทีส สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
ซึ่งหลักของพิลาทีสคือ การออกกำลังกายที่ดึงเอาศูนย์พลังที่มีอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของร่างกาย หรือช่วงท้องมาใช้ ผู้เล่นต้องพุ่งความสนใจไปที่จุดกึ่งกลางของร่างกาย แล้วทำใจให้สงบก่อนเกร็งกำลัง ไม่ก็ยก เหยียด ยืดตัว หรือยืดแขนขา ซึ่งการฝึกพิลาทีสเป็นประจำ จะช่วยในเรื่องการยืดกล้ามเนื้อและสลายไขมัน นอกจากนั้น ยังทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายมีความสมดุล กระฉับกระเฉง ยืดหยุ่น และแข็งแรง
ข้อควรระวัง : คนที่มีปัญหาด้านร่างกายควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการฝึก
5.อบซาวน่า สัปดาห์ละครั้ง
สาวออฟฟิศที่วัน ๆ นั่งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้เลือดใต้ผิวหนังหมุนเวียนช้าลง ส่งผลให้เกิดรอยเหี่ยวย่นไปจนถึงการสะสมเซลลูไลต์บริเวณขา แต่เมื่อได้เข้าอบซาวน่าแล้ว จะทำให้หลอดเลือดขยายตัวเมื่อถูกความร้อน และหดตัวเมื่ออบเสร็จ การขยายและหดตัวของหลอดเลือดอย่างนี้นี่เอง ที่ช่วยออกกำลังกายให้แก่หลอดเลือด นอกจากนี้ ความร้อนจากการอบซาวน่ายังช่วยสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย เพราะร่างกายได้ขจัดเหงื่อและของเสียออกจากตัว ทำให้เนื้อตัวสะอาดและรู้สึกโปร่งโล่งเบาขึ้น
ข้อควรระวัง : ผู้ป่วยโรคติดเชื้อรุนแรง ไข้หวัดใหญ่ โรคไต รวมทั้งความดันเลือดและเส้นเลือดตีบตันควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะดีที่สุด
6.เรียนเต้นรำเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง
เรามักไม่ค่อยรู้ว่าการเต้นรำเพื่อสุขภาพ นอกจากจะทำให้เราแข็งแรงและมีสุขภาพดีแล้ว ยังทำให้เรามีบุคลิกที่ดีขึ้นด้วย เพราะท่วงท่าในการเดินหรือยืนจะดูสง่า ซึ่งหลักการเต้น เพื่อสุขภาพจะใช้จังหวะดนตรีเข้ามาช่วย ฉะนั้น ถ้าเราตั้งใจจะเรียนเต้นรำเพื่อสุขภาพ ควรจัดสรรเวลาไว้สักครึ่งชั่วโมงถึง 45 นาทีต่อครั้ง เพราะการเต้นรำ เพื่อสุขภาพนี้ต้องอาศัยช่วงจังหวะการเต้นช้า ๆ เพื่อวอร์มอัพเป็นเวลา 5-10 นาที ต่อจากนั้น จะเป็นการเต้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเผาผลาญพลังงานใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที หลังจากนั้น จะเป็นการคูลดาวน์อีก 5-10 นาที
ข้อควรระวัง : ถ้าเริ่มต้นเต้นรำใหม่ ๆ อย่าฝืนร่างกายมากเกินไป ควรรู้ตัวว่าเราสามารถเต้นได้นานแค่ไหน แล้วค่อย ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการเต้นในภายหลัง
7.ชีพจรลงเท้า อย่างน้อยเดือนละครั้ง
ใครที่ยังจัดสรรเวลาไม่ลงตัว เพราะมัวแต่ติดแหง็กอยู่กับงานประจำ เราอยากบอกคุณค่ะว่า การหาเวลาเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่วยลดความเสี่ยงโรค Burn-Out จากการทำงานได้ เพราะการท่องเที่ยวจะทำให้ร่างกายและจิตใจของเราผ่อนคลาย
นอกจากนั้น การท่องเที่ยวยังให้ประโยชน์ด้านความทรงจำที่ดีแก่เรา เพราะการได้ไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัว จะทำให้เรามีความทรงจำที่แสนสุขและฝังใจไปตลอดชีวิต
ข้อควรระวัง : ควรหาข้อมูลสถานที่ที่เราจะไปให้พร้อม ว่าจุดไหนที่อาจเป็นอันตราย หรือถิ่นนั้น มีข้อห้ามหรือข้อควรปฏิบัติอย่างไร เพื่อความปลอดภัยและอรรถรสในการเดินทาง
8.เป็นแฟนพันธุ์แท้บร็อคโคลี่ และกะหล่ำปลีสด
ใคร ๆ ก็รู้ว่าการกินผักใบเขียว มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าเราหมั่นกินบร็อกโคลี่และกะหล่ำปลีด้วยแล้วละก็ จะยิ่งห่างไกลจากโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันรอสเวลล์พาร์คแคนเซอร์ แห่งเมืองมะกันศึกษาออกมาแล้วว่า ถ้าเราขยันกินผักสองชนิดนี้เดือนละ 3 ครั้ง จะยิ่งลดความเสี่ยงโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะลงถึง 40% เชียวล่ะ
ข้อควรระวัง : ควรล้างผักให้สะอาดเพราะอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ฉะนั้น ควรแช่ผักด้วยน้ำเกลือสักพักแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ไม่ก็หากะละมังเล็ก ๆ ใส่น้ำแล้วเติมน้ำส้มสายชู พอประมาณ และล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง จะช่วยขจัดยาฆ่าแมลงออกไปได้
9.หากิจกรรมที่ไม่เคยทำ และลองทำดู
นพ. มัยธัช สามเสน ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขเคยกล่าวไว้ว่า นอกจากสมองของเราจะต้องคิดบวกอยู่เสมอเพื่อให้จิตใจเป็นสุขแล้ว เรายังควรให้สมองได้ฝึกทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยทำดู เพื่อเป็นการพัฒนาระบบความจำ เช่น ลองหัดเขียนหนังสือด้วยมือซ้าย ถ้าเป็นคนถนัดขวา หรือลองไปเรียนวาดรูป ทำอาหาร ร้องเพลง เต้นรำหรือเล่นเกมฝึกสมองอย่างหมากรุก หมากฮอส หรือปริศนาอักษรไขว้ นอกจากจะทำให้มีทักษะใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น แล้วยังเป็นคนที่มีความจำดีขึ้นด้วย
ข้อควรระวัง : หากิจกรรมที่เราสนใจจริง ๆ และเป็นกิจกรรมที่ไม่โลดโผนจนเสี่ยงต่อความปลอดภัย
10.ขยันกินถั่ว
เพราะถั่วเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เกลือแร่ และไฟเบอร์ นอกจากนั้น ยังอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวและไม่มีไขมันทรานส์ ฉะนั้น ถ้าหมั่นกินถั่วไม่ว่าจะเป็นถั่วอัลมอนด์ ถั่วลิสง ถั่วแม็กคาเดเมีย ถั่วพิสตาซิโอ ถั่ววอลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เฮเซลนัต ฯลฯ อยู่เสมอ ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้
ข้อควรระวัง : อย่ากินถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว หรือถั่วชนิดอื่น ๆ โดยไม่ผ่านการปรุงให้สุก เพราะพืชผักชนิดนี้จะมีสารพิษอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรากินสารพิษนี้เข้าไปก็จะยับยั้งการย่อยสลายสารอาหารประเภทโปรตีน ทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควรจะเป็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น