19 พ.ย. 2550

เรื่องเล่า-อาถรรพ์ ตึกB ของเด็กหอฯ ย่านรังสิต

เรื่องผีๆ คราวนี้ขอย้ายทำเลไปแถวย่านรังสิต บุกไปเก็บเรื่องราวลี้ลับที่มักจะเกิดขึ้นกับเหล่าเด็กหอมาเล่าสู่กันฟัง...

ตั๊ก กิตติมา หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาที่ต้องอาศัยอยู่ที่หอพักเล่าถึงประสบการณ์ลี้ลับที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่อาศัยอนู่ในหอพัก เช่นเดียวกับเธอให้ฟังว่า ตั๊กขอบอกก่อนเลยว่าตั๊กเป็นคนที่กลัวผีมาก จึงไม่ค่อยอาจจะรับรู้เรื่องลึกลับที่เกิดขึ้นในหอเท่าไหร่ ยิ่งเรารู้มากก็ทำให้เรายิ่งกลัว พอกลัวจิตเราก็จะจินตนาการไปเรื่อย ตั๊กจึงตัดสินใจไม่ขอรับรู้ดีกว่า...

หอพักที่ตั๊กพูดถึงนี้ เป็นหอใน ซึ่งส่วนใหญ่เด็กที่มาจากต่างจังหวัดจะเลือกอาศัยอยู่ที่นี่ เนื่องจากเป็นหอของทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น ราคาถูก ปลอดภัย และสะดวกในการเดินทางไปเรียน

แต่ถึงเธอจะเลือกปิดหู ปิดตาไม่รับรู้ ก็ไม่วายเสียงเล่าขานต่างๆ จากเพื่อนๆ ก็กระเด็นมาเข้าหูเธอจนได้ เพราะอย่างที่ทราบกันว่าเด็กหอส่วนใหญ่ จะสนิทกันมาก หลังเลิกเรียนก็จะใช้เวลาว่างจับเข่าคุยกัน และเรื่องที่ฮอตที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องผีๆ..

“ตั๊กก็เป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง พอเลือกเรียนที่นี่ ตั๊กจึงได้มาอยู่หอ ซึ่งพ่อแม่ตั๊กเขาอยากให้อยู่หอในเพราะว่าเขามีอาจารย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด หอหญิงที่นี่มีอยู่ 2 ตึก คือตึก A และ ตึก B ทั้งคู่มีทั้งหมด 12 ชั้น ห้องก็จะเป็นแบบหอพักทั่วไปคือ ห้องจะอยู่ติดๆ กัน มีอยู่สองฝั่ง อยู่ได้ห้องละ 2 คน แต่หอที่นี่จะไม่มีห้องน้ำในตัว ทุกคนต้องใช้ห้องน้ำรวม จึงทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่จะรู้จักกันหมด ”

“ตอนตั๊กอยู่ปี 1 ตั๊กได้อยู่หอ B ซึ่งจะว่าไปแล้วหอนี้ก็ไม่น่าจะมีเรื่องราวอะไร เพราะเป็นหอใหม่ พึ่งสร้างไม่กี่ปีเอง พอตั๊กเข้ามาได้ระยะหนึ่งก็เริ่มรู้จักรุ่นพี่ๆ ที่อยู่ในตึกเดียวกัน แล้วรุ่นวิศวะคนหนึ่งที่ตั๊กเพิ่งรู้จัก ก็เริ่มเล่าเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเขาให้ฟังว่า คืนนั้นประมาณตี 2-3 พี่เขานอนหลับ แล้วสักพักก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนมายืนอยู่ปลายเตียง พี่เขาเลยลืมตาขึ้นมาดู ปรากฎว่าเขาเห็นผู้หญิง ใส่ชุดสีขาวมายืนมองเขาอยู่ปลายเตียงจริง ด้วยความที่ห้องพี่แกปิดไฟแล้ว มีเพียงแสงไฟสลัวๆ ที่ทางเดินนอกห้องที่ลอดช่องลมเข้ามาเท่านั้น พี่เขาจึงคิดว่าคงจะตาผาดไป จึงไม่สนใจ ละสายตาจากร่างหญิงสาวคนนั้นแล้วหลับตาลงนอนปกติ แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าสายตาคู่นั้นก็ยังจ้องมายังรุ่นพี่คนนี้ อย่างไม่วางตา มันยิ่งทำให้พี่เขารู้สึกอึดอัด ข่มตาให้หลับเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ เขาจึงฟืนลืมตาขึ้นมาดูอีกครั้ง ร่างหญิงสาวคนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่หายไปไหน พี่เขาเริ่มมั่นใจแล้วว่า เขาตาไม่ฝาด และไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน”

รุ่นพี่รวบรวมความกล้าที่มีอยู่ กรีดร้องสุดชีวิต เพื่อหวังให้เพื่อนร่วมห้องตื่นขึ้นมาช่วย ยิ่งพยายามส่งเสียงร้องมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าพี่เขาจะยิ่งหมดแรงไปเท่านั้น ครั้นจะลุกขึ้นวิ่งก็ขยับตัวไปไม่ได้ เหลือเพียงตาที่สามารถกวาดมองไปรอบๆ ห้องได้ ลองคิดดูซิ มีใครก็ไม่รู้มายืนจ้องหน้าเรา ตาเราก็เห็นอยู่ว่าเพื่อนนอนอยู่เตียงใกล้ๆ เรียกก็ไม่ได้ ลุกไปไหนก็ไม่ได้ มันจะรู้สึกอึดอัด และน่ากลัวขนาดไหน ...

พี่เขาเลยนึกถึงพระขึ้นมา บทสวดมนต์ตอนนั้นที่เขานึกได้ คือ นะโม ตะสะ….พี่เล่าว่า เขาท่องวนไปวนมาจนแทบขาดใจ ซึ่งก็ได้ผล สักพักหนึ่งร่างผู้หญิงคนเริ่มค่อยๆ จางหายไป เมื่อเห็นว่าร่างนั้นกำลังจะค่อยๆ จางหายไปในความมืด พี่เขาเลยฮึดดีดตัวเองขึ้นจากเตียง แล้วมุ่งตรงไปที่เพื่อนซึ่งนอนหลับอยู่ที่เตียงข้างๆ ทันที

พี่แกเล่าต่อว่า พอเพื่อนตื่นมาเห็น เขาตกใจมากเลย ที่เห็นเขาเหงื่อท้วมเต็มตัว ตัวสั่นระงม หลังจากนั้นพี่เขาได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังแล้ว คืนนั้นทั้งคู่ก็เปิดไฟนอนกันทั้งคืน พอตอนเช้าพี่แกก็รีบจัดแจงไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับร่างหญิงสาวคนนั้นทันที

ด้วยความสงสัย พี่เขาเลยไปสอบถามกับพวกแม่บ้าน ได้ความว่า “เมื่อก่อนที่จะสร้างที่ตรงนี้เป็นหอพัก เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าตัวตายที่นี่ เขาคงมาขอส่วนบุญ คงไม่ได้ตั้งใจมาหลอกหลอนอะไรหรอก” หลังจากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เธอแล้ว รุ่นพี่คนนั้นก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แปลกๆ เช่นนี้อีกเลย

นี่แค่เรื่องแรกเท่านั้นนะที่ตั๊กได้ยินมา มันก็ทำให้ตั๊กนอนไม่หลับไปหลายคืนแล้ว ยังไม่หมดแค่นั้นนะ.. เรื่องที่สองนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนตั๊กเองเลย คนนี้เราเรียนแพทย์ ซึ่งเขาอาศัยอยู่ที่ตึกนี้เช่นกัน

“เพื่อนคนนี้ชื่อปู ปูเขาเรียนแพทย์ ซึ่งตอนที่เกิดเรื่องเป็นช่วงสอบพอดี ปูเขาค่อนข้างเรียนหนัก ยิ่งช่วงสอบก็ต้องยิ่งอ่านหนังสือหนักมากบางครั้งก็อ่านทั้งคืน เช้าก็อาบน้ำไปสอบ สอบเสร็จจึงกลับมานอน”

คืนนั้นปูกำลังจะสอบวิชาเกี่ยวกับพวกสรีระร่างกายของมนุษย์ แต่ตั๊กก็ไม่ค่อนทราบเหมือนกันว่าเขาเรียกว่าวิชาอะไร รู้แต่ว่าปูเขาต้องท่องศัพท์ชื่อของอวัยวะต่างๆ ของร่ายกายมนุษย์ วันนั้นปูอยู่คนเดียวด้วย เพื่อนร่วมห้องของปู กลับไปนอนบ้าน ซึ่งสำหรับปูแล้ว สบายมาก ดีเสียอีกจะได้มีสมาธิท่องหนังสือ ไม่ต้องพะวงห่วงเล่น

“เวลาล่วงเลยไปเกือบจะตี 2 ปูก็ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับตัวหนังสือ และโคมไฟเล็กๆ ที่โต๊ะเขียนหนังสือมุมห้อง สักพักปูเริ่มได้ยินเสียงคุยกันลอยเข้ามาในห้อง ปูนึกในใจว่าคงจะเป็นเสียงเพื่อนข้างห้องคุยกัน ลอดเข้ามา เพราะมันก็ดึกมากแล้ว หลายห้องก็หลับหมดแล้ว ความเงียบจึงทำให้เสียงคุยกันเบาลอดเขามาได้ ปูไม่สนใจ กับเสียงนั้น สักพักเสียงนั้นเริ่มดังขึ้นๆ ปูเริ่มรู้สึกรำคาญใจ จึงผละออกจากกองหนังสือ เพื่อไปเปิดวิทยุคลอเบาๆ เพื่อกลบเสียงเหล่านั้น

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เสียงนั้นเงียบลงแต่อย่างใด มันกลับยิ่งดังขึ้น ดังขึ้น ด้วยความที่ปูเรียนแพทย์ เป็นเด็กวิทยาศาสตร์ขนานแท้ เรื่องผีๆ สำหรับปูไม่ต้องพูดถึงเลย มันไม่ได้อยู่ในหัวของปูสักนิด ด้วยความโมโห ปูตัดสินใจปิดวิทยุ แล้วเดินไปเปิดประตูห้องเพื่อหาที่มาของต้นเสียงนั้น แต่แล้วก็ไม่มีวี่แววของเสียงนั้นเลย ทุกห้องปิดประตูเงียบ.. แหมก็ปาไปเกือบตี 2 แล้วใครจะมานั่งคุยกันอีกเล่า เมื่อหาที่มาไม่ได้ปู เลยละความสนใจ กลับไปนั่งโต๊ะเปิดหนังสือท่องต่อไป"

ไม่ทันไร เสียงนั้นก็กลับมาอีก คราวปูรู้สึกว่า เสียงนั้นมันมาจากด้านหลังปูเอง ปูหันหลังไปดู กวาดสายตาไปรอบห้อง เสียงนั้นก็หายไป ปูหันกลับไปที่หนังสืออีกครั้ง พอจะเริ่มท่อง เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก เอาหล่ะเด็กวิทย์ก็เถอะเจอแบบนี้ ก็ขนหัวลุกเหมือนกัน ปูชักเริ่มแน่ใจแล้วว่ามันคงไม่ใช่เสียงคุยกันธรรมดาแน่ๆ ยิ่งเธอตั้งใจท่องหนังสือเท่าไหร่ เสียงนั้นก็จะยิ่งดังสู้ขึ้นมาทุกที ปูเริ่มสับสน อีกอารมณ์หนึ่งก็เริ่มกลัว นึกได้ตอนนั้นคือต้องสวดมนต์แล้ว ปูสวดมนต์บทเดิม ที่หลายคนมักจะนึกถึงก่อนเมื่อรู้สึกกลัว ปูหลับตาท่องวนไปวนมา อยู่หลายรอบ แล้วเสียงที่คุยกันจ่อกแจกนั้นก็ดังขึ้นมาโดดๆ ว่า “ท่องไปเถอะกูไม่กลัวหรอก” ปูเล่าปนเสียงหัวเราะว่า "เอ็งไม่กลัวไม่เป็นไร แต่ปูกลัวนิ" ปูจึงโกยออกจากห้องสุดชีวิต รีบไปเคาะเรียกเพื่อนห้องข้างๆ ขอนอนด้วย ปูเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนๆ ฟัง คืนนั้นไม่มีใครกล้าเข้ามาพิสูจน์ในห้องของปู รอจนกว่าจะเช้า จึงกล้ากลับเข้ามาดู...

ด้วยความเป็นเด็กวิทย์แล้ว เรื่องนี้มันต้องพิสูจน์ ปูขนเพื่อนร่วมหอ ราว 6 ชีวิต มานอนที่หอ เพื่อรอฟังเสียงประหลาดนั้น รอแล้วรอเล่า จนถึงเช้าเสียงประหลาดนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย

ถึงปูจะไม่ได้ข้อพิสูจน์ว่าเสียงนั้นมาจากไหน แต่ปูก็ดีใจที่เสียงนั้นไม่กลับมาทำให้เธอต้องขวัญเสียอีกต่อไป

นี่เป็นแค่ 2 เรื่องเท่านั้น ยังมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นกับตึกB อีกมากที่ทุกวันนี้ก็ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ว่ามันคืออะไรกันแน่.. ถึงตั๊กเองจะไม่เคยเจอกลับตัว แต่มันก็ทำให้ตั๊กขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น: