7 พ.ย. 2550

บทสัมภาษณ์ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร (ควรจะอ่านมาก ๆ)

บทสัมภาษณ์ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร บางส่วนใน นสพ.คมชัดลึก 29 ก.ย.2548

ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร หรือชื่อใหม่ว่า ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร เล่าย้อนถึงอาการก่อนหน้าเป็นมะเร็งว่า “รู้สึก
ว่าเวลาเข้าห้องนํ้ า ทํ าไมถ่ายอุจจาระไม่หมดสักที บางที 1 นาทีก็กลับมาอีกแล้ว คือจะปวดตลอดเวลา แต่ไม่ได้ปวด
ท้องนะ แค่ปวดอยากถ่าย แล้วพบว่ามันจะมีเลือดออกมาด้วย เวลาที่ถ่ายเป็นเลือดจะรู้สึกตกใจ

เราถึงได้ไปหาหมอ วันที่ไป หมอก็ให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย วันรุ่งขึ้นก็ตรวจส่องกล้อง เมื่อส่องกล้อง
ออกมาเจอ แล้วตัดออกมาก็ไม่พบ แต่ผลเลือดชี้ชัดว่าเป็น ก็ไปหาหมอที่จะผ่าตัดเรา เข้าโรงพยาบาลวันที่ 9 – 10
สิงหาคม แต่วันที่ผ่าคือ 11 สิงหาคม ปีที่แล้ว (2547) ตั้งแต่วันแรกที่เลือดออกจนถึงวันที่ผ่าตัดเอาออกไป 21 วัน
“การผ่าตัด เป็นทางออกที่ต้องเร่งทํ า เนื่องจากมะเร็งเป็นเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วมาก ซึ่งหากดูลักษณะการแพร่กระจาย
แล้วถือเป็นระยะที่ 3 เพราะเมื่อตัดลํ าไส้ออกไป มะเร็งได้ลุกลามไปอยู่ที่ตับแล้ว นั่นแสดงว่า มันไม่ได้เริ่มต้น แต่มัน
มีอยูแ่ ล้ว เพียงแต่ตรวจไม่พบเท่านั้น ดังนั้น การรักษาต่อหลังการผ่าตัดลํ าไส้ คือ การใช้เคมีบํ าบัด ซึ่งทํ าให้เหนื่อย
อ่อนจนทํ างานไม่ได้ นอกจากนี้ชีวิตประจํ าวันของเขายังเปลี่ยนแปลงไปด้วย

ทุกวันนี้ ดร.วรฑา รับการรักษาด้วยวิธีฉีดยาเข้าไปในร่างกาย เพื่อไปทํ าลายเส้นเลือดที่ต่อกับเซลล์มะเร็งโดย
จะทํ าทุกสัปดาห์ และให้แพทย์ดูผลใน 2 เดือน นอกจากนี้ยังมี “ยาใจ” ที่ช่วยให้เขาดํ าเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
โดย ดร.วรฑา เผยว่า “เวลาที่ไปโรงพยาบาล เวลาที่เราเหนื่อยอ่อน พ่อกับแม่ก็จะคอยประคองแล้วเดินไปด้วย
กัน เรามีความรู้สึกว่าอายุ 48 แล้วนะ พ่อแม่ยังดูแลเราอยู่เลย แล้วพอไปถึงโรงพยาบาล เจอคนรู้จักก็จะถามว่าพ่อ-แม่
เป็นอะไร ไม่เคยมีใครนึกว่า พ่อแม่จะพาลูกมาโรงพยาบาล ไม่เคยมีสิ่งไหนเลยที่จะทํ าให้เราท้อถอย หมดกํ าลังใจ
จะบอกกับตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่า “ต้องหาย” เราไม่มีทางเลือกอื่น เรากลับรู้สึกว่าเราให้ความสํ าคัญและคุณค่ากับการมี
ชีวิตอยูม่ ากขึ้นด้วยซํ้ าไป อยากมีชีวิตอยู่เพื่อดูลูกเติบโตขึ้นมา อันนี้คือ ความรู้สึกที่ทํ าให้ “วรฑา” จึงต้องเกิดขึ้น ไม่
ได้คิดว่าการเปลี่ยนชื่อเป็นการแก้เคล็ด แต่มันเปลี่ยนจากความรู้สึกที่เราเป็นคนเรียกหาเอง “อภิวัฒน์” เขาเหนื่อยยาก
มามากแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ แล้วให้ “วรฑา” เขามีชีวิตใหม่

“การทุ่มเทเวลาให้กับงานจนลืมให้ความสํ าคัญกับตัวเอง ไม่ใช่การใช้ชีวิตที่ถูกต้อง
เพราะเวลาที่เราเจ็บป่วย ก็จะมีแต่คนที่เรารักเท่านั้นคอยดูแล หากเหตุผลของการทํ างาน
หนักคือเพื่อเลี้ยงดูลูกเมีย ในที่สุดแล้วผลที่เกิดขึ้นก็จะมีแต่ลูกเมียเท่านั้นที่ได้รับความ
ทุกข์นี้”


“การจัดสรรชีวิตเป็นเรื่องที่สํ าคัญ โปรดรู้ไว้ว่า การนอนชดเชยไม่มีจริงในชีวิตนี้ การสูญ
เสียการนอนไปแล้วชดเชยด้วยการนอนสองเท่าไม่ได้ นาฬิกาชีวิตมันผ่านไปแล้ว ชีวิตในเวลา
นั้นๆ มันต้องพัฒนาม้าม มันต้องพัฒนาลํ าไส้ เราต้องเข้าใจกลไกของชีวิต เข้าใจกลไกของร่างกาย
เข้าใจวิธีการที่จะดูแลตัวเองให้อยู่ไปนานๆ ทุ่มเททํ างานได้ แต่อยากจะทํ าไปอย่างนี้ได้นานๆ
ไหม ถ้าอยากทํ าควรจะใส่ใจตัวเองให้มากกว่านี้”

ไม่มีความคิดเห็น: