16 พ.ย. 2550

เรื่องเล่า-ตำนานความรักที่ยิ่งใหญ่ ของเจ้าแม่สามมุก

ถ้าเอ่ยถึงตำนานความรักที่ยิ่งใหญ่ของชายหญิงที่มีจุดจบแสนเศร้า หลายคนคงนึกถึงตำนานความรักของสองตระกูลใหญ่ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ลงรอยกัน อันเป็นผลให้ความรักของรุ่นลูกอย่าง “โรมิโอและจูเลียต” ต้องจบลงด้วยความตาย แต่ถ้าเป็นตำนานรักของไทย หนีไม่พ้น “ขวัญ – เรียม” ที่มีจุดจบที่คล้ายคลึงกันตลอดจนความรักของ “นางนาก” ผีสาวผู้ที่รอการกลับมาของสามี จนกลายเป็นตำนานของความรักแท้ที่ยิ่งใหญ่ที่เล่าขานกันมารุ่นต่อรุ่น

เหตุที่คราวนี้ “ลี้ลับต่างม.” ได้เกริ่นถึงแต่เรื่องราวเกี่ยวกับความรัก นั่นก็ เพราะ เรื่องลี้ลับฯ คราวนี้เราบุกไปถึง จ.ชลบุรี โดยนักศึกษาที่นั่นต่างบอกเราว่าเรื่องลี้ลับของที่นี่ต้องยกให้ตำนานความรักที่ยิ่งใหญ่ของศาลเจ้าแม่สามมุก ที่ตั้งอยู่เชิงเขาสามมุก ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนี้

“เขาสามมุก” เป็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านอ่างศิลาและหาดบางแสน ขับรถไปตามถนนเลียบริมหาดจากอ่างศิลาเป็นทางลาดขึ้นไปนั่นก็คือบริเวณที่เรียกกันว่าเขาสามมุก และเขาสามมุกเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงจำนวนมาก ส่วนศาลเจ้าแม่สามมุกตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา และ ที่มุมหนึ่งของศาลฯ มีผู้เขียนถึงตำนานความรักของท่านไว้ดังนี้

‘เมื่อปลายรัชสมัยกรุงศรีอยุธยาบริเวณบางแสนและเขาสามมุข ยังไม่มีบ้านเรือนและผู้คนหนาแน่นเหมือนปัจจุบันนี้ ชื่อบางแสนและเขาสามมุขก็ยังไม่ปรากฏ จะมีก็แต่ตำบลอ่างหิน ในปัจจุบันก็คือตำบลอ่างศิลาอันเป็นชุมชนของชาวประมงริมทะเล’

‘ณ ตำบลอ่างหินนี่เอง (อ่างศิลา) มีเจ้าของชื่อโป๊ะ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนามว่า “กำนันบ่าย” มีลูกชายชื่อว่า “แสน” ห่างจากตำบลอ่างหินออกไปพอประมาณมียายหลานอาศัยกันอยู่คู่หนึ่ง ยายมีชื่อเสียงเรียงนามใดไม่ได้ปรากฏไว้ ส่วนหลานสาวนั้นมีชื่อว่า “สามมุข” อาศัยอยู่ในเมืองปลาสร้อย (จังหวัดชลบุรีในปัจจุบัน) เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตลง ก็ได้มาอาศัยอยู่กับยายจนกระทั่งโต “สามมุข” มักจะชอบมานั่งเล่นดูหนุ่มสาวรวมทั้งเด็กที่มาเล่นว่าวในหน้าลมว่าวอยู่ริมเชิงเขาเป็นประจำ และมีเพื่อนที่คอยหยอกล้อเล่นเป็นประจำก็คือลิงป่าที่ลงมาจากเขา’

‘อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ “สามมุข” กำลังนั่งเล่นอยู่ ก็ได้มีว่าวตัวหนึ่งขาดลอยลงมาตกอยู่ที่หน้าของสามมุข เธอจึงเก็บว่าวตัวนั้นไว้และมีเด็กหนุ่มชื่อแสนวิ่งตามว่าวที่ขาดลอยมาจึงได้พบกับสามมุข เขาทั้งสองได้รู้จักกันและแสนก็ได้มอบว่าวตัวนั้นไว้เป็นที่ระลึก หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้พบปะกันเรื่อยมาจนเกิดเป็นความรัก และได้สาบานต่อหน้าขุนเขาแห่งนี้ว่า’ “ทั้งสองจะครองรักกันชั่วนิรันดร หากใครผิดคำสาบานนี้จะกระโดดหน้าผาแห่งนี้ตายตามกัน” และแสนได้มอบแหวนวงหนึ่งให้แก่สามมุขไว้เพื่อเป็นพยาน’

‘เมื่อกำนันบ่ายซึ่งเป็นพ่อของแสนได้ทราบเรื่องเข้าก็เกิดความไม่พอใจ แสนได้พยายามขอร้องผู้เป็นพ่อให้ไปสู่ขอสามมุข แต่กำนันบ่ายก็กีดกันและกักบริเวณแสนไว้ จึงทำให้ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากัน หลังจากนั้นกำนันบ่ายก็ได้ไปสู่ขอลูกสาวคนทำโป๊ะให้กับแสนและกำหนดพิธีการแต่งงานขึ้น ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอ่างหิน (อ่างศิลา) จนสามมุขเองก็ได้รับรู้ถึงข่าวนี้ด้วย ในวันแต่งงานของแสนได้มีการจัดงานกันอย่างใหญ่โตสมเกียรติกับที่เป็นงานของกำนันบ่าย’

‘ตลอดระยะเวลาที่แขกได้ทยอยเข้ามารดน้ำสังข์อวยพรให้คู่บ่าวสาวทั้งสอง แสนได้แต่ก้มหน้านิ่งเสียใจอยู่กับตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนกระทั่งแสนรู้สึกว่ามีน้ำสังข์ลดลงมาพร้อมกับแหวนวงหนึ่งตกลงมาด้วย แสนจำได้ดีว่าแหวนวงนี้เขาเป็นคนมอบให้สามมุขแต่พอเงยหน้าขึ้นสามมุขก็ได้วิ่งจากออกไปแล้ว แสนได้หวนคิดถึงคำสาบานที่ได้ให้กับสามมุขไว้ จึงรีบวิ่งไปที่เชิงเขาแต่ก็สายไปเสียแล้ว สามมุขได้ขึ้นไปที่หน้าผานั้นแล้วทิ้งร่างที่ไร้หัวใจลงดิ่งสู่ก้นผาสิ้นชีพอยู่ริมทะเล แสนผู้ที่ให้คำสาบานไว้กับสามมุขเขาจึงกระโดดลงหน้าผาตามสามมุขหญิงสาวสุดที่รักไป’

‘จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวพากันเศร้าสลดใจเป็นอย่างมาก จึงพากันสาปแช่งกำนันบ่าย ต่อมากำนันบ่ายได้นำถ้วยชามสิ่งของต่างๆ มาไว้ในถ้ำตรงหน้าผาแห่งนั้นและตั้งชื่อภูเขาลูกนี้ว่า “เขาสามมุข” และชายหาดที่ติดกันว่า “หาดบางแสน” เพื่อเป็นอนุสรณ์รักแด่คนทั้งสองจนถึงปัจจุบัน’

ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเล่าว่า “เมื่อตกดึกได้พบเห็นร่างของหญิงสาวมายืนอยู่ตรงหน้าผานั้นเป็นประจำทุกคืน” ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างศาลนี้ขึ้น เพื่อเป็นที่สิงสถิตและเป็นที่เคารพสักการะแก่ชาวบ้านและชาวประมงเมื่อเวลาที่จะออกเรือไปหาปลามักจะมีการมาจุดประทัดบนบานขอให้ได้ปลากลับมาเต็มลำเรือ อย่าต้องเผชิญกับลมพายุบางครั้งเจอลมพายุกลางทะเลก็จุดธูปบนเจ้าแม่สามมุขให้รอดปลอดภัยจากอันตรายก็สัมฤทธิ์ผลเรื่อยมา

จากนั้นเมื่อเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแม่สามมุขนั้นแพร่กระจายออกไป ก็มักมีคู่รักชายหญิง มาอธิษฐานขอให้ความรักของตนสมหวัง โดยเขียนชื่อตนกับคนรักไว้บนว่าว แล้วแขวนไว้บริเวณศาลโดยเชื่อกันว่าเจ้าแม่สามมุกจะดลบันดาลให้ทุกคู่รักสมหวัง และไม่พลัดพรากจากกันเหมือนดังในตำนาน

“ออย - ธาราทิพย์” ศิษย์เก่าม.บูรพา บอกก่อนที่จะมาเรียนที่ม.บูรพาก็เคยได้ยินเรื่องเขาสามมุก และพอเข้าเรียนปี 1 รุ่นพี่ก็เล่าให้ฟังว่าถ้าใครมีแฟนต้องพาไปไหว้เจ้าแม่สามมุกแล้วความรักก็จะสมหวัง

“พูดจริงๆ ออยไม่ใช่ไม่เชื่อนะ แต่ไม่ลบลู่ดีกว่า ออยชอบตำนานความรักของท่าน ยิ่งพอได้อ่านแล้วยิ่งรู้สึกเศร้าและสงสาร ตัวออยเองไม่เคยไปไหว้ท่านกับแฟนหรอก ออยไปกับกลุ่มเพื่อนๆ ก็เรามาเรียนที่นี่แล้วก็ต้องมาสักการะท่าน เพื่อเป็นศิริมงคล แต่ออยก็เขียนชื่อออยและครอบครัวใส่บนว่าวนะ แล้วอธิษฐานให้ครอบครัวเรามีแต่ความสุข”

“เปิ้ล” นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ ม.บูรพา บอกตัวเธอเป็นคนกรุงเทพฯ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่ชลบุรี 3 ปีกว่าๆ “ก็พอทราบประวัติของเจ้าแม่ฯ และเคยไปสักการะเหมือนกัน แต่ไม่เคยเขียนชื่อตัวเองลงบนว่าว เพราะ ไม่เชื่อว่าคนสองคนจะรักกันยั่งยืนเพียงเพราะว่าวตัวเดียว มันน่าจะมีอย่างอื่นมากกว่าในการที่ทำให้คนสองคนรักกันได้ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่อะไร แต่ถ้าถามว่าศรัทธาในตัวเจ้าแม่ไหม บอกได้เลยว่านับถือและศรัทธามาก"

ในขณะที่ป๊อบ นักศึกษาหนุ่ม จากม.บูรพาบอกเราว่าเขาศรัทธาในเรื่องนี้ และเคยเอาว่าวเขียนชื่อตัวเองกับแฟนไปแขวนไว้ที่ศาลด้วย และตอนนี้คบกันมาได้ 2 ปีแล้ว อย่างไรก็ตามป๊อบยืนยันว่าเขาไม่งมงายกับเรื่องนี้

“ยังไงๆ ความรักมันก็ต้องขึ้นอยู่กับคนสองคน ต่อให้เขียนว่าวสัก 100 ตัวแต่ถ้าไม่เข้าใจกันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้อยู่ดี ถ้าดูจากจำนวนว่าวที่มาแขวนไว้ที่ศาลมีจำนวนมากเหลือเกิน คงมีคนนับร้อยที่เชื่อในเรื่องนี้เหมือนกัน มันเป็นเหมือนกันความสุขทางจิตใจมากกว่า ใครไม่เชื่อก็อย่างลบหลู่เป็นดี"...

ไม่มีความคิดเห็น: